[Work and holiday story 2014]ประสบการณ์ขุดทองในออสเตรเลีย
ต่อจากกระทู้ที่1
http://ppantip.com/topic/34304658
และจากกระทู้ที่2
http://ppantip.com/topic/34304741
ทำฟาร์มมาครบเดือนแล้ว ต้องยอมรับว่าตัวเองอึดและถึกจริงๆ แค่นี้ทุกคนก็ต้องยอมรับในตัวเราล๊าววว แต่แทนที่จะรู้สึกยินดีกลับรู้สึกโหวงเหวง เหมือนกับว่าเราได้มาถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว จะก้าวต่อไปหรือจะหันหลังกลับ เอาไงดี
อาทิตย์ที่ห้าศรีก็ยังมีชีวิตอยู่ในฟาร์มค่ะ คุณได้ไปต่อ ฮ่าๆๆ แต่อาทิตย์นี้ส่วนใหญ่ก็หลบร่มตลอดค่ะ ไปรถvegบองจอนก็ให้แพคอย่างเดียว ถ้าวันไหนบองจอนไม่ได้คุยกับน้องพีซ นางอาจตายได้ค่ะ ตูเพลีย ถ้าได้ไปรถกาก้ายิ่งแล้วใหญ่ บองเซี้ยะให้ติดticketอย่างเดียวเลย บางวันฝนตกหนักมากๆ เจ้าของฟาร์มก็มารับไปแพคในshed วันไหนได้ลงมาตัดข้างล่าง หนุ่มๆ ในฟาร์มก็รีบมาช่วย โครตขี้โกงเลยค่ะ ศรีได้แต่ยืนมองคุณตาคุณยายตากแดดตากฝนอยู่ด้านล่างด้วยความละเหี่ยใจ คำว่าสองมาตรฐานไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลเลย ตูนี่เอง
และแล้วที่ฟาร์มผักก็มีการรับคนใหม่เพื่อรองรับผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในจำนวนนั้นมีสาวสวยฮ่องกงนามว่า‘แองเจล’ แค่เห็นชื่อก็สั่นคลอนตำแหน่งนางงามมิตรภาพของน้องพีซลงได้ บองจอนรีบเข้าไปประกบสอนนางอย่างรวดเร็ว หนุ่มๆ ในฟาร์มก็รีบสละพื้นที่ให้นางได้ขึ้นรถ ช่วงพักศรีเดินตามแองเจลไปเจอนางยืนดูดบุหรี่อยู่ข้างแปลงผัก เกิดมาเพิ่งเคยเห็นนางฟ้าสูบบุหรี่เนี่ยแหละ ที่สำคัญความสามารถในการตัดผักของนางนั่น หาที่ดีไม่ได้(สวยกว่าอ่ะไม่ย๊อม)
เหมือนมองตัวเองในอดีตเลยค่ะท่านผู้อ่าน ก๊ากๆๆ ทั้งอืดอาดยืดยาด ไม่ตั้งใจฝึก กลัวแดดกลัวฝน พอเด็กใหม่ที่เพิ่งเริ่มฝึกหัดเข้ามา เราก็กลายเป็นรุ่นพี่ไปโดยปริยาย พอเด็กใหม่ช้า เราก็ต้องเข้าไปช่วย ไม่งั้นมันจะวิ่งไม่ทันรถ กลายเป็นว่าเราตัดเร็วไปเลย พอถึงเวลาสลับเปลี่ยนขึ้นไปมัดบนรถ พวกนางก็จะรีบวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครอยากตากแดด ศรีเลยต้องอยู่ข้างล่างต่อทั้งวัน แต่ไม่เป็นไรค่ะ ศรีทนได้
เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง กลายเป็น...เกษตรกร แข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
หมดวันสุดท้ายของสัปดาห์ ศรีขอกลับบ้านไปนอนตีพุง แต่ทว่า...รายชื่อคนที่ได้ทำงานวันเสาร์ดันมีชื่อศรีอยู่บนนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ ใครๆ ก็บอกศรีอีกแล้วว่า ยูน่ะลัคกี้มากนะ คนที่ทำงานเกือบปีขึ้นไปถึงจะมีชื่อทำงานวันเสาร์ ยูมาแค่เดือนเดียวก็ได้ทำวันเสาร์แล้ว
แต่ว่าศรีอยากนอนกินขนมอยู่บ้าน แต่ถ้าปฏิเสธครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง เพราะศรีถูกเสนอชื่อมาสองครั้งแล้ว และคงจะไม่มีครั้งหน้าอีก เอาไงดี...
