บ้านกำลังจะถูกขายทอดตลาด ทำยังไงถึงจะได้บ้านคืนคะ

ขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ

บ้านที่อาศัยอยู่ทุกวันนี้เป็นชื่อพ่อกับชื่อแม่ค่ะ แล้วทีนี้ขาดส่งมาหลายปีแล้ว
ธนาคารก็ให้ไปติดต่อประนอมหนี้ ก็ไปนะคะ
พอติดต่อประนอมหนี้ก็ได้ส่งบ้านต่อเดือนละหมื่นกว่าบาท
แต่ที่ส่งไปในใบเสร็จจะแจ้งว่า เป็นดอกเบี้ย ส่งมา2ปีค่ะ ตือเป็นดอกเบี้ยตลอดเลย
ก็ส่งไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นธนาคารก็จะนัดไปทุกปีค่ะ แต่ทุกครั้งที่ไปก็จะบอกว่า ให้เอาเงินมาโปะดอกเบี้ย
( ปีแรกเสียไปแปดหมื่น ปีต่อมาให้หาเงินไปอีกหนึ่งแสน)
แล้วตอนนี้คือหาเงินแสนไปให้ธนาคารไม่ได้อะค่ะ ก็ขาดติดต่อไปจนมีจดหมายมาว่าบ้านจะถูกขายทอดตลาด

เลยอยากถามว่า
1. ทำยังไงถึงจะได้บ้านหลังนี้คืน
2.ทำยังไงไม่ให้บ้านถูกขายทอดตลาด

ปล. มีจดหมายจากสำนักกฏกมายแห่งหนึ่งส่งจดหมายมาที่บ้าน
ในจดหมายคือบอกว่าบ้านจะถูกขายทอดตลาดครั้งที่1 วันที่23 พฤศจิกายน 2558
พอติดต่อไปเค้าก็บอกให้มาคุยพร้อมกับเงินอีก9000 เพื่อเป็นค่าดำเนินการ ถ้าหากเราจะให้เค้าดำเนินการให้

เลยสงสัยว่าจะเป็นแบบไหน ถ้าเราเสียตังตรงนี้ไป

รบกวนขอคำปรึกษาหน่อยนะคะ

ถ้าหากใครไม่เข้าใจช่วงไหนถามรายละเอียดได้นะคะ ^^

ไม่รู้ว่าจะต้องแท็กห้องไหนบ้างอะค่ะ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
อมยิ้ม04..พี่จะเล่านิทาน ที่ Based on a true story ให้ฟังนะ..

Once upon a time ..ผัวเมียคู่หนึ่ง ช่วยกันทำกิจการรับเหมาก่อสร้างเล็กๆ ในช่วงเศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู
เอาหางหมามาผูกขาย ..ก็ยังขายได้เลย อะไรประมาณนั้น ..จนพอจะลืมตาอ้าปากได้ ก็ตัดสินใจซื้อบ้านหลังใหญ่ มาหลังหนึ่ง
..แต่ก็ "ผ่อนแบงค์" อะนะ ..ไม่ได้รวยจัดขนาดซื้อสดได้ ..แต่คิด แบบคนโลกสวยว่า ..ค่างวดเดือนละเท่านี้ๆ ..เอาอยู่..

ลุถึงพุทธศักราช 2540 ..ฟองสบู่แตกดังโพล๊ะ ..การงาน การเงิน ไม่เหมือนเดิม
ไอ่ที่เคยจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ..มันก็ชักจะไม่ใช่ละ
นี่ยังไม่นับนิสัยส่วนตัว ที่เยาวชนไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง อีกหลายรายการ ..แต่จะละไว้ ไม่พูดถึงเสีย..

