เมื่อวันศุกร์ มีเพื่อนสมาชิกถามเกี่ยวกับคำตอบตามภาพประกอบ ด้งนี้
ความคิดเห็นที่ 16
เฮียเอนโด ครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด เฮียยังไม่ได้เล่า หรือ ตอบคำถามที่เฮียตั้งไว้ในงานมีทติ้งเลยนะครับ
ได้ตอบไปตามนี้ แต่คิดว่า คนที่ไม่ได้อ่านกระทู้คุยโขมงคงไม่ได้อ่านคำตอบ
`+++++++++++++++++++++++++++++ๅๅ
เข้ามาอ่านเจอคุณหยงอันถามไว้
ความคิดเห็นที่ 16
เฮียเอนโด ครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด เฮียยังไม่ได้เล่า หรือ ตอบคำถามที่เฮียตั้งไว้ในงานมีทติ้งเลยนะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่ไม่ได้ตอบ เพราะดันเข้าใจว่า คนร่วมมีตติ้งเคยรู้แล้วจากกระทู้ที่เคยตั้งครับ
ขอตอบอีกครั้งดังนี้
๑ หุ้นที่ขาดทุนเป็นจำนวนเงินมากที่สุดคือ หุ้นในภาพประกอบ
ขาดทุนร้อยเปอร์เซนต์ หกแสนบาท
จาก "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน แต่ได้วอลเปเปอร์มาดูเล่น"
๒ ขาดทุนเป็นเปอร์เซนต์ของพอร์ตมากที่สุด
คือตอนราชาเงินทุนล้ม เพราะใช้เงินตัวเองแค่ ๓๐ % เงินกู้ ๗๐ %
พอมูลค่าพอร์ต ขาดทุนเกินสามสิบเปอร์เซนต์
ก็เท่ากับขาดทุนเงินตัวเอง เกินร้อยเปอร์เซนต์ (เพราะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย)
ส่วนตอนฟองสบู่แตก ขาดทุนแค่ ๖๕ % ของมูลค่าพอร์ต
จำนวนเงินความเสียหาย สูงกว่าช่วงราชาเงินทุน สามเท่ากว่า
แต่เปอร์เซนต์ความเสียหายน้อยกว่า
เพราะเป็นเงินสดของตัวเองล้วนๆ ๑๐๐ %
๓ ตอนที่เครียดมากที่สุด
กลับไม่ใช่ตอนราชาเงินทุนล้ม ซึ่งขาดทุนหมดตัว
จะว่าไป มันก็เป็นความเสียหายร้ายแรงเพียงประการเดียว
ทื่เคยทำให้พ่อแม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ไหนๆ มันก็ผ่านมานานแล้ว ขอสารภาพว่าตอนนั้นผมไม่ค่อยเครียดมาก
เพราะผมยังไม่มีภาระครอบครัวต้องดูแล
แล้วดันคิดอยู่เสมอว่า
ยังไงพ่อก็ต้องยอมรับสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
รู้ดีว่า พ่อมีเงินเก็บจากการอดออมประหยัดมาชั่วชีวิต
มากกว่าสิบเท่าตัว ของความเสียหายที่เกิดขึ้น
ลองดูจากคลิ๊บที่ผมเล่าไว้ในตอนต้นของมันนีทอลค์
https://www.youtube.com/watch?v=8E_5lGQgc0A
ตอนที่ผมเครียดมากที่สุด คือช่วงครึ่งปีหลังของ ๒๕๓๖
ซึ่งกองทุนอีแร้งต่างชาติ เข้ามาลากหุ้นไทยขึ้นแบบไม่ต้องดูเหตุผลอะไร
อาศัยมีหน้าตักเงินหนา เข้ามาปลุกความโลภของนักลงทุนท้องถิ่น
ด้วยวิชามารซื้อแล้วเชียร์ขึ้น ผสมวิชาเทพวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของไทยซะหรูเลิศ
ที่เครียด เพราะต้องนั่งดูคนอื่นๆ ไม่ว่าในสื่อต่างๆ หรือในชีวิตจริง