และแล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็มาถึง เพราะเรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพื่อนที่บ้านซึ่งทำงานอยู่ฟาร์มสตรอเบอรรี่ชวนไปทำงานที่ฟาร์มอีก ซึ่งเราเคยคุยกับเพื่อนคนนี้ไว้แล้วว่าอยากไป เพราะเงินดีกว่าฟาร์มผัก เราตอบตกลงทันที พอบอกน้าว่าจะไปทำฟาร์มสตรอเบอรรี่ นางถึงกับระเบิดลงเลยค่ะ
ที่บ้านน้าไม่มีใครเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ บอกว่าสตรอเบอรรี่งานหนัก ปวดหลังมาก เราทำไม่ได้หรอก มาคำนี้อีกแล้ว เราก็บอกว่าเราทำได้ค่ะ เราอยากลอง น้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่า แค่งานที่ฟาร์มผักเรายังทำไม่ได้เลยแล้วจะไปทำสตรอเบอรรี่ได้ไง ที่ฟาร์มผักเค้าเอาเราไว้เพราะเกรงใจที่น้าและพี่ๆ ช่วยฝากงานให้ ทำงานช้าแบบเราอ่ะ ปกติเค้าไล่ออกไปนานแล้ว
ยวั้ะค่ะ ยวั้ะมากวันนั้น ผู้อ่านที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้นคงไม่เห็นด้วยใช่มั้ยคะ ถึงศรีจะใช้วิชามารบ้าง แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นเด็กเส้นได้หรอกนะคะ จำได้ว่าวันนั้นน้าบอกหลายอย่างมากๆ ที่ทำให้มือเรากำแน่นจนเจ็บเลย ว่าเราเป็นลูกคุณหนูทำงานไม่เป็น ว่าเราจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ ว่าเราจะไม่ได้เงินกลับไทยเลย ว่าเราเดินทางมาเมืองนอกแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย อ้าปากจะเถียงอยู่หลายครั้งนะคะ แต่ก็ต้องเงียบลง เพราะเราก็ไม่มีอะไรจะพิสูจน์สิ่งที่น้าตราหน้าเอาไว้จริงๆ
เราไม่เคยทำงานหนัก กับข้าวก็ทำไม่เป็น เราไม่มีจุดหมายอะไรกับการมาออสเตรเลียครั้งนี้ แถมยังไม่รู้ว่าที่ฟาร์มสตรอเบอรรี่จะไปรอดมั้ย น้าอาจจะพูดถูกทุกอย่างเลยก็ได้ มีเพียงแค่เราเท่านั้นที่จะเปลี่ยนคำพูดนั้นให้กลายเป็นเรื่องไร้สาระได้ และมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และเราจะทำให้ทุกคนต้องกลืนคำพูดที่เคยตราหน้าเราเอาไว้
ช่วงเบรคเหล่าฟาร์มเมอร์ชีวิตติดดินก็จะหาที่พักผ่อนหย่อนใจตามแปลงสตรอเบอร์รี่
และแล้วสงครามอันยืดเยื้อก็ถือกำเนิดขึ้น วันแรกที่ฟาร์มสตรอเบอร์รี่นั้นศรีพกความมั่นใจมาเต็มร้อย ไม่มีคำว่าถอยค่ะ สตรอเบอร์รี่คือศัตรูอันดับหนึ่ง การเก็บสตรอเบอร์รี่ต้องใช้ความชำนาญและความอดทนสูงมาก วันแรกก็ยังไม่ค่อยเป็นค่ะ ถือแฮนเดิล(คล้ายตะกร้าโลหะ)ค่อยๆ เก็บที่ละพุ่มไป ตื่นตาตื่นใจกับลูกสตรอที่นี่มากค่ะ ลูกใหญ่เกือบเต็มฝ่ามือและก็หวานมาก เก็บไปกินไปค่ะ หุหุ แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้การเก็บสตรอเบอร์รี่ยากก็เพราะเราต้องถือถาดสตรอที่หนักเป็นสิบโล