** ฉันกำลังสู้กับความตาย..แล้วคุณกำลังสู้กับอะไร **


สุพัฒชา ศรีสุวรรณ หรือ”แม่นุ่น” ผู้หญิงที่ป่วยด้วยโรค “มะเร็งเต้านมชนิดลุกลามเร็ว” ในระยะสุดท้าย ลามไปถึงตับ ถึงสมอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น อาการทรุดเข้าขั้นโคม่าอยู่หลายหน แต่ด้วยความเข้มแข็งของเธอ ความรักความเอาใจใส่คนในครอบครัว และความน่ารักน่าเอ็นดูของ ลูกน้อย 2 คน เป็นพลังให้เธอยืนหยัดอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง
CR:www.facebook.com/noonsupermom

เปิดแฟ้มประวัติการรักษามะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายของ "แม่นุ่น" ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน:

30 มี.ค 56: มีปวดท้องรุนแรง หน้ามืดเป็นลม ผลตรวจ รพ(1)พบตับโต ตรวจเลือดพบค่าการทำงานหนักผิดปกติ อัลตราซาวด์พบก้อนเนื้อกระจายทั่วตับทั้งสองกลีบจำนวนมาก ขนาดใหญ่สุด 7 ซม

1 เม.ย 56: ไป รพ(2)คลำพบก้อนที่ เต้านม คลำพบต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ และเหนือไหปลาร้าด้านซ้าย ส่งตรวจ CT scan และแผนกเต้านม

2 เม.ย 56 : CT Scan ยืนยันว่ามีก้อนเนื้อในตับขนาดใหญ่ 7 ซมจำนวน 2 ก้อน กระจายอยู่ทั่วตับทั้งสองกลีบ ลามเข้าต่อมน้ำเหลืองอย่างน้อย 16 ต่อมทั่วร่างกาย พบมะเร็งลามเพิ่มไปที่กระดูกสันหลังสองจุด พบก้อนเนื้อที่เต้านม สงสัยว่าเป็น มะเร็งต้นกำเนิด

3 เม.ย 56 : อัลตราชาวด์ และแมมโมแกรมซ้ำ พบก้อนที่เต้านม ขนาด 3 ซม

5 เม.ย 56: เจาะชิ้นเนื้อที่เต้านม

19 เม.ย 56: ผลเจาะชิ้นเนื้อ ER-, PR-, Her2+ (score = 3+) ยืนยันว่า แม่นุ่น เป็นมะเร็งเต้านมชนิด Her2 ที่มีความดุร้ายและลุกลามเร็ว เป็นชนิดที่พบได้น้อยเพียง 1 ใน 5 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด และเป็นชนิดที่ต้องใช้ยา Herceptin ราคาล้านกว่าบาทต่อคอร์สการรักษา เป็นยานอกบัญชีที่ไม่สามารถเบิกสิทธิ์ 30 บาทได้

23 เม.ย 56: นัดทำเคมีบำบัด รพ(2) แต่ต้องรอคิว 1 เดือน, ตัดสินใจย้ายไป รพ(3) ทันที

24 เม.ย 56: สมัครโครงการวิจัยยา Hercules เป็นโครงการที่ รพ(3) ดำเนินการอยู่ในเวลานั้น ถ้าเข้าโครงการได้ จะไม่ต้องเสียเงินล้านในการรักษา

29 เม.ย 56: ตรวจร่างกายใหม่ตามข้อกำหนดของโครงการวิจัย ผลตรวจออกมา พบค่าตับอักเสบ สูงเกินเกณท์ 20 เท่า บิลลิรูบิน และ ค่าเลือดอื่นๆ สูงเกินเกณท์หลายตัว ก้อนในตับใหญ่ขึ้นจาก 7 ซม เป็น 11 และ 12 ซม, แสกนกระดูกพบก้อนที่กระดูกสันหลัง 3 จุด และม้ามโต ทำให้โครงการปฏิเสธรับเป็นคนไข้ในโครงการวิจัย

