ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนนะคะ
ดิฉัน เป็นเจ้าของธุรกิจ โรงพิมพ์ และ ออร์แกไนเซอร์ ที่เคยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก (ในความคิดดิฉันเองสำหรับคนอายุ 28 ที่ เริ่มจากไม่มีอะไรเลย) มีรายได้ 14 ล้าน ใน 1 ปี ด้วยความสามารถของดิฉันเอง เพราะหุ้นส่วนมีแต่เงิน (จะเรียกว่านายทุนก้อได้ค่ะ) ...แต่เมื่อปี 56 ดิฉันโดนหุ้นส่วนคนนี้โกง แถมยังต้องมานั่งรับใช้หนี้อีกหลายล้าน ด้วยความไว้ใจ หรือ โง่ ไปเซ็นสั่งซื้อของ หรือสั่งงานแทนเค้า แต่เค้าแอบไปเก็บตังเอง แล้วไม่เอาเข้าบริษัท (มารู้ตอนหลังว่าเค้าติดการพนัน) จนดิฉันไม่เหลืออะไรเลย ขายหมดทุกอย่าง แล้วดิฉันก้อดิ้นรนทำนู่นนี่นั่น จนมีเงิน 100,000 บาท ดิฉันไปดาวน์เครื่องพิมพ์ Inkjet มาเปิดบริษัทฯ เองโดยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว เจอเศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าส่วนมากขอแต่เครดิต ลูกค้าเก่าสมัยทำกะหุ้นส่วนก็เครดิตทั้งนั้น ดิฉันก็รับไม่ได้เพราะไม่มีทุน ทำให้ลูกค้า ทำให้งานน้อยลง ลูกค้าน้อยลง เพราะดิฉันจะทำแต่งานเงินสด เพื่อเอาไว้หมุนใช้ในครอบครัว...ทำให้รายรับไม่พอรายจ่าย เพราะดิฉันมีลูกอีก 2 คน...ทนหมุนใช้ หมุนจ่าย กับลูกค้าประจำในมือเพียง 2-3 คน...และเป็น Project Manager Freelance งานพิธีกร...คืองานอะไรที่ทำได้ ดิฉันทำหมด...จนมาเมื่อ เดือนสิงหาคม ดิฉันได้เจอเพื่อนเก่า และได้รับโอกาส จากเจ้านายของเพื่อน ให้ทำงานเปิดตัวสถานที่แห่งนึง และจุดพลิกเริ่มตรงนี้ค่ะ...งานนี้ดิฉันต้องขายพื้นที่บูธให้แม่ค้ามาลงงาน ด้วยความที่ดิฉันทำงานมาเยอะ เจอคนเยอะ เป็นซัพพลายเออร์ ให้ออร์แกไนซ์ ที่ทำงานแบบนี้เยอะ ดิฉันจึงมีลู่ทาง และความคิดในการเริ่มธุรกิจก็เกิดขึ้น ดิฉันมองว่าธุรกิจนี้มันไม่ยาก และ มันก้อไม่ง่าย และมันก็ไม่เกินความสามารถของดิฉันด้วยประสบการณ์การทำงานในวงการนี้ ตั้งแต่อายุ 16 เรียกได้ว่า เป็น 10 กว่าปี การหาเงินจากตรงนี้ไม่อยาก คือการเก็บเงินจองพื้นที่ลูกค้ามาจ่ายค่าเช่าพื้นที่ และเก็บเงินส่วนที่เหลือในการเช่าพื้นที่วัน SET UP งานจากลูกค้า มาจ่าย ค่าพรม ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายจิปาถะ เพราะทุกคนจะเก็บเงินวันมาลงพื้นที่อยู่แล้ว