เดินเก็บไปจนสุดแปลงแล้วค่อยเอาถาดไปเก็บที่พาเล็ท เพื่อจะเก็บให้ทันเพื่อนๆ ศรีก็ทิ้งลูกสตรอเหลือไว้ตามต้นเยอะมาก จนคอนแทกเตอร์ต้องเข้ามาเตือนหลายครั้ง วันแรกเหมือนคนกินยาม้าค่ะ ทำงานบ้าพลังมาก แต่การเปลี่ยนมาทำฟาร์มสตรอเบอร์รี่รู้สึกสนุกและได้เพื่อนเยอะด้วย เพราะมีแต่คนไทยทั้งฟาร์ม กลับมาบ้านก็เซกู๊ดบายฟาร์มผัก เวลคัมทูฟาร์มสตรอเบอร์รี่ ได้เงินชั่วโมงละ14.5เหรียญ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็จะได้ออกไปเที่ยวล๊าวว ยู้วฮู
ฝันดีอยู่ได้วันเดียวค่ะ วันเดียวจริงๆ นะ ทุกอย่างก็พังคลืนลง เพราะจู่เจ้าของฟาร์มก็ให้เปลี่ยนมาเก็บแบบเหมา เก็บเหมาก็คือการชั่งกิโลเพื่อคูณเป็นเงินอีกที โอ้ ม่ายยยย สำหรับมือโปรที่เก็บเร็วก็ยิ้มสิคะ แต่ศรีเพิ่งเริ่มได้วันเดียว ฟาร์มสตรอเบอร์รี่ที่เคยสนุกสนานได้เปลี่ยนเป็นสนามรบทันทีค่ะ ทุกคนมุ่งหน้าอยู่ที่การเก็บจนไม่สนใจที่จะช่วยเหลือกันอีกแล้ว การเก็บสตรอบางครั้งล่วงเลยไปเป็นวันละสิบเอ็ดชั่วโมง ถ้าไม่เหนื่อยก็ไม่พัก ทุกคนทำงานกันเอาเป็นเอาตายต่อสู้กับฤดูร้อนที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นกว่า35องศา หัวแทบระเบิด ส่วนศรีก็ทั้งยืนเก็บ นั่งเก็บ นอนเก็บก็ทำมาแล้วเพื่อต่อสู้กับหลังของตัวเองที่ทำท่าเหมือนจะหลุดออกมาจากเอว คนใหม่ๆ อย่างเราบางวันก็ได้เงินพอๆ กับฟาร์มผักแต่เหนื่อยกว่าเท่าตัว บางวันได้น้อยกว่านี่โคตรเจ็บใจเลย กลับบ้านมาหลังนี่ชาไร้ความรู้สึกไปเลย ขาก็ช้ำเป็นรอยจ้ำเพราะชนกับแฮนเดิล ผดขึ้นเพราะตากแดดนาน ความรู้สึกตอนนั้นคือเหนื่อยจนพูดไม่ออก แต่พอน้าถามว่าทำงานเป็นไง ก็ต้องตอบว่า สบายมากค่ะ ฮ่าๆๆ ศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่
การเก็บเหมานอกจากจะทำให้เราได้ไปผจญนรกมาช่วงหนึ่งแล้วยังใช้คัดเพื่อนได้อีกด้วย คนไหนคือเพื่อนที่จะไม่ทิ้งกันเวลาที่เราล้มน่ะ มันวัดกันตรงนี้แหละ สงครามยังดำเนินต่อทั้งที่ฟาร์มและที่ใจเราเอง เก็บสตรอเบอร์รี่มันเหนื่อยกว่าตัดผักจริงๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหน แถมยังได้เงินไม่แน่นอนอีก รู้สึกว่าคิดผิดที่เปลี่ยนมาทำฟาร์มนี้ แต่ทุกครั้งที่ท้อ คำพูดของน้าก็จะลอยมาทำให้เรากัดฟันสู้ต่อ เวลาผ่านไปสามอาทิตย์ ไวเหมือนโกหก จู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ให้ต้องเปลี่ยนไปเก็บเป็นชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน ทั้งฟาร์มโห่ร้องด้วยความยินดี
รถเข็นที่ใช้เดินเก็บสตรอเบอร์รี่และเดอะฟาร์มเมอร์ทั้งหลาย