30 เม.ย 56: ตัดสินใจจ่ายเองทั้งหมดด้วยการใช้สูตรยาที่ดีที่สุดในเวลานั้น คือ Taxotere เริ่มที่ 120mg และ Herceptin เริ่มที่ 500mg ได้รับผลข้างเคียงรุนแรง คือ เม็ดเลือดขาวตกรุนแรง ท้องร่วงเนื่องจากติดเชื้อ เส้นผมเริ่มร่วงตั้งแต่วันที่ 10 หลังการให้ยา

23 พ.ค 56: สามสัปดาห์ต่อมา ค่าการทำงานตับลดลง ต่อมน้ำเหลืองเหนือไหปลาร้ายุบลง, เริ่มเคมีบำบัดครั้งที่ 2 , ลด Taxotere 100 mg และ Herceptin 360mg ผลข้างเคียงที่ได้รับ ปากเปื่อยรุนแรง เม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดงตก ผิวหนังที่มือหลุดลอกเป็นแผ่น มือเริ่มดำเล็บดำ เริ่มมีอาการท้องมาน

18 มิ.ย 56: เคมีบำบัดครั้งที่ 3 Taxotere ลดลงเหลือ 80 และ Herceptin 360mg

25 มิ.ย 56: พบเม็ดเลือดขาวตกเหลือ 800 เม็ดเลือดแดงตกรุนแรง หนังตาลอกหย่อน ปากเปื่อยรุนแรงมากขึ้น หมอสั่งแอดมิด แต่ไม่มีเตียงว่าง ต้องย้ายด่วนไปที่ รพ(4) ใกล้บ้าน และได้พบหมอชินวัตร เป็นครั้งแรก

26 มิ.ย 56: หมอชินสั่งแอดมิดเพื่อรักษาอาการข้างเคียงเป็์นการด่วน เนื่องจากอาการที่เป็นอยู่มีอันตรายถึงชีวิต ตรวจร่างกายพบปอดติดเชื้อ ท้องมานมากขึ้น เล็บมือเล็บเท้าเริ่มทยอยหลุดทีละนิ้ว

4 ก.ค 56: หมอชินช่วยรักษาอาการติดเชื้อจนหายดี หลังจาก CT scan รอบ 3 พบก้อนเนื้อในตับเล็กลง จาก 12 ซม เหลือ 7 ซม รวมรักษาอยู่ที่ รพ(4) เป็นเวลา 10 วัน หมดค่ารักษาประมาณ 280,000 บาท ต่อมาทำส่งหนังสือทำเรื่องขอแบ่งจ่ายเดือนละ 10,000 บาท

8 ก.ค 56: ตัดสินใจเปลี่ยนมารักษาที่ รพ(5) ควบคู่กับ รพ(6) ตามคำแนะนำของหมอชิน โดยมี อ.วรชัย เป็นแพทย์เจ้าของไข้ อ.วรชัยแจ้งต้องเปลี่ยนสูตรยาเป็น Taxol เพราะสภาพร่างกายไม่สามารถรับ Taxotere ได้อีกต่อไป แม้จะได้ผลการรักษาที่ดีก็ตาม

25 ก.ค. 56: เกล็ดเลือดยังอยู่ระดับต่ำต่อเนื่อง ประมาณ 100,000 อ. วรชัย สรุปในที่ประชุม ว่าไม่สามารถให้เคมีบำบัดได้ ต้องเปลี่ยนยาสูตรใหม่ เป็น Herceptin + Tykerb (ยาต้านมะเร็งแบบพุ่งเป้า ไม่ใช้เคมีบำบัด) ร่วมด้วยยาป้องกันมะเร็งกินกระดูก Zometa รวมราคาประมาณ 150,000 บาทต่อการรักษาทุกๆ 3 สัปดาห์ จากนั้นคุณอาร์ม เจ้าของ รพ(6) ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ เรื่องค่าห้อง ค่าอาหารฟรี ค่ายาราคาเท่า รพ รัฐ

