พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
การทำบุญกุศลนี้ ผุ้ใดทำได้เท่าไรก็ได้ผลเท่านั้น
ทำมากก็ได้ผลมาก ทำน้อยก็ได้ผลน้อย
เหมือนกับปลูกพืชลงในดินนั่นแหละ มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ
บัดนี้เมื่อทำน้อยก็ได้ผลน้อยก็ได้มีความสุขน้อย
แล้วเมื่อมีความสุขน้อยมันก็ได้รับความทุกข์มากกว่าความสุข
มันก็เป็นเช่นนั้น
ผู้ทำความดีมากขึ้นไปโดยลำดับบัดนี้ก็มีความสุขมาก
ความทุกข์มันก็เบาลง หมายถึง “ความทุกข์ทางใจ” นา
แต่ความทุกข์ทางร่างกายนี่มันเป็นผลของบุญของบาป
ที่แต่ละบุคคลทำเอามา อย่าเอาไปผสมผสานกัน
แม้ว่าผู้นั้นจะทำความดีเข้มแข็งอยู่อย่างไร
แต่ถ้าผู้นั้นมีกรรมชั่วติดตัวมาถึงเวลากรรมชั่วมันให้ผลแล้ว
กรรมดีที่ทำนั้นมันก็ต้านทานไม่ได้ มันก็ให้ผลไป
นี้แหละต้องเข้าใจให้มันได้สัดได้ส่วนกัน อย่าไขว้เขวความรู้เรื่องกรรม
เรื่องผลของกรรมนี่น่ะ ไม่เช่นนั้นก็จะไปมองเห็นว่า
บุญกุศลคุณความดีที่ตนทำมานั้นน่ะไม่สามารถจะช่วยตัวให้พ้นทุกข์ได้
ทำบุญกุศลเท่าไรยิ่งมีความทุกข์มาก
บางคนก็ทำดีมาเท่าไร
ก็ยิ่งมีใครไม่เห็นดีด้วย มีแต่ผู้ยกโทษติเตียนเลยน้อยเนื้อต่ำใจ
แหม..เรานี้ทำดีอยู่ปานนี้ยังไม่มีใครยกย่องสรรเสริญเลย
มีแต่ผู้นินทาติเตียน ชะรอยว่าความดีที่เราทำนี้มันจะไม่มีผลกระมัง
อย่างนี้แหละคนไม่เคารพต่อเหตุผลน่ะ
ไม่รู้คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแจ่มแจ้ง มันก็ย่อมไม่สามารถที่จะอดกลั้น
ทนทานต่อคำนินทาว่าร้ายต่างๆนั่นก็เกิดความทุกข์ ความโทมนัส
หรือกลายเป็นความโกรธ ความพยาบาทไป แก้แค้น ตอบแทนกันไป เช่นนี้แหละ
ก็ถ้าเคารพต่อเหตุผลหรือต่อกรรมต่อผลของกรรมแล้ว
มันก็จะคำนึงถึงว่า อดีตหนหลังชาติก่อนนู้นเราคงได้ไปด่าว่า
ติเตียนท่านผู้มีศีลมีธรรมหรือไปด่าคนที่เขาไม่ผิดแต่เมื่อโกรธเขา
ไม่พอใจเขาแล้วก็ปั้นเรื่องใส่เขาอะไรไปทำนองนั้นแหละ
กรรมนั้นถึงติดตามมาสนองเอา ไปอยู่ไหนไปทำอะไร
ก็ไม่ค่อยจะมีคนสนับสนุน มีแต่คนคัดค้านหมู่นี้
มันต้องรู้แจ้งในเหตุปัจจัยเหล่านี้ ว่ามันต้องมีเหตุปัจจัย
อันใดอันหนึ่งที่ไม่ดีไม่งามน่ะมันติดตามมาแต่หนหลัง
ถึงเวลามันให้ผลแล้ว มันก็ให้ผลไป
บางคนก็โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนร่างกายให้ทรุดโทรมไป
ก่อนวัยที่ควรจะเป็นไป เช่นอายุไม่ทันไรก็ดูสภาพร่างกายแล้ว
รู้สึกว่ากลายเป็นคนแก่ไปมากกว่าอายุอานาม อันหมู่นี้มันต้องรู้ไว้
มันล้วนแต่กรรมเป็นเครื่องตกแต่งทั้งนั้นเลย อย่าไปสงสัย
ผู้ใดรู้แจ้งเรื่องกรรม เรื่องผลของกรรม
ที่มาตกแต่งอัตภาพร่างกายให้ดวงจิตนี้ได้อาศัยอย่างนี้แล้ว
มันก็จะต้องอดกลั้นทนทานต่อวิบากกรรมเหล่านี้
ทำอย่างไรล่ะตนได้ทำเอามาแล้ว จะเอาไปโยนให้ใครล่ะบัดนี้
นั่นก็ต้องสอนใจเข้าไปอย่างนี้ เอาไปโยนให้ใคร
ใครเขาจะรับเอา ไม่มีใครเขารับ ตนเองเป็นผู้ทำมา
ตนเองก็ต้องเสวยผลของมันไป จนกว่ามันจะหมดเขตของมัน
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "กรรมปางก่อน"