กำไรกันอย่างสนุกสนาน โดยที่เราได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ไม่กล้ายุ่ง
เพราะเคยได้บทเรียนจาก ช่วงราชาเงินทุน
จนมีประสบการณ์ว่า
อะไรที่ผมหาเหตุผลให้มันไม่ได้ ต่อให้มันขึ้นบ้าเลือดแค่ไหน
ก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
การทนดูคนอื่นๆ กำไรเอา กำไรเอา
มันกดดันมาก ในการยับยั้งไม่ให้พาตัวเองตามเข้าไปตะลุมบอนเพื่อเอากำไรบ้าง
แต่เครียดในปีนั้น
มันได้ก็ส่งผลดี ในการรับมือกับหุ้นขาขึ้นใหญ่ครั้งถัดๆมา ได้อย่างสบายมาก
เพราะเห็นตัวอย่าง จุดจบของราคาหุ้นที่ขึ้นจนหาเหตผลไม่ได้ มันเป็นอย่างไร
ล่าสุด เมื่อตอนต้นปีนี้ ก็นั่งมองตาปริบๆ
รับรู้ คนนั้น gooddddd หุ้นต้มตุ๋นตัวนี้ คนโน้น gooddddddd หุ้นต้มตุ๋นตัวนั้น
กำไรร้อยเปอร์เซนต์ สองสามร้อยเปอร์เซนต์กันง่ายๆ อย่างสนุกสนาน ในเวลาแค่เดือนหรือสองเดือน
เซียนหุ้นขาขึ้น มีเกลื่อนเวบบอร์ด เกลื่อนไลน์ เกลื่อนฟซบุค
วันนี้ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
+++++++++++++++++++++++ๅๅๅๅๅ
คือเข้าใจคนที่ตั้งกระทู้ว่า
ดัชนีหุ้นขึ้น แต่ราคาหุ้นในพอร์ตไม่ขยับ
ถ้าเราเอาผลประโยชน์ของตัวเราเอง ความสำเร็จของตัวเราเอง
ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่นๆ สิ่งอื่นๆ
เรามักจะเครียด แล้วถามตัวเองว่า
ทำไมเราทำไม่ได้อย่างคนอื่น
สำหรับผม แก้ได้ง่ายๆแบบมวยวัดก็คือ
ไม่สนใจจำว่า ไอ้นิ้วชี้ตลาดมันอยู่ที่เท่าไร เคยอยู่ที่เท่าไร
วันนี้บวกกี่จุด หรือลบกี่จุด
ซึ่งน่าจะมาจาก ไม่เคยแทง ไฮโล tfex
เอาแค่ยังพอใจว่า หุ้นที่เราถืออยู่ ยังทีแต้มต่อเหลือพอ ก็ถือไป
เมื่อไรคิดว่า มันไม่มีแต้มต่อให้ถือ ก็ขายทิ้งบางส่วน หรือขายจนหมด
ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน
เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้ลุ้นระทึก กับไอพีโอที่ได้มาเป็นตัวแรกในรอบสิบปี
แถมเป็นตัวแรกในรอบสิบห้าปี ที่ถือหุ้นที่ขาดทุนเงินมายา หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์
ผลของการลุ้นระทึก ออกมาแล้ว ขอบคุณมาร์เก็ตติ้งของ poems ที่โทรมาแจกหุ้นจากาการแรนด้อมให้ครับ
คุณรีสตาร์ท
ผมไช้ได้ผล(ลดความเครียดเรื่องหุ้นในพอร์ต) คนอื่นอาจจะใช้ไม่ได้ผลก็ได้
ยังไงก็ต้องหาแนวทางที่เหมาะกับปัจจัยพื้นฐานของตัวเราเองครับ
แต่ขอยืนยันว่า
ผมไม่ค่อยสนใจจำว่า ดัชนีหุ้นแต่ละวัน ปิดที่เท่าไร
นักลงทุน กลุ่มโน้น กลุ่มนี้ซื้อขายเท่าไร
การไม่ตามข้อมูลข่าวสารแบบ ตามอ่านทุกอย่าง
ไม่คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะไปอย่างโน้น อย่างนี้
น่าจะมีส่วนช่วยให้ไม่เครียดมากก็ได้ ?