29 ก.ค 56: ระหว่างนั้นท้องโตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องเจาะน้ำในท้องออกเกือบทุกสัปดาห์ วันนี้เจาะท้องครั้งที่ 4 ได้มากที่สุดถึง 5 ลิตร และรับยา Heceptin & Tykerb เป็นครั้งแรกหลังจากหยุดยามาสองเดือนเต็ม

13 ส.ค 56: ท้องเริ่มยุบลง เริ่มลุกจากเตียงเดินขึ้นลงบันไดได้เองเป็นครั้งแรก ไม่ต้องใช้รถเข็นแล้ว

11 พ.ย 56: CT scan รอบที่ 4 พบ ก้อนมะเร็งลดลงเหลือ 5 ซม ยังมีจุดเล็กทั่วตับ พบตับแข็งบางส่วน มีน้ำคั่งที่ท้องและปอด โปรตีนอัลบูมีนเพิ่มขึ้น ม้ามมีขนาดโตขึ้น

17 ม.ค 57: รับยารอบที่ 12 ทั่วไปอาการดีขึ้น ผลซีทีแสกนพบน้ำในปอดและในท้องค่อยๆ ลดลง เกล็ดเลือดคงที่ระดับ 100,000

19 ก.พ 57: CT scan รอบที่ 5 แพ้สารทึบแสงอัลตร้าวิสผื่นขึ้นหายใจไม่ออก ผลไม่พบก้อนมะเร็งในตับแล้ว อาการตับแข็งคงที่ น้ำในท้องและปอดลดลงเล็กน้อย ม้ามมีขนาดโตขึ้น

26 มี.ค 57: ค่าตับทุกตัว อัลบูมิน บิลลิรูบิน กลับมาอยู่ในระดับปกติ พบเกล็ดเลือดต่ำระดับ 85000, อ วรชัยแจ้งว่า Herceptin ตลอดไป จนกว่ามะเร็งจะดื้อยา หรือ จนกว่าจะมีผลการศึกษาที่ชัดเจนว่าเมื่อไหร่ควรหยุดยา Herceptin?

24 เม.ย 57: การเจาะเลือดก่อนให้ยา พบเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น 107000 ค่าเลือดอื่นๆ ยังคงที่ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากอยู่ที่ 65 กก

18 พ.ค 57: มีเลือดซึมออกจมูก เจาะเลือดพบว่า เกล็ดเลือดลดลง 97000 ค่าการทำงานตับยังคงที่ ได้ปรึกษากับทั้ง อ.วรชัย และ อ ชินวัตร เห็นตรงกันว่าน่าจะเกิดจาก ม้ามโตเลยกินเกล็ดเลือดมากกว่าปกติ

26 พ.ค 57: มีอาการปวดหัวมาก ทดสอบระบบประสาทไม่พบอาการผิดปกติ วินิจฉัยว่า น่าเป็นอาการปวดหัวไมเกรน รับ cafegot ไปทาน

29 พ.ค 57: เจาะเลือดก่อนรับยา Herceptin พบว่า เกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น 180,000 สวนทางกับค่าการทำงานตับ ค่า CA15-3ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกตัว เริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น?

31 พ.ค 57: เข้าพบ อ.วรชัย เพื่อปรึกษาเรื่องค่าเลือดต่างๆ ที่สูงขึ้น และอาการปวดหัวผิดปกติ หมอสั่งตรวจ MRI ที่สมอง และCT scan ที่ตับ

6 มิ.ย 57: ตรวจ CT ช่องท้อง เปลี่ยนสารทึบแสงตัวใหม่ ไม่แพ้เลยผ่านฉลุย

9 มิ.ย 57: ผล CT ออกมา ตับปกติดี ตับแข็งไม่มีการลุกลามเพิ่มขึ้น อาการปวดหัวหายสนิท รอตรวจ MRI อย่างเดียว

11 มิ.ย 57: อาการปวดหัวกลับมาใหม่ เดินขึ้นบ้านไม่ได้ อ่อนแรง และปวดรุนแรงกว่าเดิม