พอกลับมาเก็บชั่วโมงก็ได้เงินเพิ่มทันที หันกลับมาดูเวลาอีกทีก็ปีใหม่แล้ว ทำฟาร์มสตรอเบอร์รี่มาครบเดือนแล้วเหรอเนี่ย เหนื่อยจนลืมทุกอย่างเลยจริงๆ แม้แต่ความรู้สึกยินดีที่สามารถเอาชนะคำพูดของคนอื่นๆ ได้ยังไม่มีเลย สุดท้ายแล้วคนที่เราต้องต่อสู้ด้วยก็คือตัวเองต่างหาก
หลังจากทำฟาร์มสตรอเบอร์รี่ต่ออีกสองเดือน เราก็หลุดพ้นจากงานฟาร์ม เพราะน้าแนะนำงานโรงงานให้ เราทำงานโรงงานตลอดเวลาที่เหลืออีกเจ็ดเดือนจนหมดวีซ่า ระหว่างนั้นก็ได้ท่องเที่ยวและช็อปปิ้งสมใจ ฮ่าๆๆ
วันที่เราตัดสินใจออกมาทำฟาร์ม เราก็ได้สร้างตำนานให้กับตัวเองเรียบร้อยแล้ว เพราะชีวิตนี้เราคงจะไม่มีโอกาสได้ทำงานแบบนี้อีกแน่ๆ คนที่ทำงานร้านอาหารหรืองานโรงแรมก็มีเรื่องเล่าของตัวเอง งานทุกอย่างล้วนมีคุณค่าในตัวมันเอง ไม่ว่าจะต้อยต่ำติดดินแค่ไหน อย่าถามว่าไม่เสียดายความรู้ที่เรียนมาหรือไง เพราะวันที่เราตัดสินใจทิ้งใบปริญญามาถือมีดตัดผัก(แค่ชั่วคราว) เราได้เรียนรู้คุณค่าของสิ่งที่เคยคิดว่าไร้ค่า อย่าถามว่าได้เงินมาเท่าไหร่ เพราะประสบการณ์ที่เราได้รับจากการมาทำงานที่นี่มีค่ามากกว่าทองคำ(ความจริงเที่ยวจนเงินหมด)
จบแล้วค่า ขอบคุณที่ตั้งใจอ่าน
ถ้าชอบการเขียนของ จขกท. ติดตามผลงานอื่นๆ ได้ที่นี่ค่ะ
http://writer.dek-d.com/joylon/story/view.php?id=915792
ขอโฆษณาเล็กๆ หุๆๆ
แชร์ประสบการณ์ในออสเตรเลีย[Work and holiday story 2014]ภาค3
ต่อจากกระทู้ที่1 http://ppantip.com/topic/34304658
และจากกระทู้ที่2 http://ppantip.com/topic/34304741
ทำฟาร์มมาครบเดือนแล้ว ต้องยอมรับว่าตัวเองอึดและถึกจริงๆ แค่นี้ทุกคนก็ต้องยอมรับในตัวเราล๊าววว แต่แทนที่จะรู้สึกยินดีกลับรู้สึกโหวงเหวง เหมือนกับว่าเราได้มาถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว จะก้าวต่อไปหรือจะหันหลังกลับ เอาไงดี
อาทิตย์ที่ห้าศรีก็ยังมีชีวิตอยู่ในฟาร์มค่ะ คุณได้ไปต่อ ฮ่าๆๆ แต่อาทิตย์นี้ส่วนใหญ่ก็หลบร่มตลอดค่ะ ไปรถvegบองจอนก็ให้แพคอย่างเดียว ถ้าวันไหนบองจอนไม่ได้คุยกับน้องพีซ นางอาจตายได้ค่ะ ตูเพลีย ถ้าได้ไปรถกาก้ายิ่งแล้วใหญ่ บองเซี้ยะให้ติดticketอย่างเดียวเลย บางวันฝนตกหนักมากๆ เจ้าของฟาร์มก็มารับไปแพคในshed วันไหนได้ลงมาตัดข้างล่าง หนุ่มๆ ในฟาร์มก็รีบมาช่วย โครตขี้โกงเลยค่ะ ศรีได้แต่ยืนมองคุณตาคุณยายตากแดดตากฝนอยู่ด้านล่างด้วยความละเหี่ยใจ คำว่าสองมาตรฐานไม่ต้องไปมองที่ไหนไกลเลย ตูนี่เอง