..ในขณะที่รายรับน้อยลงผิดหู ผิดตา ..แต่รายจ่ายหาได้น้อยลงไม่ ..อย่างเช่นค่างวดบ้าน แป๊บๆ เดือน ..แป๊บๆ เดือน
2 ผัวเมีย ยังมองโลกในแง่ดีสุดๆ ว่า ..เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ..
พยายามทำทุกอย่าง ..ยืมเงินเพื่อน - ญาติพี่น้อง ..ตั้งแชร์ ..กู้นอกระบบ ดอกเบี้ยแพงระยับ ..
ยกเว้นอย่างเดียว คือไม่ปรับปรุงนิสัย - วินัยการจับจ่ายใช้สอย

สุดท้าย หนี้สินก็ท่วมหัว ..เริ่มผิดนัดชำระเจ้าหนี้ที่มีรายล้อม ..
แต่เจ้าหนี้ ที่เล่นกับเค้าไม่ได้จริงๆ คือ แบงค์นี่แหละ .. ถึงเค้าจะไม่ส่งชายชุดดำมาข่มขู่ถึงหน้าบ้าน
เต็มที่ก็โทร. มา แวะมาหานิดหน่อย ..ไม่ได้รบกวนอะไรมากมาย ..แต่โน่น.. ผลลัพธ์มันไปโผล่ที่บัญชีหนี้สินที่มีกับธนาคาร
คือดอกเบี้ยงอกงาม ทบต้นทบดอก
..แต่ 2 ผัวเมีย ไม่ได้สำเหนียก ..แลจะสบายอกสบายใจ ..ยังทำตัวแบบ ..ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย..

จนกระทั่งกาลเวลาล่วงเลยมาเป็นปี ๆ.. คิดไปเองว่าแบงค์ยกหนี้ให้แล้วมั้ง ..
..มาตกใจลมแทบจับ เมื่อเจอเอกสารตราครุฑ ..พร้อมตัวเลขยอดหนี้ ที่ทะลุทะลวง ไปถึงไหนๆ
พยายามหาทางแก้ไข แต่ก็เกินกำลัง .. ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่โดนยึดบ้านขายทอดตลาด

ความพยายามเฮือกสุดท้าย ที่จะเหนี่ยวรั้งบ้านหลังนี้ไว้ ..เพราะจมไม่ลง ..เอ๊ย..เพราะมีความทรงจำ อยู่ทุกอณูของบ้าน
..ซึ่งในสายตาคนใกล้ชิดอย่างเรา มองว่า มันมีแต่ความทรงจำแย่ๆ ซะล่ะมากกว่า ..เช่น เมียน้อยของผัว มาอาละวาดงี้
ทะเลาะกับผัว ขว้างปาข้าวของ โยนกระเป๋าเสื้อผ้าผัวไปนอกบ้านงี้ ..แต่เค้าก็ยังยึดติดอย่างเหนียวแน่น
คือ..เค้าก็หาญาติพี่น้องเค้าไปรอซื้อตอนประมูลน่ะแหละ ..ซึ่งไม่มีใครแย่งซื้อหรอก ..แถมซื้อได้ในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ

แต่ไอ่ความที่ "ถูกเหลือเชื่อ" นี่แหละ ที่ยังทำให้ตัวเองยังคงเหลือ "ส่วนต่าง" กับแบงค์อีกแบะแฉะ คือยังอีกเป็นล้าน
..เพื่อให้เห็นภาพ ..ยอดหนี้ตอนแรกที่ติดแบงค์ แค่ล้านกว่า ..ดอกเบี้ยงอกงาม
บวกค่าปรับ ค่าธรรมเนียม ค่าทำเนียนอะไรสารพัด ..ไปจนยอด double เป็น 3 ล้าน
บ้าน ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ ถ้ารีบตัดใจขายซะเมื่อรู้ตัวว่าเอาไม่อยู่แล้ว ..จะขายได้ในราคา ไม่ต่ำกว่า 4 ล้าน
..พอปิดหนี้  ยังเหลือเงินไปซื้อสดบ้านหลังเล็กลงหน่อย แถมยังเหลือเงินสดในมือไว้กินใช้ รอจังหวะการลงทุนใหม่อีกเป็นล้าน
ซึ่งพอเราแนะนำว่าควรทำแบบนี้นะ ..กลับโดนด่า และโกรธชนิดไม่มองหน้าไปเป็นนาน ..
แต่เพราะความจมไม่ลง และยึดติดในวัตถุ ของนอกกาย ขนาดหนัก .. จึงปล่อยจนสถานการณ์ไปไกล แบบกู่ไม่กลับ
..เมื่อบ้านถูกขายทอดตลาด ไปหาญาติมาทำทีว่าซื้อ ..ก็ซื้อได้ในราคาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของราคาขายจริง ..
มันก็ไม่พอปิดหนี้แบงค์สิ เช่น ยอดหนี้ 3 ล้าน ขายได้ 1.8 ล้าน ยังเหลือหนี้อีก 1.2 ล้านกับแบงค์