12 ม.ย 57: ตรวจ MRI สมอง เพื่อค้นหาสาเหตุอาการปวดหัว

13 มิ.ย 57: ผลตรวจออกมาแทบช็อค พบมะเร็งลามที่สมองหลายจุด ขนาด มม- 1ซม และก้อนใหญ่ที่สุด 2.7 cm กำลังจะเบียดโพรงสมอง(Tonsillar herniation) ซึ่งจะทำหัวใจหยุดเต้น ระบบการหายใจไม่ทำงานซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตทันที หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดเอาก้อนนี้ออกคืนนี้เลย แต่ผ่าไม่ได้เพราะเกล็ดเลือดต่ำเหลือ 70000 กว่าๆ หมอจะสั่งเติมเกล็ดเลือดให้เกินแสนก่อนผ่าตัด

14 มิ.ย 57: หลังเติมเกล็ดเลือดไป 4 unit เกล็ดเลือดอยู่เหนือ 100,000 แล้ว หมอจึงลงมือผ่าตัดในเช้าวันนี้ ใช้เวลาทั้งสิ้น 7 ชั่วโมง เสียเลือด 200-300 cc หลังผ่าตัดรู้สึกตัวดี แต่ต้องสังเกตุอาการในห้อง ICU 1 คืน

15 มิ.ย 57: หลังจากสังเกตุอาการ 1 คืน ไม่พบความผิดปกติ เลยได้ออกจาก ICU การทดสอบระบบประสาท ไม่พบความผิดปกติ จับช้อนทานข้าวได้เอง พูดคุยได้ปกติ

17 มิ.ย 57: พบหมอด้านรังสีรักษา(ฉายแสง) หมอแจ้งว่าจำเป็นต้องรักษาด้วยฉายแสงคลุมทั้งสมองเพื่อจัดการกับก้อนเล็กๆ ที่เหลือ และเซลล์ที่มองไม่เห็น

18 มิ.ย 57: เกล็ดเลือดลดต่ำลงอีกเหลือ 80,000 เศษ หมอเกรงว่าจะทำให้เลือดออกในสมองจากแผลผ่าตัด เลยสั่งเติมเลือด แต่ดันแพ้ เลือดแบบ Single Donor Platelet ผื่นขึ้นเต็มตัว หายใจไม่ออกต้องให้ออกซิเจน

20 มิ.ย 57: หมออนุญาติให้กลับบ้านได้ รวมค่าใช้ทั้งสิ้น 163,449.56 บาท เบิกสิทธิ์ไม่ได้สักบาท เพราะเหลือห้องที่ศูนย์การแพทย์XXX ห้องเดียวทั้งโรงพยาบาล พักที่นี่เบิกได้แค่สิทธิ์ข้าราชการ นอกนั้นเงินสดอย่างเดียว

24 มิ.ย 57: เข้าสู่กระบวนการฉายแสงครอบคลุมศรีษะรอบแรก หลังฉายแสงสมองชั่วโมง มีอาการเบลอและปวดหัวมาก

25 มิ.ย 57: อาการปวดหัวความรุนแรงมากขึ้น มีอาเจียนร่วม ที่ รพ(6) หมอแจ้งว่า สาเหตุอาจจะเกิดจากสมองบวมจากการฉายแสง ให้สเตียรอยด์เพื่อลดอาการสมองบวม หลังฉีดอาการดีขึ้นมาก เลยหยอดยา Herceptin ต่อเลยที่ 360 มก.

26 มิ.ย 57: แม่นุ่นปฏิเสธจะกลับไปฉายแสงต่อ ทำให้ต้องมานั่งคุยกันว่า สู้คืออยู่ ถอยคือตาย เธอจะเลือกอะไร? ในที่สุดแม่นุ่นก็ยอมกลับมารักษาต่อ และไม่ได้รับผลข้างเคียงอะไรอีกต่อจากนั้น

8 ก.ค 57: จบคอร์สฉายแสงครอบคลุมศรีษะ 3gy x 10

พ.ย 57: ตรวจติดตามผลการฉายแสง พบว่า 2 ก้อนมีขนาดโตขึ้น 3 ก้อนมีขนาดเท่าเดิม และ 2 ก้อนมีขนาดเล็กลง หมอด้านรังสีรักษาแจ้งว่าจะให้การรักษาต่อด้วยรังสีศัลยกรรม Cyberknife , ไม่ปรับเปลี่ยนสูตรยา