คือมันตอบสนอง ปัจจัยพื้นฐานสะสมของตัวเอง
ที่เป็นคนไม่มีสมาธิ ไม่มีความขยันมากพอจะอ่านอะไรที่มันยาวๆ
ไม่ชอบคาดการณ์อะไร ที่เชื่อว่าเกินความรู้ ความสามารถของตัวเราเอง
เลยไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้นจบ แม้แต่เล่มเดียว
ไม่ค่อยคาดการณ์อะไรแบบจริงจัง
นอกจากเดาสนุกๆ ด้วยสมองกลประจำตัว
จะเลือกอ่าน เลือกดูเฉพาะข้อความหรือสิ่งของ ที่คิดว่าน่าสนใจและมีประโยชน์กับตัวเราเท่านั้น
พูดถึงความเครียด
ที่เกิดจากการเปรียบเทียบตัวเราเอง กับความสำเร็จของคนอื่นๆ
พอมีคนทักขึ้นมา ก็เห็นด้วย คือเขาว่า
ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้แรงบันดาลใจ ก็ควรจะเปรียบเทียบ
ดังนั้น เดี๋ยวนี้ผมเลยคิดถึงการเปรียบเทียบไว้แบบนี้
ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้แต่ความเครียดมา ก็อย่าเปรียบเทียบ
ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้ข้อคิด ก็ควรจะเปรียบเทียบแล้วเอามาต่อยอด
เดี๋ยวนี้ปล่อยวางได้เยอะมากแล้ว
ไม่งั้น คงไม่สามารถนั่งคุยกับไอดอลระดับแถวหน้าสุดของแนววีไอ
ที่นั่งอยุ่ข้างๆ ได้อย่างสนุกสนานในทุกเรื่องของการดำเนินชีวิต
ทั้งๆที่ พอร์ตผมเล็กกว่าอีกสี่ท่านนั้นรวมกัน น่าจะเกินสี่ร้อยเท่า
แม้แต่เจ้าบ่าวที่เชิญผมไปร่วมงานแต่งงาน ( นามแฝงในสินธร shine-rise)
จากเงินตั้งต้นแค่สองแสน ก็กลายเป็นเกินร้อยล้าน
ด้วยวัยแค่ยี่สิบปลายๆเท่านั้น
รู้ตัวดีว่า เปรียบเทียบไป ก็เครียดเปล่าๆ
ก็เลยไม่เปรียบเทียบ
และถือเป็นโชคดี น่าจะที่สุดของผม
ที่คนที่นั่งข้างๆ ไม่เคยเอาผม
ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่นๆ ให้เราหงุดหงิด
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ลืมตอบคำถาม ที่ตั้งถามคนอื่นๆ ในงานมีตติ้งกลุ่มย่อยสินธร
เมื่อวันศุกร์ มีเพื่อนสมาชิกถามเกี่ยวกับคำตอบตามภาพประกอบ ด้งนี้
ความคิดเห็นที่ 16
เฮียเอนโด ครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด เฮียยังไม่ได้เล่า หรือ ตอบคำถามที่เฮียตั้งไว้ในงานมีทติ้งเลยนะครับ
ได้ตอบไปตามนี้ แต่คิดว่า คนที่ไม่ได้อ่านกระทู้คุยโขมงคงไม่ได้อ่านคำตอบ
`+++++++++++++++++++++++++++++ๅๅ
เข้ามาอ่านเจอคุณหยงอันถามไว้
ความคิดเห็นที่ 16
เฮียเอนโด ครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด เฮียยังไม่ได้เล่า หรือ ตอบคำถามที่เฮียตั้งไว้ในงานมีทติ้งเลยนะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่ไม่ได้ตอบ เพราะดันเข้าใจว่า คนร่วมมีตติ้งเคยรู้แล้วจากกระทู้ที่เคยตั้งครับ
ขอตอบอีกครั้งดังนี้
๑ หุ้นที่ขาดทุนเป็นจำนวนเงินมากที่สุดคือ หุ้นในภาพประกอบ
ขาดทุนร้อยเปอร์เซนต์ หกแสนบาท
จาก "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน แต่ได้วอลเปเปอร์มาดูเล่น"
๒ ขาดทุนเป็นเปอร์เซนต์ของพอร์ตมากที่สุด
คือตอนราชาเงินทุนล้ม เพราะใช้เงินตัวเองแค่ ๓๐ % เงินกู้ ๗๐ %