ดิฉันประสบความสำเร็จในงานแรก งานที่สอง จนมาถึงงานที่สาม ดิฉันได้เจอน้องคนนึง ซึ่งเป็นแม่ค้าที่ออกบูธประจำกับลูกค้าดิฉัน (ลูกค้าที่เป็นออร์แกไนซ์เซอร์ แต่มาจ้างดิฉันพิมพ์งานค่ะ บอกก่อนนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าดิฉันแย่งลูกค้าคนอื่น แม่ค้าทุกคน สามารถลงงานกะใครก้อได้ค่ะ แล้วแต่ วันเวลา และสถานที่ ) เลยบอกน้องคนนั้นไปว่า พี่มาทำเองแล้ว สนใจลงงานกะพี่บอกนะ หลังจากนั้นไม่กี่วัน น้องก็บอกว่าพี่ มาหุ้นกันมั้ย น้องเค้าอยากทำงานแบบนี้บ้าง น้องเค้ารู้จักแม่ค้าเยอะ ส่วนตัวดิฉันเองเรื่องการทำการตลาด การโปรโมท ออกแบบงาน ก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ดิฉันเลยให้น้องมาที่บ้านคุยกัน เป็นกิจลักษณะ เพราะดิฉันชอบความโปร่งใส และตรงๆ ดิฉันก้อชวนน้อง จดทะเบียนพาณิชย์ และเปิดบัญชี ที่เป็น ชื่อ 2 คน ในการเซ็นเบิก จะได้ไม่มีปัญหาทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนทำตรงนี้ดิฉันก็บอกน้องแล้วนะคะว่า ดิฉันทุนไม่เยอะนะ อาจทำเล็กไปก่อน น้องบอกว่าทุนไม่ต้องห่วง น้องเค้ามี ดิฉันยังไม่ค่อยมั่นใจ ดิฉันเลยเริ่มโปรเจคจากงานเล็ก ๆ 2 งาน ซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนมาโปรเจคที่มีปัญหานี่แหละค่ะ ซึ่งเป็นโปรเจคใหญ่มาก ใช้เวลาในการหาแม่ค้าอยู่แล้ว ไม่สามารถหมุนเหมือนงานเล็กๆได้ จึงต้องมีทุนในการทำตรงนี้ ก่อนจะเดินเรื่องต่าง ๆ ได้ถามน้องและตกลงกันเรียบร้อย เพราะงานนี้ทุนสูงถึง 3 ล้านบาท แต่ภายในเวลา 3 เดือนได้ทุนคืน พร้อมกำไรคนละ 1 ล้าน + น้องบอกว่าโอเค เดี๋ยวน้องจะเอาเงินที่บ้านมาจัดการให้ ดิฉันก็เริ่มเดินเรื่องตั้งแต่ ติดต่อพื้นที่ ติดต่อดารา ติดต่อลูกค้าที่เป็นบริษัท ฯ มาลงบูธ จนมาถึงตอนนี้ลูกค้าจองบูทมาบางส่วน ซึ่งเงินจองบูท ดิฉันก็เอาไปมัดจำดารา (เงินจองบูท ไม่ได้เยอะนะคะ 1000-2000 แล้วแต่บางบูทค่ะ) เพราะเราเชิญดารา เชิญสื่อเยอะมาก ดิฉันกะว่า งานนี้ดิฉันจะได้ลืมตาอ้าปากและยืนขึ้นได้ เพราะดิฉันเดินเลยในการจองพื้นที่ยาวยันปีหน้าแล้วค่ะ เพราะงานนี้จบดิฉันก็มีทุนในการทำงานต่อไป แต่พอมาเมื่อประมาณ อาทิตย์ที่แล้ว น้องมีปัญหากะที่บ้านกะญาติ เรื่องจะทำธุรกิจตรงนี้ ดิฉันก็อึ้งสิคะ ดิฉันไม่รู้จะทำยังไง พยายามบอกทางบ้านน้องว่า ทำสัญญาเงินกู้ก็ได้ ทำสัญญาอะไรก็ได้ เพื่อให้ทางบ้านน้องมาลงทุนตรงนี้ให้ ดิฉันเตรียมเอกสารทุกอย่าง ตั้งแต่ลูกค้าที่จองบูธมาแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ๆทั้งนั้น รายละเอียดค่าใช้จ่าย รายละเอียดผลกำไร ไปให้....