และแล้วที่ฟาร์มผักก็มีการรับคนใหม่เพื่อรองรับผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในจำนวนนั้นมีสาวสวยฮ่องกงนามว่า‘แองเจล’ แค่เห็นชื่อก็สั่นคลอนตำแหน่งนางงามมิตรภาพของน้องพีซลงได้ บองจอนรีบเข้าไปประกบสอนนางอย่างรวดเร็ว หนุ่มๆ ในฟาร์มก็รีบสละพื้นที่ให้นางได้ขึ้นรถ ช่วงพักศรีเดินตามแองเจลไปเจอนางยืนดูดบุหรี่อยู่ข้างแปลงผัก เกิดมาเพิ่งเคยเห็นนางฟ้าสูบบุหรี่เนี่ยแหละ ที่สำคัญความสามารถในการตัดผักของนางนั่น หาที่ดีไม่ได้(สวยกว่าอ่ะไม่ย๊อม)
เหมือนมองตัวเองในอดีตเลยค่ะท่านผู้อ่าน ก๊ากๆๆ ทั้งอืดอาดยืดยาด ไม่ตั้งใจฝึก กลัวแดดกลัวฝน พอเด็กใหม่ที่เพิ่งเริ่มฝึกหัดเข้ามา เราก็กลายเป็นรุ่นพี่ไปโดยปริยาย พอเด็กใหม่ช้า เราก็ต้องเข้าไปช่วย ไม่งั้นมันจะวิ่งไม่ทันรถ กลายเป็นว่าเราตัดเร็วไปเลย พอถึงเวลาสลับเปลี่ยนขึ้นไปมัดบนรถ พวกนางก็จะรีบวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครอยากตากแดด ศรีเลยต้องอยู่ข้างล่างต่อทั้งวัน แต่ไม่เป็นไรค่ะ ศรีทนได้
เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง กลายเป็น...เกษตรกร แข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
หมดวันสุดท้ายของสัปดาห์ ศรีขอกลับบ้านไปนอนตีพุง แต่ทว่า...รายชื่อคนที่ได้ทำงานวันเสาร์ดันมีชื่อศรีอยู่บนนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ ใครๆ ก็บอกศรีอีกแล้วว่า ยูน่ะลัคกี้มากนะ คนที่ทำงานเกือบปีขึ้นไปถึงจะมีชื่อทำงานวันเสาร์ ยูมาแค่เดือนเดียวก็ได้ทำวันเสาร์แล้ว
แต่ว่าศรีอยากนอนกินขนมอยู่บ้าน แต่ถ้าปฏิเสธครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง เพราะศรีถูกเสนอชื่อมาสองครั้งแล้ว และคงจะไม่มีครั้งหน้าอีก เอาไงดี...
และแล้วจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็มาถึง เพราะเรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพื่อนที่บ้านซึ่งทำงานอยู่ฟาร์มสตรอเบอรรี่ชวนไปทำงานที่ฟาร์มอีก ซึ่งเราเคยคุยกับเพื่อนคนนี้ไว้แล้วว่าอยากไป เพราะเงินดีกว่าฟาร์มผัก เราตอบตกลงทันที พอบอกน้าว่าจะไปทำฟาร์มสตรอเบอรรี่ นางถึงกับระเบิดลงเลยค่ะ
ที่บ้านน้าไม่มีใครเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ บอกว่าสตรอเบอรรี่งานหนัก ปวดหลังมาก เราทำไม่ได้หรอก มาคำนี้อีกแล้ว เราก็บอกว่าเราทำได้ค่ะ เราอยากลอง น้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่า แค่งานที่ฟาร์มผักเรายังทำไม่ได้เลยแล้วจะไปทำสตรอเบอรรี่ได้ไง ที่ฟาร์มผักเค้าเอาเราไว้เพราะเกรงใจที่น้าและพี่ๆ ช่วยฝากงานให้ ทำงานช้าแบบเราอ่ะ ปกติเค้าไล่ออกไปนานแล้ว
ยวั้ะค่ะ ยวั้ะมากวันนั้น ผู้อ่านที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้นคงไม่เห็นด้วยใช่มั้ยคะ ถึงศรีจะใช้วิชามารบ้าง แต่คงไม่ถึงขั้นเป็นเด็กเส้นได้หรอกนะคะ จำได้ว่าวันนั้นน้าบอกหลายอย่างมากๆ ที่ทำให้มือเรากำแน่นจนเจ็บเลย ว่าเราเป็นลูกคุณหนูทำงานไม่เป็น ว่าเราจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ ว่าเราจะไม่ได้เงินกลับไทยเลย ว่าเราเดินทางมาเมืองนอกแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย อ้าปากจะเถียงอยู่หลายครั้งนะคะ แต่ก็ต้องเงียบลง เพราะเราก็ไม่มีอะไรจะพิสูจน์สิ่งที่น้าตราหน้าเอาไว้จริงๆ
เราไม่เคยทำงานหนัก กับข้าวก็ทำไม่เป็น เราไม่มีจุดหมายอะไรกับการมาออสเตรเลียครั้งนี้ แถมยังไม่รู้ว่าที่ฟาร์มสตรอเบอรรี่จะไปรอดมั้ย น้าอาจจะพูดถูกทุกอย่างเลยก็ได้ มีเพียงแค่เราเท่านั้นที่จะเปลี่ยนคำพูดนั้นให้กลายเป็นเรื่องไร้สาระได้ และมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ และเราจะทำให้ทุกคนต้องกลืนคำพูดที่เคยตราหน้าเราเอาไว้
และแล้วสงครามอันยืดเยื้อก็ถือกำเนิดขึ้น วันแรกที่ฟาร์มสตรอเบอร์รี่นั้นศรีพกความมั่นใจมาเต็มร้อย ไม่มีคำว่าถอยค่ะ สตรอเบอร์รี่คือศัตรูอันดับหนึ่ง การเก็บสตรอเบอร์รี่ต้องใช้ความชำนาญและความอดทนสูงมาก วันแรกก็ยังไม่ค่อยเป็นค่ะ ถือแฮนเดิล(คล้ายตะกร้าโลหะ)ค่อยๆ เก็บที่ละพุ่มไป ตื่นตาตื่นใจกับลูกสตรอที่นี่มากค่ะ ลูกใหญ่เกือบเต็มฝ่ามือและก็หวานมาก เก็บไปกินไปค่ะ หุหุ แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้การเก็บสตรอเบอร์รี่ยากก็เพราะเราต้องถือถาดสตรอที่หนักเป็นสิบโล เดินเก็บไปจนสุดแปลงแล้วค่อยเอาถาดไปเก็บที่พาเล็ท เพื่อจะเก็บให้ทันเพื่อนๆ ศรีก็ทิ้งลูกสตรอเหลือไว้ตามต้นเยอะมาก จนคอนแทกเตอร์ต้องเข้ามาเตือนหลายครั้ง วันแรกเหมือนคนกินยาม้าค่ะ ทำงานบ้าพลังมาก แต่การเปลี่ยนมาทำฟาร์มสตรอเบอร์รี่รู้สึกสนุกและได้เพื่อนเยอะด้วย เพราะมีแต่คนไทยทั้งฟาร์ม กลับมาบ้านก็เซกู๊ดบายฟาร์มผัก เวลคัมทูฟาร์มสตรอเบอร์รี่ ได้เงินชั่วโมงละ14.5เหรียญ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็จะได้ออกไปเที่ยวล๊าวว ยู้วฮู
ฝันดีอยู่ได้วันเดียวค่ะ วันเดียวจริงๆ นะ ทุกอย่างก็พังคลืนลง เพราะจู่เจ้าของฟาร์มก็ให้เปลี่ยนมาเก็บแบบเหมา เก็บเหมาก็คือการชั่งกิโลเพื่อคูณเป็นเงินอีกที โอ้ ม่ายยยย สำหรับมือโปรที่เก็บเร็วก็ยิ้มสิคะ แต่ศรีเพิ่งเริ่มได้วันเดียว ฟาร์มสตรอเบอร์รี่ที่เคยสนุกสนานได้เปลี่ยนเป็นสนามรบทันทีค่ะ ทุกคนมุ่งหน้าอยู่ที่การเก็บจนไม่สนใจที่จะช่วยเหลือกันอีกแล้ว การเก็บสตรอบางครั้งล่วงเลยไปเป็นวันละสิบเอ็ดชั่วโมง ถ้าไม่เหนื่อยก็ไม่พัก ทุกคนทำงานกันเอาเป็นเอาตายต่อสู้กับฤดูร้อนที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นกว่า35องศา หัวแทบระเบิด