พอมูลค่าพอร์ต ขาดทุนเกินสามสิบเปอร์เซนต์
ก็เท่ากับขาดทุนเงินตัวเอง เกินร้อยเปอร์เซนต์ (เพราะต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ด้วย)
ส่วนตอนฟองสบู่แตก ขาดทุนแค่ ๖๕ % ของมูลค่าพอร์ต
จำนวนเงินความเสียหาย สูงกว่าช่วงราชาเงินทุน สามเท่ากว่า
แต่เปอร์เซนต์ความเสียหายน้อยกว่า
เพราะเป็นเงินสดของตัวเองล้วนๆ ๑๐๐ %
๓ ตอนที่เครียดมากที่สุด
กลับไม่ใช่ตอนราชาเงินทุนล้ม ซึ่งขาดทุนหมดตัว
จะว่าไป มันก็เป็นความเสียหายร้ายแรงเพียงประการเดียว
ทื่เคยทำให้พ่อแม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ไหนๆ มันก็ผ่านมานานแล้ว ขอสารภาพว่าตอนนั้นผมไม่ค่อยเครียดมาก
เพราะผมยังไม่มีภาระครอบครัวต้องดูแล
แล้วดันคิดอยู่เสมอว่า
ยังไงพ่อก็ต้องยอมรับสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
รู้ดีว่า พ่อมีเงินเก็บจากการอดออมประหยัดมาชั่วชีวิต
มากกว่าสิบเท่าตัว ของความเสียหายที่เกิดขึ้น
ลองดูจากคลิ๊บที่ผมเล่าไว้ในตอนต้นของมันนีทอลค์
https://www.youtube.com/watch?v=8E_5lGQgc0A
ตอนที่ผมเครียดมากที่สุด คือช่วงครึ่งปีหลังของ ๒๕๓๖
ซึ่งกองทุนอีแร้งต่างชาติ เข้ามาลากหุ้นไทยขึ้นแบบไม่ต้องดูเหตุผลอะไร
อาศัยมีหน้าตักเงินหนา เข้ามาปลุกความโลภของนักลงทุนท้องถิ่น
ด้วยวิชามารซื้อแล้วเชียร์ขึ้น ผสมวิชาเทพวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของไทยซะหรูเลิศ
ที่เครียด เพราะต้องนั่งดูคนอื่นๆ ไม่ว่าในสื่อต่างๆ หรือในชีวิตจริง
กำไรกันอย่างสนุกสนาน โดยที่เราได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ไม่กล้ายุ่ง
เพราะเคยได้บทเรียนจาก ช่วงราชาเงินทุน
จนมีประสบการณ์ว่า
อะไรที่ผมหาเหตุผลให้มันไม่ได้ ต่อให้มันขึ้นบ้าเลือดแค่ไหน
ก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
การทนดูคนอื่นๆ กำไรเอา กำไรเอา
มันกดดันมาก ในการยับยั้งไม่ให้พาตัวเองตามเข้าไปตะลุมบอนเพื่อเอากำไรบ้าง
แต่เครียดในปีนั้น
มันได้ก็ส่งผลดี ในการรับมือกับหุ้นขาขึ้นใหญ่ครั้งถัดๆมา ได้อย่างสบายมาก
เพราะเห็นตัวอย่าง จุดจบของราคาหุ้นที่ขึ้นจนหาเหตผลไม่ได้ มันเป็นอย่างไร
ล่าสุด เมื่อตอนต้นปีนี้ ก็นั่งมองตาปริบๆ
รับรู้ คนนั้น gooddddd หุ้นต้มตุ๋นตัวนี้ คนโน้น gooddddddd หุ้นต้มตุ๋นตัวนั้น
กำไรร้อยเปอร์เซนต์ สองสามร้อยเปอร์เซนต์กันง่ายๆ อย่างสนุกสนาน ในเวลาแค่เดือนหรือสองเดือน
เซียนหุ้นขาขึ้น มีเกลื่อนเวบบอร์ด เกลื่อนไลน์ เกลื่อนฟซบุค
วันนี้ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
+++++++++++++++++++++++ๅๅๅๅๅ
คือเข้าใจคนที่ตั้งกระทู้ว่า
ดัชนีหุ้นขึ้น แต่ราคาหุ้นในพอร์ตไม่ขยับ
ถ้าเราเอาผลประโยชน์ของตัวเราเอง ความสำเร็จของตัวเราเอง
ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่นๆ สิ่งอื่นๆ
เรามักจะเครียด แล้วถามตัวเองว่า
ทำไมเราทำไม่ได้อย่างคนอื่น
