โลกธรรม ๘ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...


ยศถาบรรดาศักดิ์ ความสรรเสริญเยินยอ ความนินทาภายนอก
หมู่นั้นน่ะมันเป็นแต่เพียงธรรมประจำโลก ท่านจึงเรียกว่า “โลกธรรม”
ธรรมอันนี้มันมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เป็นธรรมของเก่า


บุคคลเกิดมาในโลกนี้ก็มาหวั่นไหวอยู่ด้วยความมีลาภมียศ สรรเสริญ
ความสุขกายสบายใจ ถ้าได้ประสบอย่างนี้เรียกว่า ได้ประสบ “อิฏฐารมณ์”
อารมณ์อันน่าชอบใจก็ดีอกดีใจว่าตนนั้นได้ในสิ่งที่ปรารถนา
ได้ลาภ ได้ยศ ได้คำสรรเสริญเยินยอจากผู้อื่นมากมาย
แล้วก็โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่ค่อยเบียดเบียนร่างกาย มีความสุขกายสุขใจอยู่  
ติดอยู่ในความสุขอันนี้ท่านก็เรียกว่า ติดอยู่ในโลกธรรม
ติดอยู่ในธรรมประจำโลก  จิตใจก็หนีจากโลกนี้ไปไม่ได้
ก็ต้องวนเวียนเกิดแก่เจ็บตายอยู่ในโลกอันนี้  


ถ้าไปยึดถือเอาความเสื่อมลาภเสื่อมยศ ถูกนินทาว่าร้าย
ถูกความทุกข์ครอบงำกายใจ ก็ไปเสียอกเสียใจ
ระทมทุกข์ทางจิตใจ เช่นนี้ก็เรียกว่า ยึดเอา “อนิฏฐารมณ์”
อารมณ์อันที่เป็นที่ไม่น่าพอใจต่างๆในโลกนี้  
มันก็เป็นเครื่องผูกมัดจิตใจให้ติดอยู่ในโลกนี้เช่นเดียวกัน

ให้พึงพากันศึกษาให้เข้าใจ  

เราจะพอใจติดอยู่แต่ในโลกธรรมเท่านี้เหรอ  
หรือว่าเห็นโทษของโลกธรรมเหล่านี้ มันก็เป็นหน้าที่ของเราแต่ละคน
จะต้องพิจารณาให้เห็นด้วยตนเอง  ถ้าไม่เห็นด้วยตนเองแล้วก็ละมันไม่ได้

ต้องพิจารณาให้เห็นด้วยตนเอง  อย่าไปนิ่งนอนใจอยู่เฉยๆ
เพราะว่าชีวิตของคนเราที่เกิดมาในโลกนี้
มันมีโลกธรรมแปดประการนี้นะครอบงำอยู่นะ นั่นล่ะ  

พระพุทธองค์ตรัสว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น”นี่นะก็จริงอยู่นะ
จิตใจก็ไหลไปตามโลกธรรมนี้อยู่ทั้งวันทั้งคืนไปอยู่อย่างนั้น

เอ้า เพื่อนได้ลาภมา ร่ำรวยข้าวของเงินทองก็ดีอกดีใจ
มีผู้ให้ยศถาบรรดาศักดิ์เข้าไปก็ดีใจปลื้มใจ
มีใครสรรเสริญเยินยอก็ดีอกดีใจมาก
นี่แหละทั้งร่างกายก็ไม่มีโรคภัยอันร้ายแรงเบียดเบียน
ก็ชื่นชมยินดีกับร่างกายอันนี้อยู่อย่างนั้นถือว่าตนนั้นมีความสุขสบายพอแล้ว  
ไอ้อย่างนี้น่ะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า  สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น  
หมายถึง  "ดวงจิต" นี้เองแหละหวั่นไหวไปตามโลกธรรมเหล่านั้นอยู่  


ไอ้คนเราที่จะได้ทะเลาะวิวาทกัน  แตกสามัคคีกัน
ก็เพราะมันหวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้งแปดนี้อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง  
บางทีถูกผู้อื่นเขาตำหนิติเตียน  นินทาว่าร้ายมาอย่างนี้
ก็หวั่นไหวแล้วจิตใจ  ไม่พอใจแล้ว  จะไม่ยอมให้ใครแตะต้องเลย

ถือว่าไอ้เรานั้นมันก็คนคนหนึ่งนะ จะมาแตะต้องกันไม่ได้
มันก็ต้องตอบโต้กันไป  ในที่สุดไม่มีใครดีกว่าใคร  เลวด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ปานนั้นยังไม่รู้ตัวนะคนเนี่ยยังสำคัญว่าตัวดีอยู่  

ถ้าผู้ใดรู้ตัวได้พยายามปรับปรุงจิตใจของตนให้หนักแน่นเข้าไป
อดกลั้นทนทานต่อโลกธรรมดังกล่าวมานี้ได้  ไม่หวั่นไหว  
พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้นั้นย่อมมีกิเลสดั่งธุลีไปปราศแล้ว
นี่แหละเราไม่อยากให้กิเลสหมดไปจากจิตใจเหรอ  ก็ถามตัวเองดู  



...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ "โลกธรรม ๘"
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่