ส่วนศรีก็ทั้งยืนเก็บ นั่งเก็บ นอนเก็บก็ทำมาแล้วเพื่อต่อสู้กับหลังของตัวเองที่ทำท่าเหมือนจะหลุดออกมาจากเอว คนใหม่ๆ อย่างเราบางวันก็ได้เงินพอๆ กับฟาร์มผักแต่เหนื่อยกว่าเท่าตัว บางวันได้น้อยกว่านี่โคตรเจ็บใจเลย กลับบ้านมาหลังนี่ชาไร้ความรู้สึกไปเลย ขาก็ช้ำเป็นรอยจ้ำเพราะชนกับแฮนเดิล ผดขึ้นเพราะตากแดดนาน ความรู้สึกตอนนั้นคือเหนื่อยจนพูดไม่ออก แต่พอน้าถามว่าทำงานเป็นไง ก็ต้องตอบว่า สบายมากค่ะ ฮ่าๆๆ ศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่
การเก็บเหมานอกจากจะทำให้เราได้ไปผจญนรกมาช่วงหนึ่งแล้วยังใช้คัดเพื่อนได้อีกด้วย คนไหนคือเพื่อนที่จะไม่ทิ้งกันเวลาที่เราล้มน่ะ มันวัดกันตรงนี้แหละ สงครามยังดำเนินต่อทั้งที่ฟาร์มและที่ใจเราเอง เก็บสตรอเบอร์รี่มันเหนื่อยกว่าตัดผักจริงๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหน แถมยังได้เงินไม่แน่นอนอีก รู้สึกว่าคิดผิดที่เปลี่ยนมาทำฟาร์มนี้ แต่ทุกครั้งที่ท้อ คำพูดของน้าก็จะลอยมาทำให้เรากัดฟันสู้ต่อ เวลาผ่านไปสามอาทิตย์ ไวเหมือนโกหก จู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ให้ต้องเปลี่ยนไปเก็บเป็นชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน ทั้งฟาร์มโห่ร้องด้วยความยินดี
พอกลับมาเก็บชั่วโมงก็ได้เงินเพิ่มทันที หันกลับมาดูเวลาอีกทีก็ปีใหม่แล้ว ทำฟาร์มสตรอเบอร์รี่มาครบเดือนแล้วเหรอเนี่ย เหนื่อยจนลืมทุกอย่างเลยจริงๆ แม้แต่ความรู้สึกยินดีที่สามารถเอาชนะคำพูดของคนอื่นๆ ได้ยังไม่มีเลย สุดท้ายแล้วคนที่เราต้องต่อสู้ด้วยก็คือตัวเองต่างหาก
หลังจากทำฟาร์มสตรอเบอร์รี่ต่ออีกสองเดือน เราก็หลุดพ้นจากงานฟาร์ม เพราะน้าแนะนำงานโรงงานให้ เราทำงานโรงงานตลอดเวลาที่เหลืออีกเจ็ดเดือนจนหมดวีซ่า ระหว่างนั้นก็ได้ท่องเที่ยวและช็อปปิ้งสมใจ ฮ่าๆๆ
วันที่เราตัดสินใจออกมาทำฟาร์ม เราก็ได้สร้างตำนานให้กับตัวเองเรียบร้อยแล้ว เพราะชีวิตนี้เราคงจะไม่มีโอกาสได้ทำงานแบบนี้อีกแน่ๆ คนที่ทำงานร้านอาหารหรืองานโรงแรมก็มีเรื่องเล่าของตัวเอง งานทุกอย่างล้วนมีคุณค่าในตัวมันเอง ไม่ว่าจะต้อยต่ำติดดินแค่ไหน อย่าถามว่าไม่เสียดายความรู้ที่เรียนมาหรือไง เพราะวันที่เราตัดสินใจทิ้งใบปริญญามาถือมีดตัดผัก(แค่ชั่วคราว) เราได้เรียนรู้คุณค่าของสิ่งที่เคยคิดว่าไร้ค่า อย่าถามว่าได้เงินมาเท่าไหร่ เพราะประสบการณ์ที่เราได้รับจากการมาทำงานที่นี่มีค่ามากกว่าทองคำ(ความจริงเที่ยวจนเงินหมด)
จบแล้วค่า ขอบคุณที่ตั้งใจอ่าน
ถ้าชอบการเขียนของ จขกท. ติดตามผลงานอื่นๆ ได้ที่นี่ค่ะ
http://writer.dek-d.com/joylon/story/view.php?id=915792
ขอโฆษณาเล็กๆ หุๆๆ