สำหรับผม แก้ได้ง่ายๆแบบมวยวัดก็คือ
ไม่สนใจจำว่า ไอ้นิ้วชี้ตลาดมันอยู่ที่เท่าไร เคยอยู่ที่เท่าไร
วันนี้บวกกี่จุด หรือลบกี่จุด
ซึ่งน่าจะมาจาก ไม่เคยแทง ไฮโล tfex
เอาแค่ยังพอใจว่า หุ้นที่เราถืออยู่ ยังทีแต้มต่อเหลือพอ ก็ถือไป
เมื่อไรคิดว่า มันไม่มีแต้มต่อให้ถือ ก็ขายทิ้งบางส่วน หรือขายจนหมด
ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน
เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้ลุ้นระทึก กับไอพีโอที่ได้มาเป็นตัวแรกในรอบสิบปี
แถมเป็นตัวแรกในรอบสิบห้าปี ที่ถือหุ้นที่ขาดทุนเงินมายา หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์
ผลของการลุ้นระทึก ออกมาแล้ว ขอบคุณมาร์เก็ตติ้งของ poems ที่โทรมาแจกหุ้นจากาการแรนด้อมให้ครับ
คุณรีสตาร์ท
ผมไช้ได้ผล(ลดความเครียดเรื่องหุ้นในพอร์ต) คนอื่นอาจจะใช้ไม่ได้ผลก็ได้
ยังไงก็ต้องหาแนวทางที่เหมาะกับปัจจัยพื้นฐานของตัวเราเองครับ
แต่ขอยืนยันว่า
ผมไม่ค่อยสนใจจำว่า ดัชนีหุ้นแต่ละวัน ปิดที่เท่าไร
นักลงทุน กลุ่มโน้น กลุ่มนี้ซื้อขายเท่าไร
การไม่ตามข้อมูลข่าวสารแบบ ตามอ่านทุกอย่าง
ไม่คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะไปอย่างโน้น อย่างนี้
น่าจะมีส่วนช่วยให้ไม่เครียดมากก็ได้ ?
คือมันตอบสนอง ปัจจัยพื้นฐานสะสมของตัวเอง
ที่เป็นคนไม่มีสมาธิ ไม่มีความขยันมากพอจะอ่านอะไรที่มันยาวๆ
ไม่ชอบคาดการณ์อะไร ที่เชื่อว่าเกินความรู้ ความสามารถของตัวเราเอง
เลยไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับหุ้นจบ แม้แต่เล่มเดียว
ไม่ค่อยคาดการณ์อะไรแบบจริงจัง
นอกจากเดาสนุกๆ ด้วยสมองกลประจำตัว
จะเลือกอ่าน เลือกดูเฉพาะข้อความหรือสิ่งของ ที่คิดว่าน่าสนใจและมีประโยชน์กับตัวเราเท่านั้น
พูดถึงความเครียด
ที่เกิดจากการเปรียบเทียบตัวเราเอง กับความสำเร็จของคนอื่นๆ
พอมีคนทักขึ้นมา ก็เห็นด้วย คือเขาว่า
ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้แรงบันดาลใจ ก็ควรจะเปรียบเทียบ
ดังนั้น เดี๋ยวนี้ผมเลยคิดถึงการเปรียบเทียบไว้แบบนี้
ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้แต่ความเครียดมา ก็อย่าเปรียบเทียบ
ถ้าเปรียบเทียบแล้วได้ข้อคิด ก็ควรจะเปรียบเทียบแล้วเอามาต่อยอด
เดี๋ยวนี้ปล่อยวางได้เยอะมากแล้ว
ไม่งั้น คงไม่สามารถนั่งคุยกับไอดอลระดับแถวหน้าสุดของแนววีไอ
ที่นั่งอยุ่ข้างๆ ได้อย่างสนุกสนานในทุกเรื่องของการดำเนินชีวิต
ทั้งๆที่ พอร์ตผมเล็กกว่าอีกสี่ท่านนั้นรวมกัน น่าจะเกินสี่ร้อยเท่า
แม้แต่เจ้าบ่าวที่เชิญผมไปร่วมงานแต่งงาน ( นามแฝงในสินธร shine-rise)
จากเงินตั้งต้นแค่สองแสน ก็กลายเป็นเกินร้อยล้าน
ด้วยวัยแค่ยี่สิบปลายๆเท่านั้น
รู้ตัวดีว่า เปรียบเทียบไป ก็เครียดเปล่าๆ
ก็เลยไม่เปรียบเทียบ
และถือเป็นโชคดี น่าจะที่สุดของผม
ที่คนที่นั่งข้างๆ ไม่เคยเอาผม
ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่นๆ ให้เราหงุดหงิด