ธ.ค 57: ทำรังสีศัลยกรรม Cyberknife ทั้ง 7 จุด doseplan 12-20 gy, ไม่ปรับเปลี่ยนสูตรยา

มี.ค 58: ตรวจติดตามผลหลังการรักษา Cyberknife ครั้งที่1 พบจุดเกิดใหม่ 1 จุด , 2 ก้อนมีขนาดโตขึ้น (13-14mm), 3 ก้อนมีขนาดเท่าเดิม และ 2 ก้อนมีขนาดเล็กลง

22 พ.ค 58: ตรวจติดตามผลหลังการรักษา Cyberknife ครั้งที่2 พบทุกก้อนมีขนาดโตขึ้น รอบก้อนบวมเพิ่มขึ้น แต่ แม่นุ่น ไม่มีอาการ

18 มิ.ย 58: มีอาการชักเกร็ง ไม่รู้สึกตัว และกัดลิ้นตัวเอง ประมาณ 20-30 วินาที ส่งตัวไปห้องฉุกเฉิน หลังนอนสังเกตุอาการหนึ่งคืนไม่พบความผิดปก หมอสั่งให้ทานยากันชักเพื่อป้องกันการชักซ้ำ

20 มิ.ย 58: ตรวจ MRI พบทุกก้อนในสมองมีขนาดโตขึ้น แต่ไม่พบก้อนใหม่

22 มิ.ย 58: หมอด้านผ่าตัด และรังสีรักษาปฏิเสธการรักษา, อ วรชัย แจ้งว่าอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยา TDM1 เพื่อให้ยาเข้าสมองมากขึ้น แต่ต้องบินไปซื้อเองที่สิงคโปร์ทุกสามสัปดาห์ในราคาขวดละ 170,000 บาท

12 ก.ค 58: เนื่องจากยาแพงเกินไป จึงตัดสินใจส่งประวัติการรักษาไปปรึกษาการทำรังสีศัลยกรรมด้วย Gamma knife ไปที่ 13 ศูนย์การรักษาGamma knife ในประเทศญี่ปุ่น อินเดีย สิงค์โปร์ มาเลเซีย อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์, ทุกประเทศตอบกลับมาว่าสามารถให้การรักษาและคาดหวังผลที่ดีจากการรักษาได้

22 ก.ค 58: หลังจากเปรียบเทียบข้อมูลจากทุกประเทศ สรุป เลือกประเทศญี่ปุ่น เนื่องจาก ราคาถูกที่สุด ประสบการณ์สูงที่สุด และสะดวกที่สุด , นำข้อมูลไปปรึกษา อ วรชัย และ หมอชิน ทั้งคู่ไม่ขัดข้องและขอให้โชคดี

25 ก.ค 58: เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจพาลูกไปด้วยทุกคน ไม่ได้รวยแต่คนป่วยต้องการกำลังใจ และใครจะรู้ไปแล้วจะได้กลับมาหรือปล่าว?

28 ก.ค 58: แอดมิดที่ รพ เพื่อเตรียมการรักษา ผลการตรวจพบว่า ก้อนมะเร็งโตขึ้นถึง 3 ซม แล้วนอกจากนั้นยังโตขึ้นเร็วทุกก้อน หมอบอกว่ามาทันเวลาจริงๆ

29 ก.ค 58: เข้ารับการรักษาด้วยเครื่อง Gamma knife รุ่น Perfexion เป็นเครื่องรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงที่สุดในบรรดาเครื่อง SRS

30 ก.ค 58: สังเกตุอาการหนึ่งคืน ไม่พบความผิดปกติอะไร ดีใจที่กลับประเทศไทยพร้อมหน้าทุกคน

11 ก.ย 58: ตรวจติดตามผลหลังการรักษาด้วย Gamma knife ผลตรวจพบก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง 10-50% ทุกก้อน รอลุ้นผลครั้งต่อไป 30 พย 58
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่