ที่ฮากระจัดกระจายมาก คือ มันเป็นธุรกรรมอำพราง เพราะในทางปฏิบัติ ..ไอ่คนมาซื้อน่ะ ไม่ต้องจ่ายค่างวด
เจ้าของบ้านน่ะแหละ ที่ต้องหาเงินค่างวดไปจ่ายแบงค์
..และที่น้ำตาไหลเลย คือ ตัวเองก็ยังเหลือหนี้ส่วนต่างอีกเป็นล้าน ..นั่นก็ต้องผ่อนเช่นกัน
เท่ากับมีหนี้ 2 วง ที่ต้องจ่าย

แล้วลองนึกสภาพดู ว่าถ้ามีปัญญาหาเงินมาจ่ายหนี้ได้ตั้งแต่แรก ..มันจะเดินมาถึงจุดนี้เร๊อะ ??

สุดท้าย ก็วุ่นไม่เลิก ..ยิ่งแก้ ก็ยิ่งยุ่ง ..ตามสไตล์ ..ลิงแก้แห..

อย่าให้เล่าตอนท้ายของเรื่องเลย ..เพราะสะเทือนใจ
..เอาเป็นว่า ไอ่ยัยคนที่แนะนำให้เค้าขายบ้านซะตั้งแต่ยังไม่โดนยึดไปขายทอดตลาดน่ะ ..
มัน..ขว้างงูไม่พ้นคอ ..เพราะงูที่ว่าเนี่ย มันระดับ ..อนาคอนด้า ..ตัวใหญ่เกิ๊นนน ..ขว้างไม่พ้นคอจริงๆ
ก็แบกรับไป..ตามระเบียบ T____T  

..นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ..เป็นภาระของลูกหลาน.. มันเป็นยังไง
และตั้งปณิธานว่า จะไม่เดินตามรอยเท้าพวกเค้าเหล่านั้น ให้ความซวยมาเยือนลูกหลานของเรา !

..พี่ก็แค่อยากเล่าให้คุณน้อง จขกท.ฟัง ไว้เป็นอุทาหรณ์ ว่าเรื่องราวพวกนี้ มันไม่ใช่พวกคุณ เป็นคนพวกแรก ที่ประสบพบเจอ
แต่คนที่มีโอกาสเจอเองจะๆ ..แล้วจะขยันมาเล่าให้คนแปลกหน้าฟังน่ะ
..ถ้าไม่ใช่เพราะมีบอร์ดพันทิป พี่ก็ไม่อาจเล่าสู่กันฟังได้ ..เต็มที่ก็เล่าให้ลูกพี่ฟัง

อย่างไรก็ตาม ..The choice is yours ! พี่ก็คงไม่พยายามโน้มน้าวใจคุณหรอก
คุณมีเอกสิทธิ์ในการตัดสินใจเลือกว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี
..แม้โดยส่วนตัว พี่ขออนุญาตมองว่า คุณคลึงเรื่องนี้ นานไปหน่อยละ..
ตั้งนานแล้ว ยังแก้ไขไม่ได้ ..แต่ยังไม่อาจทำใจยอมรับความจริง ยังพยายามไปแก้ตรง "ปลายเหตุ" อยู่
ซึ่งไม่รู้ว่าคุณจะหลงอยู่ในวังวนเดียวกับคนในนิทานของพี่หรือเปล่า

ทำได้เพียงเล่านิทานให้ฟัง พร้อมส่งความปรารถนาดีมาให้ละกันนะคะ
..ขอให้โชคดีค่ะ ดอกไม้
ความคิดเห็นที่ 15
อยากจะแนะนำว่า. นับจากวันนี้. ไม่ต้องไปจ่ายอะไรแล้ว
เก็บเงินให้ได้เป็นก้อนมากที่สุด.   เก็บๆๆ

รอจนบ้านโดนยึด. ถ้าคุณยังอยู่. ก็อยู่ไป. เดี๋ยวเค้าต้องมาฟ้องขับไล่อยู่ดี

เก็บเงินต่อๆๆๆๆ

จนวันที่บ้านโดนยึด. ขายทอดตลาดกับกรมบังคับคดี.  ประกาศจะขายทอดตลาดวันไหน. คุณก็ไป

ให้พ่อแม่ มอบอำนาจไปให้ด้วย. แล้วพอมีคนประมูลบ้านคุณ. ครั้งแรกจะ 80% ของมูลค่าบ้าน.  คุณยื่นคัดค้านซะ

จากนั้น. ค่อยเจรจา. ค่อยคุยกับแบงค์. บอกเลย. เราจะเอาบ้านขึ้นมาเอง. ตอนนี้แหละมีเงินเท่าไหร่. แบออกมา
เพราะถ้าแบงค์ขายไม่ได้ในครั้งแรก. เริ่มที่ 80%ของราคาประเมิน
พอขายครั้งที่ 2.3  จะเหลือ 50%ของราคาประเมินเอง

ลองดูนะคะ.  เราเคยทำมาแล้ว
แต่ทำม่ 10กว่าปีแล้ว. เราดึงบ้านออกมาขายนอกตลาดจากการไปคัดค้านครั้งแรก
คือตอนเรา. ก็เรายกป้ายคัดค้าน. เราก็บอกใครจะเอา. ตามออกมาคุย 555

แล้วไปเจรจากับแบงค์อักทีค่ะ

ขอให้โชคดีนะคะ
ความคิดเห็นที่ 19
ด้วยสถานภาพของคุณ และครอบครัวตอนนี้ ไม่ควรรั้งไว้ด้วยการ ไปหาคนมาประมูลแทน แล้วพยายามผ่อนต่อ
เพราะดูจากรูปการแล้ว มูลค่าที่ประมูลน่าจะน้อยกว่าหนี้คงค้าง+ดอกเบี้ยคงค้าง+ดอกเบี้ยของดอกเบี้ยคงค้าง+ค่าปรับชะระล่าช้า
ซึ่งครอบครัวคุณจะยังต้องเป็นหนี้ bank และต้องผ่อนชำระต่อไปอีก ถึงแม้บ้านจะมีคนประมูลซื้อไปแล้ว