สุดท้ายก็จบค่ะ คำตอบคือ ไม่ได้....(หลายท่านอาจจะบอกว่า แล้วดิฉันไปเชื่อคนอื่นได้ยัง แถมไม่มีสัญญาอีก มีแต่ข้อความในไลน์ที่คุยกัน แล้วก้อคุยกันปากเปล่า เพราะตอนนั้นดิฉันคิดว่า น้องโตพอและมีความรับผิดชอบเพราะน้องก้อเป็นเจ้าของกิจการเหมือนกัน ) ตอนนี้งานเข้าสิคะดิฉัน จะถอยหลังก็ไม่ได้แล้ว เงินแม่ค้าที่จองบูธมา ก็ไปมัดจำดารา หมดแล้ว แม่ค้าในมือ ลูกค้าเก่าซึ่งเป็นบริษัท ฯ ใหญ่ ที่ดิฉันเข้าไปติดต่อเอาความน่าเชื่อถือของตัวเองในการทำงานมานานการันตีอีก ตอนนี้มืดแปดด้านเลย ไม่รู้จะหาทางออกยังไง จะเอาเงินคืนลูกค้ายกเลิกงานก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเงินคืน ...ตอนนี้คิดจะหนี แต่จะหนีไปไหน (เราจะกลายเป็นคนไม่รับผิดชอบ หนีหัวซุกหัวซุน เพราะโดนฟ้องร้องหรือตามจับ ติดคุก มันตายทั้งเป็นชัดๆ โอ้ยยย....หนักกว่าอะไรอีก) แล้วไหนจะครอบครัวอีกล่ะ ลูกทั้ง 2 คน ก็ยังเล็กกันอยู่...ดิฉันจะทำไงดีค่ะ อยากตายไปซะจะได้จบ เพราะตอนนี้ดิฉันเหนื่อยเหลือเกิน มันหนักเหลือเกิน....แต่พอมองหน้าลูก ก็สงสาร ใครจะดูแล พ่อแม่ ดิฉันอีก...ตอนนี้ดิฉันหาทางออกไม่ได้...ไม่รู้จะเดินต่อยังไง เคว้งไปหมด...หลายท่านอาจจะถามว่า สามีล่ะ อย่าพูดถึงเลยค่ะ....ทำไมไม่กู้แบงค์ล่ะ...เงิน 3 ล้าน ถ้าไม่มีหลักประกันแบงค์คงไม่ให้กู้...(ดิฉัน ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวและความสามารถ)....ดิฉันจะทำยังไงต่อดีค่ะ จะเดินต่อยังไงดีค่ะ...ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างคะ รบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ....ดิฉันไม่สามารถบอกที่บ้านได้ เพราะที่บ้านไม่สามารถช่วยได้ บอกไปมีแต่จะทำให้ พ่อแม่เครียด เข้าโรงพยาบาลไปอีก ดิฉันคิดคนเดียว ทำคนเดียว ร้องไห้คนเดียว..เพราะเป็นเสาหลักของบ้าน...ดิฉันต้องเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด...ไม่สามารถร้องไห้ให้ใครเห็นได้...