ผู้เข้าใจเรื่องกรรมย่อมอดทนต่อวิบากกรรม : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
การทำบุญกุศลนี้ ผุ้ใดทำได้เท่าไรก็ได้ผลเท่านั้น
ทำมากก็ได้ผลมาก ทำน้อยก็ได้ผลน้อย
เหมือนกับปลูกพืชลงในดินนั่นแหละ มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ
บัดนี้เมื่อทำน้อยก็ได้ผลน้อยก็ได้มีความสุขน้อย
แล้วเมื่อมีความสุขน้อยมันก็ได้รับความทุกข์มากกว่าความสุข
มันก็เป็นเช่นนั้น ผู้ทำความดีมากขึ้นไปโดยลำดับบัดนี้ก็มีความสุขมาก
ความทุกข์มันก็เบาลง หมายถึง “ความทุกข์ทางใจ” นา
แต่ความทุกข์ทางร่างกายนี่มันเป็นผลของบุญของบาป
ที่แต่ละบุคคลทำเอามา อย่าเอาไปผสมผสานกัน
แม้ว่าผู้นั้นจะทำความดีเข้มแข็งอยู่อย่างไร
แต่ถ้าผู้นั้นมีกรรมชั่วติดตัวมาถึงเวลากรรมชั่วมันให้ผลแล้ว
กรรมดีที่ทำนั้นมันก็ต้านทานไม่ได้ มันก็ให้ผลไป
นี้แหละต้องเข้าใจให้มันได้สัดได้ส่วนกัน อย่าไขว้เขวความรู้เรื่องกรรม
เรื่องผลของกรรมนี่น่ะ ไม่เช่นนั้นก็จะไปมองเห็นว่า
บุญกุศลคุณความดีที่ตนทำมานั้นน่ะไม่สามารถจะช่วยตัวให้พ้นทุกข์ได้
ทำบุญกุศลเท่าไรยิ่งมีความทุกข์มาก บางคนก็ทำดีมาเท่าไร
ก็ยิ่งมีใครไม่เห็นดีด้วย มีแต่ผู้ยกโทษติเตียนเลยน้อยเนื้อต่ำใจ
แหม..เรานี้ทำดีอยู่ปานนี้ยังไม่มีใครยกย่องสรรเสริญเลย
มีแต่ผู้นินทาติเตียน ชะรอยว่าความดีที่เราทำนี้มันจะไม่มีผลกระมัง
อย่างนี้แหละคนไม่เคารพต่อเหตุผลน่ะ
ไม่รู้คำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแจ่มแจ้ง มันก็ย่อมไม่สามารถที่จะอดกลั้น
ทนทานต่อคำนินทาว่าร้ายต่างๆนั่นก็เกิดความทุกข์ ความโทมนัส
หรือกลายเป็นความโกรธ ความพยาบาทไป แก้แค้น ตอบแทนกันไป เช่นนี้แหละ
ก็ถ้าเคารพต่อเหตุผลหรือต่อกรรมต่อผลของกรรมแล้ว
มันก็จะคำนึงถึงว่า อดีตหนหลังชาติก่อนนู้นเราคงได้ไปด่าว่า
ติเตียนท่านผู้มีศีลมีธรรมหรือไปด่าคนที่เขาไม่ผิดแต่เมื่อโกรธเขา
ไม่พอใจเขาแล้วก็ปั้นเรื่องใส่เขาอะไรไปทำนองนั้นแหละ
กรรมนั้นถึงติดตามมาสนองเอา ไปอยู่ไหนไปทำอะไร
ก็ไม่ค่อยจะมีคนสนับสนุน มีแต่คนคัดค้านหมู่นี้
มันต้องรู้แจ้งในเหตุปัจจัยเหล่านี้ ว่ามันต้องมีเหตุปัจจัย
อันใดอันหนึ่งที่ไม่ดีไม่งามน่ะมันติดตามมาแต่หนหลัง
ถึงเวลามันให้ผลแล้ว มันก็ให้ผลไป
บางคนก็โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนร่างกายให้ทรุดโทรมไป
ก่อนวัยที่ควรจะเป็นไป เช่นอายุไม่ทันไรก็ดูสภาพร่างกายแล้ว
รู้สึกว่ากลายเป็นคนแก่ไปมากกว่าอายุอานาม อันหมู่นี้มันต้องรู้ไว้
มันล้วนแต่กรรมเป็นเครื่องตกแต่งทั้งนั้นเลย อย่าไปสงสัย
ผู้ใดรู้แจ้งเรื่องกรรม เรื่องผลของกรรม
ที่มาตกแต่งอัตภาพร่างกายให้ดวงจิตนี้ได้อาศัยอย่างนี้แล้ว
มันก็จะต้องอดกลั้นทนทานต่อวิบากกรรมเหล่านี้
ทำอย่างไรล่ะตนได้ทำเอามาแล้ว จะเอาไปโยนให้ใครล่ะบัดนี้
นั่นก็ต้องสอนใจเข้าไปอย่างนี้ เอาไปโยนให้ใคร
ใครเขาจะรับเอา ไม่มีใครเขารับ ตนเองเป็นผู้ทำมา
ตนเองก็ต้องเสวยผลของมันไป จนกว่ามันจะหมดเขตของมัน
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "กรรมปางก่อน"