ขออนุญาติแนะนำตามตรงนะครับ
1.อย่าคิดรั้งบ้านหลังนี้ไว้ เพราะค่าใช้จ่ายในการรั้งไว้มันสูงกว่า ค่าเช่าบ้านมาก ไปหาเช่าบ้านอยู่ซะ
2.ทรัพย์สินที่พอมีเหลือของพ่อแม่คุณ ให้ส่งมอบมาให้คุณทั้งหมด แต่อย่าให้มีหลักฐานการถ่ายโอน
3.หลังขายทอดตลาดไปแล้ว หนี้ที่คงค้าง bank อยู่ เค้าจะพยายามทวงถาม ถ้าพ่อแม่คุณไม่มีรายได้ อย่าพยายามหาไปจ่าย จนท้ายที่สุดธนาคารก็จะพึ่งศาล และศาลจะสั่งบังคับคดีอีกรอบ แต่พ่อแม่คุณไม่มีทรัพย์อะไรเหลือให้ขายทอดตลาดแล้ว ศาลจะสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งศาลจะพิจารณาว่าพ่อแม่คุณมีรายได้อะไรบ้าง จะสามารถแบ่งรายได้นำมาส่งให้เจ้าหนี้ได้เดือนละเท่าไหร่ แต่ในเมื่อไม่มีรายได้ก็ไม่มีความสามารถที่จะจ่าย สถานะล้มละลายก็คงอยู่ไป ทำธุรกรรมอะไรไม่ได้ แต่การเป็นบุคคลล้มละลายมันไม่ได้เลขร้ายหรอกครับ ไม่มีใครเอาคนทวงหนี้เหมือนคนที่กู้นอกระบบมา เจ้าหนี้เป็นธนาคารซึ่งเป็นบริษัท มหาชน ใครเป็นเจ้าของครับมันไม่มีตัวตน ที่จะมาทวงเงินพ่อแม่คุณที่บ้าน หรือไปบอกใครต่อใครว่าพ่อแม่ใครเป็นหนี้ คนล้มละลายทุกคนล้วนอยู่สขสบายดี ถ้ามีคน support เรื่องกินอยู่ หรือแอบมีรายได้แบบไม่มีหลักฐาน มันไม่เรื่องน่าอายอะไรเลย และก็ไม่มีคนสนใจด้วย

กรณีตรงกันข้ามถ้าครอบครับคุณพยายามที่จะสู้ รายได้ที่หามาทั้งหมดก็จะหมอไปกับดอกเบี้ย โอกาศลืมตาอ้าปาก จะไม่มี เอาเงินที่หามาได้มาสร้างอนาคตดีกว่า และคุณก็ support พ่อแม่ได้ ไม่ได้มีกฏหมายข้อไหนกำหนดว่า ลูกไม่สามารถ support พ่อแม่ที่ล้มละลายได้

สุดท้ายขอฝากให้ทุกคนที่ได้อ่าน coment ผมนะครับ
คนไทยเมื่อกู้เงินซื้อบ้าน มักจะบอกคนอื่นว่าบ้านของตัวเอง แต่ที่จริงแล้วควรจะพูดว่ามันเป็นบ้านที่คนกู้และธนาคารร่วมกันเป็นเจ้าของ ตามสัดส่วนที่เราได้ชำระเงินต้นไปแล้ว เหตุผลที่คนไทยมีเงินออมน้อย ส่วนหนึ่งเกิดจาก คนไทยรีบซื้อบ้านหลังเรียนจบเริ่มทำงานไม่นาน หรือซื้อบ้านราคาสูงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้เงินที่หามาส่วนใหญ่ต้องกลายเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ยที่ต้องเสียไป ซึ่งมักจะสูงกว่าค่าเช่าบ้าน และถ้าเป็นบ้านเฉพาะพักอาศัย ก็ถือเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ในประเทศที่คนมีเงินออมสูง เค้าจะหางานทำเงินก่อน ซึ่งเงินที่ออมไม่ต้องเสียไปจ่ายดอกเบี้ย และยังนำไปลงทุนต่อยอดให้งอกเงย และเค้าสามารถตั้งใจทำงานเพิ่มขีดความสามารถเพิ่มรายได้ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สินให้มาเป็นตัวฉุดรั้ง และบางครั้งโอกาศเข้ามาในชีวิตเค้าสามารถคว้าไว้ได้ เพราะมีเงินออมเป็นทุน หรือมีเครดิตคงเหลือ ผิดกับคนที่มีหนี้บ้าน ซึ่งไม่สามารถคว้าโอกาศที่เข้ามาเพราะไม่มีเงินออมและไม่มีเครดิตคงเหลือแล้ว เพราะเครดิตไปอยู่กับหนี้บ้านหมดแล้ว  เมื่อเค้ามีเงินออมและทรัพย์สินที่งิกเงยมากพอ บวกกับรายได้ที่สูงขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับตอนเริ่มต้นทำงาน เค้าจึงเริ่มคิดซื้อบ้าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่