ป.ล. หลายท่านอาจจะมองว่าดิฉันโง่ ทำธุรกิจมานาน แต่เชื่อใจคนง่าย...ดิฉันยอมรับค่ะ...แต่ถ้าทุกคนเป็นดิฉันในเวลานั้น พอมีช่องทางที่จะลืมตาอ้าปากได้ และโดยรวมน้องเค้าก็โอเค เป็นหลายๆท่าน ก็จะคิดเหมือนดิฉัน
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำตอบนะคะ
เครียด...จนอยากตาย
ดิฉัน เป็นเจ้าของธุรกิจ โรงพิมพ์ และ ออร์แกไนเซอร์ ที่เคยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก (ในความคิดดิฉันเองสำหรับคนอายุ 28 ที่ เริ่มจากไม่มีอะไรเลย) มีรายได้ 14 ล้าน ใน 1 ปี ด้วยความสามารถของดิฉันเอง เพราะหุ้นส่วนมีแต่เงิน (จะเรียกว่านายทุนก้อได้ค่ะ) ...แต่เมื่อปี 56 ดิฉันโดนหุ้นส่วนคนนี้โกง แถมยังต้องมานั่งรับใช้หนี้อีกหลายล้าน ด้วยความไว้ใจ หรือ โง่ ไปเซ็นสั่งซื้อของ หรือสั่งงานแทนเค้า แต่เค้าแอบไปเก็บตังเอง แล้วไม่เอาเข้าบริษัท (มารู้ตอนหลังว่าเค้าติดการพนัน) จนดิฉันไม่เหลืออะไรเลย ขายหมดทุกอย่าง แล้วดิฉันก้อดิ้นรนทำนู่นนี่นั่น จนมีเงิน 100,000 บาท ดิฉันไปดาวน์เครื่องพิมพ์ Inkjet มาเปิดบริษัทฯ เองโดยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว เจอเศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าส่วนมากขอแต่เครดิต ลูกค้าเก่าสมัยทำกะหุ้นส่วนก็เครดิตทั้งนั้น ดิฉันก็รับไม่ได้เพราะไม่มีทุน ทำให้ลูกค้า ทำให้งานน้อยลง ลูกค้าน้อยลง เพราะดิฉันจะทำแต่งานเงินสด เพื่อเอาไว้หมุนใช้ในครอบครัว...ทำให้รายรับไม่พอรายจ่าย เพราะดิฉันมีลูกอีก 2 คน...ทนหมุนใช้ หมุนจ่าย กับลูกค้าประจำในมือเพียง 2-3 คน...และเป็น Project Manager Freelance งานพิธีกร...คืองานอะไรที่ทำได้ ดิฉันทำหมด...จนมาเมื่อ เดือนสิงหาคม ดิฉันได้เจอเพื่อนเก่า และได้รับโอกาส จากเจ้านายของเพื่อน ให้ทำงานเปิดตัวสถานที่แห่งนึง และจุดพลิกเริ่มตรงนี้ค่ะ...งานนี้ดิฉันต้องขายพื้นที่บูธให้แม่ค้ามาลงงาน ด้วยความที่ดิฉันทำงานมาเยอะ เจอคนเยอะ เป็นซัพพลายเออร์ ให้ออร์แกไนซ์ ที่ทำงานแบบนี้เยอะ ดิฉันจึงมีลู่ทาง และความคิดในการเริ่มธุรกิจก็เกิดขึ้น ดิฉันมองว่าธุรกิจนี้มันไม่ยาก และ มันก้อไม่ง่าย และมันก็ไม่เกินความสามารถของดิฉันด้วยประสบการณ์การทำงานในวงการนี้ ตั้งแต่อายุ 16 เรียกได้ว่า เป็น 10 กว่าปี การหาเงินจากตรงนี้ไม่อยาก คือการเก็บเงินจองพื้นที่ลูกค้ามาจ่ายค่าเช่าพื้นที่ และเก็บเงินส่วนที่เหลือในการเช่าพื้นที่วัน SET UP งานจากลูกค้า มาจ่าย ค่าพรม ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายจิปาถะ เพราะทุกคนจะเก็บเงินวันมาลงพื้นที่อยู่แล้ว ดิฉันประสบความสำเร็จในงานแรก งานที่สอง จนมาถึงงานที่สาม ดิฉันได้เจอน้องคนนึง ซึ่งเป็นแม่ค้าที่ออกบูธประจำกับลูกค้าดิฉัน (ลูกค้าที่เป็นออร์แกไนซ์เซอร์ แต่มาจ้างดิฉันพิมพ์งานค่ะ บอกก่อนนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าดิฉันแย่งลูกค้าคนอื่น แม่ค้าทุกคน สามารถลงงานกะใครก้อได้ค่ะ แล้วแต่ วันเวลา และสถานที่ ) เลยบอกน้องคนนั้นไปว่า พี่มาทำเองแล้ว สนใจลงงานกะพี่บอกนะ หลังจากนั้นไม่กี่วัน น้องก็บอกว่าพี่ มาหุ้นกันมั้ย น้องเค้าอยากทำงานแบบนี้บ้าง น้องเค้ารู้จักแม่ค้าเยอะ ส่วนตัวดิฉันเองเรื่องการทำการตลาด การโปรโมท ออกแบบงาน ก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ดิฉันเลยให้น้องมาที่บ้านคุยกัน เป็นกิจลักษณะ เพราะดิฉันชอบความโปร่งใส และตรงๆ ดิฉันก้อชวนน้อง จดทะเบียนพาณิชย์ และเปิดบัญชี ที่เป็น ชื่อ 2 คน ในการเซ็นเบิก จะได้ไม่มีปัญหาทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนทำตรงนี้ดิฉันก็บอกน้องแล้วนะคะว่า ดิฉันทุนไม่เยอะนะ อาจทำเล็กไปก่อน น้องบอกว่าทุนไม่ต้องห่วง น้องเค้ามี ดิฉันยังไม่ค่อยมั่นใจ ดิฉันเลยเริ่มโปรเจคจากงานเล็ก ๆ 2 งาน ซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนมาโปรเจคที่มีปัญหานี่แหละค่ะ ซึ่งเป็นโปรเจคใหญ่มาก ใช้เวลาในการหาแม่ค้าอยู่แล้ว ไม่สามารถหมุนเหมือนงานเล็กๆได้ จึงต้องมีทุนในการทำตรงนี้ ก่อนจะเดินเรื่องต่าง ๆ ได้ถามน้องและตกลงกันเรียบร้อย เพราะงานนี้ทุนสูงถึง 3 ล้านบาท แต่ภายในเวลา 3 เดือนได้ทุนคืน พร้อมกำไรคนละ 1 ล้าน + น้องบอกว่าโอเค เดี๋ยวน้องจะเอาเงินที่บ้านมาจัดการให้ ดิฉันก็เริ่มเดินเรื่องตั้งแต่ ติดต่อพื้นที่ ติดต่อดารา ติดต่อลูกค้าที่เป็นบริษัท ฯ มาลงบูธ จนมาถึงตอนนี้ลูกค้าจองบูทมาบางส่วน ซึ่งเงินจองบูท ดิฉันก็เอาไปมัดจำดารา (เงินจองบูท ไม่ได้เยอะนะคะ 1000-2000 แล้วแต่บางบูทค่ะ) เพราะเราเชิญดารา เชิญสื่อเยอะมาก ดิฉันกะว่า งานนี้ดิฉันจะได้ลืมตาอ้าปากและยืนขึ้นได้ เพราะดิฉันเดินเลยในการจองพื้นที่ยาวยันปีหน้าแล้วค่ะ เพราะงานนี้จบดิฉันก็มีทุนในการทำงานต่อไป แต่พอมาเมื่อประมาณ อาทิตย์ที่แล้ว น้องมีปัญหากะที่บ้านกะญาติ เรื่องจะทำธุรกิจตรงนี้ ดิฉันก็อึ้งสิคะ ดิฉันไม่รู้จะทำยังไง พยายามบอกทางบ้านน้องว่า ทำสัญญาเงินกู้ก็ได้ ทำสัญญาอะไรก็ได้ เพื่อให้ทางบ้านน้องมาลงทุนตรงนี้ให้ ดิฉันเตรียมเอกสารทุกอย่าง ตั้งแต่ลูกค้าที่จองบูธมาแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ๆทั้งนั้น รายละเอียดค่าใช้จ่าย รายละเอียดผลกำไร ไปให้....สุดท้ายก็จบค่ะ คำตอบคือ ไม่ได้....(หลายท่านอาจจะบอกว่า แล้วดิฉันไปเชื่อคนอื่นได้ยัง แถมไม่มีสัญญาอีก มีแต่ข้อความในไลน์ที่คุยกัน แล้วก้อคุยกันปากเปล่า เพราะตอนนั้นดิฉันคิดว่า น้องโตพอและมีความรับผิดชอบเพราะน้องก้อเป็นเจ้าของกิจการเหมือนกัน ) ตอนนี้งานเข้าสิคะดิฉัน จะถอยหลังก็ไม่ได้แล้ว เงินแม่ค้าที่จองบูธมา ก็ไปมัดจำดารา หมดแล้ว แม่ค้าในมือ ลูกค้าเก่าซึ่งเป็นบริษัท ฯ ใหญ่ ที่ดิฉันเข้าไปติดต่อเอาความน่าเชื่อถือของตัวเองในการทำงานมานานการันตีอีก ตอนนี้มืดแปดด้านเลย ไม่รู้จะหาทางออกยังไง จะเอาเงินคืนลูกค้ายกเลิกงานก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเงินคืน ...ตอนนี้คิดจะหนี แต่จะหนีไปไหน (เราจะกลายเป็นคนไม่รับผิดชอบ หนีหัวซุกหัวซุน เพราะโดนฟ้องร้องหรือตามจับ ติดคุก มันตายทั้งเป็นชัดๆ โอ้ยยย....หนักกว่าอะไรอีก) แล้วไหนจะครอบครัวอีกล่ะ ลูกทั้ง 2 คน ก็ยังเล็กกันอยู่...ดิฉันจะทำไงดีค่ะ อยากตายไปซะจะได้จบ เพราะตอนนี้ดิฉันเหนื่อยเหลือเกิน มันหนักเหลือเกิน....แต่พอมองหน้าลูก ก็สงสาร ใครจะดูแล พ่อแม่ ดิฉันอีก...ตอนนี้ดิฉันหาทางออกไม่ได้...ไม่รู้จะเดินต่อยังไง เคว้งไปหมด...หลายท่านอาจจะถามว่า สามีล่ะ อย่าพูดถึงเลยค่ะ....ทำไมไม่กู้แบงค์ล่ะ...เงิน 3 ล้าน ถ้าไม่มีหลักประกันแบงค์คงไม่ให้กู้...(ดิฉัน ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวและความสามารถ)....ดิฉันจะทำยังไงต่อดีค่ะ จะเดินต่อยังไงดีค่ะ...ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างคะ รบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ....ดิฉันไม่สามารถบอกที่บ้านได้ เพราะที่บ้านไม่สามารถช่วยได้ บอกไปมีแต่จะทำให้ พ่อแม่เครียด เข้าโรงพยาบาลไปอีก ดิฉันคิดคนเดียว ทำคนเดียว ร้องไห้คนเดียว..เพราะเป็นเสาหลักของบ้าน...ดิฉันต้องเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด...ไม่สามารถร้องไห้ให้ใครเห็นได้...
ป.ล. หลายท่านอาจจะมองว่าดิฉันโง่ ทำธุรกิจมานาน แต่เชื่อใจคนง่าย...ดิฉันยอมรับค่ะ...แต่ถ้าทุกคนเป็นดิฉันในเวลานั้น พอมีช่องทางที่จะลืมตาอ้าปากได้ และโดยรวมน้องเค้าก็โอเค เป็นหลายๆท่าน ก็จะคิดเหมือนดิฉัน
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำตอบนะคะ