‘เขาใหญ่’
ไปเที่ยวเขาใหญ่คนเดียว คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร หลายๆ คนก็เคยมีเขียนรีวิวไปดีแล้ว
แต่ครั้งนี้ เป้าหมายของการเดินทางมีอยู่ 2 อย่าง คือ อยากแบกกล้องไปหาที่ฝึกถ่ายรูป หามุมมองใหม่ๆ ที่ไม่สามารถหาได้จากในเมือง และอยากไปซึมซับบรรยากาศการเที่ยวคนเดียว (ไม่ต้องมีแผนอะไรมาก) แบบที่คนทั่วไปไม่เลือกทำในวันเสาร์อาทิตย์เวลาอยู่คนเดียว (จริงๆ ไม่มีใครไปด้วย T T)
แต่ก็อย่าคาดหวังกับความยากลําบาก แบบว่าวิ่งหนีเสือจากทุ่งหญ้า ไปปะจระเข้ที่หนองน้ำ... อะไรประมาณนี้คงไม่มีครับ
วันที่ 3 ก.ย. 58
ผมจองบ้านพักกับอุทยานฯ ล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ เป็นค่ายพักแรมเยาวชนคืนละ 800 บาท นอนได้ 2 คน ห้องข้างๆ มา 4 คน ก็ยังเห็นว่านอนกันได้ จริงๆ ตั้งใจว่าจะจองล่วงหน้าสัก 3-4 วัน แต่ยังไม่กล้าจอง เพราะกลัวไม่มีเพื่อนบ้าน พอวันใกล้ๆ บ้านเริ่มเต็ม... ตอนนี้ก็จองได้อย่างสบายใจ (บ้านพักจองออนไลน์ สามารถจองล่วงหน้าได้ 3 เดือน และถ้าไปวันธรรมดาจะได้ลดอีก 20%... ไทยเที่ยวไทย ไม่แพงเลยครับ)
วันที่ 5 ก.ย. 58 (วันเสาร์)
การออกเดินทางคนเดียวมีข้อดี คือ ไม่ต้องรอใครหรือให้ใครรอ ข้อเสียคือเหงา... แต่ไม่เป็นไรแค่สองวันเอง...
ผมออกเดินทางประมาณ 6 โมงครึ่ง จับข้าวของยัดใส่ท้ายรถ ทักทายดวงอาทิตย์สักหน่อย แล้วออกเดินทางกัน
ผมขับรถมาทางโคราชครับ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงด่านตรวจ ระหว่างทางขึ้นเขาใหญ่ ทางลาดชันไม่มาก ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่ควรระวัง คือ ‘ช้างป่า’... หน้าฝน ป่าอุดมสมบูรณ์ ช้างป่าออกมาหาอาหารและเดินตัดผ่านถนนเยอะเป็นพิเศษ ดังนั้น เราควรศึกษาวิธีปฏิบัติเมื่อเจอช้างป่าก่อนขึ้นจะดีที่สุด
ขับขึ้นมาเรื่อยๆ เลี้ยวยังไม่ทันครบ 5 โค้ง รถก็เริ่มติด แถวยาวพอสมควร เห็นว่าข้างหน้ามีช้างป่า ตอนนั้นมือเริ่มเย็น รีบหยิบแผ่นพับ 'วิธีปฏิบัติเมื่อเจอช้างป่า' ขึ้นมาท่องทันที (จนท.แจกรถทุกคันก่อนผ่านด่าน) โชคดีว่าเป็นหางแถว
* ที่ตื่นเต้นเกินปกติ เพราะเคยได้ยินมาว่าช้างป่าดูจะชื่นชอบรถสีบรอนซ์เงิน (ลงมาสำรวจรถตัวเองดู อ้าว! .. รถเราก็สีบรอนซ์เงินซะงั้น ปิดประตูขึ้นรถแทบไม่ทัน) ผ่านไปเกือบ 10 นาที ขบวนรถเริ่มเคลื่อน ความตื่นเต้นแทนที่จะลดลง กลับมากขึ้น เพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้า อารมณ์แบบขับเดี่ยวแถวเรียงหนึ่ง ให้ช้างป่าเลือกแบบ random !? ขับไปเรื่อยๆ เห็นแค่ต้นไม้ข้างๆ แหวกเป็นทาง มีเศษไม้และขี้ช้างกองอยู่บนถนน... ผมไม่รีรอ จี้คันหน้าอย่างเดียวครับ (ลดโอกาสการถูกเลือก!)
มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ 10 โมงครึ่ง อากาศเย็นสบาย 24 องศาฯ (ต่ําสุดเมื่อคืน 18 องศาฯ) วันนี้คนเยอะ ที่พักเต็มหมด เว้นแต่โซนกางเต้นท์เพราะเป็นหน้าฝน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้มารับกุญแจบ้านได้หลังบ่ายโมง ผมก็เลยขับเล่นๆ ไปเรื่อยๆ
ข้างบนนี้ถือเป็นสวรรค์ของนักปั่นจักรยาน ผ่านไปตรงไหนเจอพี่ๆ นักปั่นตลอดทางเลยครับ
วนรถเล่นๆ ขึ้นมาทาง
'เขาเขียว' ยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคกลาง (4,233 ฟุต)... เป็นคนละที่กับเขาเขียวที่อยู่ชลบุรีนะครับ ข้างบนนี้อากาศเย็นและชื้น ช่วงนี้เมฆปกคลุมตลอดเวลาทางขึ้นมีหมอกจางๆ
ข้างบนมีต้นไม้และดอกไม้น่ารักๆ อยู่พอสมควรครับ
‘ผาเดียวดาย’ (ชื่อทำร้ายจิตใจกันสุดๆ) อยู่ระหว่างทางขึ้นเขาเขียว มีเส้นทางเดินธรรมชาติ ตอนนี้ทำดีมากครับ มีบันไดไม้ทอดยาวตลอดเส้นทาง เดินสบายทีเดียว แต่วันนี้โชคไม่ดีที่ฝนตก หมอกคลุมท้องฟ้า มองอะไรไม่เห็นเลย
หลังจากสูดหมอกจนหนำใจ ก็มุ่งหน้าไป
‘น้ําตกเหวนรก’ ซิกเนเจอร์อีกจุดของเขาใหญ่ อยู่ระหว่างทางไปปราจีนบุรี ต้องเดินเท้าเข้าไปยังน้ำตกอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเดินเดินง่ายครับ แต่ต้องเดินระมัดระวังสักหน่อยเพราะมีทางชันบริเวณใกล้ฐานน้ำตก
ระหว่างทางมีสะพาน (ไม่รู้ว่ามีชื่อหรือเปล่า) วิวสวยดีครับ น้ำขุ่นค่อนข้างเชี่ยว ผีเสื้อบริเวณนี้ไม่กลัวคน บินมาตอมเราตลอดเวลา
ระหว่างทาง อากาศค่อนข้างชื้น จึงมีต้นไม้แปลกๆ ขึ้นอยู่มากมาย เช่น เฟิร์น มอส หรือเห็ดแชมเปญ (Fungi Cup) เห็นหน้าตาน่ารักอย่างนี้ กินไม่ได้นะครับ ใครที่ชอบถ่าย macro น่าจะชอบ
ครั้นถึงด้านล่างน้ําตก ผิดหวังเล็กๆ เพราะว่าไม่สามารถลงไปยืนใกล้ๆ ได้เลยครับ วันนี้น้ําแรงมาก มีแค่ความเชี่ยวของน้ำมาให้ดูต่างหน้าครับ
ที่สุดท้ายของวันก่อนเข้าที่พัก คือ
‘หอส่องสัตว์หนองผักชี’ อยู่ห่างจากที่ทําการไปสัก 2 กม. ต้องเดินเท้าไปอีก 900 เมตร สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสูงประมาณลำตัว ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้ๆ ห้าโมง ยังกลุ่มนักท่องเที่ยวฝรั่งกลุ่มหนึ่งเดินนําหน้าอยู่ไกลๆ บรรยากาศเริ่มวังเวงไม่มีใครเดินตามเรามาเลย ผมเลยจ้ำให้ทันกลุ่มข้างหน้า อารมณ์อยากมีเพื่อนร่วมทางกะทันหัน
ขึ้นมาบนหอส่องสัตว์ (สูงประมาณตึก 3 ชั้น) พี่ๆ ช่างภาพกำลังซุ่มดูช้างกันพอดีครับ อุปกรณ์แต่ละคนเท่าๆ หมอนข้างเลย ผมก็แอบๆ เลนส์กระติกน้ำผม บังๆ ไว้แบบอายๆ
วันนี้โชคดีของผม เจอช้างป่ามาใกล้ๆ พอดี พี่คนข้างๆ บอกว่ามี 25 ตัว (ตอนนี้ใกล้ค่ำน่าจะกลับบ้านไปบ้างแล้ว)
ระหว่างผุดๆ โผล่ๆ อยู่หลังกล้อง ผมสังเกตได้อย่างว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ค่อยยกกล้องขึ้นมาถ่ายเลย เค้าดูแล้วก็ยิ้มๆ คุยกันบ้าง ดูแล้วน่ารักดีครับ ส่วนพวกเราคนไทย ก็ผลัดกันบรรเลงเพลง 'shutter burst' ของใครรุ่นใหญ่หน่อย ก็เป็นเพลงเร็ว... ส่วนผมดูเหมือนจะช้าที่สุด
พระอาทิตย์ใกล้ลา ช้างก็เริ่มเข้าป่าเหมือนกัน บรรยากาศป่าหน้าฝนใกล้ค่ำก็สวยดีเหมือนกันครับ
คนค่อยๆ ทยอยเดินกลับ เหลืออยู่ก็ไม่ถึงครึ่ง ระหว่างทางเริ่มมืด เดินคนเดียวก็เริ่มกลัวอีกแล้ว (ดูเราจะหวาดระแวงเกินเหตุ) พอได้ยินเสียงต้นไม้ถูกแหวก ช้างร้อง (ไม่ได้ร้องแปร๋นน่ารักๆ)... สับเท้าวิ่งอย่างไม่ต้องรอใครมาไล่ เริ่มคิดถึงคนข้างๆ ก็ตอนนี้แหละครับ
วันเสาร์หมดไปอย่างรวดเร็ว คืนนี้ฝนตกพรำๆ อากาศเย็นสบาย ตามบทแล้วมาคนเดียวต้องนอนไม่ค่อยหลับ แต่ตอนกลางวันเดินเยอะไปหน่อย แป๊บเดียวก็เช้าแล้ว
วันที่ 6 ก.ย. 58 (วันอาทิตย์)
ตื่นมาแต่เช้า เดินดูรอบๆ สัมผัสอากาศสดชื่นสักหน่อย
หลังจากหาอะไรรองท้อง ก็หาที่เที่ยวกันต่อ ดูแผนที่เลือกแบบที่ไม่ไกลมาก เห็นมีเส้นทางเดินธรรมชาติใกล้ๆ ที่ทําการอุทยานฯ ชื่อว่า ‘ทางเดินธรรมชาติน้ําตกกองแก้ว’ เป็นทางสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็เดินครบรอบ เป็นเส้นทางเดินง่ายๆ ไว้ศึกษาธรรมชาติ
เขาใหญ่มีเส้นทางเดินสํารวจธรรมชาติหลายที่ ไม่ว่าจะเดินแบบม้วนเดียวจบ หรือจะเป็นแบบต้องค้างคืนในป่า ชอบกันแบบไหนก็เลือกกันตามสบายครับ
สถานีหน้า... ไปสถานที่ยอดฮิตอีกแห่ง...
‘น้ําตกเหวสุวัต’ ที่นี่ห่างจากที่ทําการฯ ไม่ไกล อยู่คนละทางกับน้ําตกเหวนรก ทางเดินไปด้านล่างน้ําตกไม่ลําบากเท่าไหร่ จะชันตอนใกล้ถึง แต่เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน วันนี้น้ำตกดูทรงพลังกว่าครั้งก่อนที่เคยมา ละอองน้ำฟุ้งกระจาย พัดมาโดนตัว ตามจังหวะของกระแสลม
พอเลยเที่ยง ที่สุดท้ายที่ตั้งใจจะไป คือ
‘เขาแผงม้า’ อยากไปดูกระทิง อยากรู้ว่าจริงๆ กระทิง คือ วัวตัวสีดําหรือเปล่า เลยเบิ่งรถไปตามทางที่แผนที่บอก ซึ่งค่อนข้างไกลจากทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่พอสมควร เส้นทางเดียวกับทางไปวังน้ําเขียว จริงๆ แล้วเขาแผนม้านี้เคยอยู่ในเขตเขาใหญ่ ติดกับอุทยานแห่งชาติคลองลาน สามารถพบเห็นกระทิงได้ง่าย
ปากทางเข้าค่อนข้างหายากพอสมควร ต้องขับรถขึ้นไปบนยอดเขาอีก 4 กม. ถ้าเป็นทางธรรมดาคงไม่คิดอะไรมาก แต่นี่เป็นทางลูกรัง หินก้อนใหญ่ๆ โรยบนทางเดิน ระยะทางแค่นี้ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง บางทีก็คิดสงสารรถ อยากถอดใจกลับเหมือนกัน...
ขึ้นมาถึงข้างบน เจออนุสาวรีย์กระทิงกับความเงียบเหงา
เดินดุ่มๆ คนเดียวไปจุดซุ้มดูกระทิง บรรยากาศไม่มีใครเลยสักคน วังเวงมากครับ และที่สำคัญ มองไม่เห็นกระทิงสักตัว ดูเหมือนว่าเจ้ากระทิงจะออกมาให้ดูยากพอสมควร จะออกมาเป็นเวลา ปัญหาสำคัญอีกอย่าง คือ อุปกรณ์เลนส์หรือกล้องส่องทางไกลต้องพร้อม เพราะถ้าส่องเห็นกระทิงจริงๆ กล้องผมระยะซูมสุดที่ 300mm. น่าจะเห็นเป็นลูกแมวมีเขาตัวดำๆ
ใกล้ค่ํา.. ได้เวลากลับบ้าน ผมวิ่งย้อนทางเดิมกลับมาทางเดิม ถึงกรุงเทพฯ เกือบสามทุ่ม ดึกพอสมควร คราวหน้าจะ หาเวลามาที่นี่ให้นานกว่านี้ ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป
--- กลับมาคิดว่าาอะไรคือข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียว คือ จะไปไหนมาไหนไม่ต้องทะเลาะกับใคร เถียงกับตัวเองก็พอแล้ว หรือบางทีเราก็มีเวลาคิดถึงตัวเราเองมากขึ้น แต่สิ่งที่เรียนรู้สำคัญเลย คือ...
การออกเดินทางคนเดียว ใช่ว่าจะเป็นการปลดตัวเองออกจากคนรอบข้างและสังคม... แต่กลับกัน ยิ่งเราอยู่คนเดียว เรายิ่งรู้ใจตัวเราเอง ว่าเราต้องการใครสักคนคอยเคียงข้าง ---
(ถ้าผิดพลาดประการใดก็แนะนำติชมกันได้ครับ... ขอบคุณถ้าได้อ่านหรือดูรูปมาถึงตรงนี้ครับ)
'เขาใหญ่ของฉัน' [ไปเดี่ยวก็เที่ยวได้]
ไปเที่ยวเขาใหญ่คนเดียว คิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร หลายๆ คนก็เคยมีเขียนรีวิวไปดีแล้ว
แต่ครั้งนี้ เป้าหมายของการเดินทางมีอยู่ 2 อย่าง คือ อยากแบกกล้องไปหาที่ฝึกถ่ายรูป หามุมมองใหม่ๆ ที่ไม่สามารถหาได้จากในเมือง และอยากไปซึมซับบรรยากาศการเที่ยวคนเดียว (ไม่ต้องมีแผนอะไรมาก) แบบที่คนทั่วไปไม่เลือกทำในวันเสาร์อาทิตย์เวลาอยู่คนเดียว (จริงๆ ไม่มีใครไปด้วย T T)
แต่ก็อย่าคาดหวังกับความยากลําบาก แบบว่าวิ่งหนีเสือจากทุ่งหญ้า ไปปะจระเข้ที่หนองน้ำ... อะไรประมาณนี้คงไม่มีครับ
วันที่ 3 ก.ย. 58
ผมจองบ้านพักกับอุทยานฯ ล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ เป็นค่ายพักแรมเยาวชนคืนละ 800 บาท นอนได้ 2 คน ห้องข้างๆ มา 4 คน ก็ยังเห็นว่านอนกันได้ จริงๆ ตั้งใจว่าจะจองล่วงหน้าสัก 3-4 วัน แต่ยังไม่กล้าจอง เพราะกลัวไม่มีเพื่อนบ้าน พอวันใกล้ๆ บ้านเริ่มเต็ม... ตอนนี้ก็จองได้อย่างสบายใจ (บ้านพักจองออนไลน์ สามารถจองล่วงหน้าได้ 3 เดือน และถ้าไปวันธรรมดาจะได้ลดอีก 20%... ไทยเที่ยวไทย ไม่แพงเลยครับ)
วันที่ 5 ก.ย. 58 (วันเสาร์)
การออกเดินทางคนเดียวมีข้อดี คือ ไม่ต้องรอใครหรือให้ใครรอ ข้อเสียคือเหงา... แต่ไม่เป็นไรแค่สองวันเอง...
ผมออกเดินทางประมาณ 6 โมงครึ่ง จับข้าวของยัดใส่ท้ายรถ ทักทายดวงอาทิตย์สักหน่อย แล้วออกเดินทางกัน
ผมขับรถมาทางโคราชครับ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงด่านตรวจ ระหว่างทางขึ้นเขาใหญ่ ทางลาดชันไม่มาก ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่ควรระวัง คือ ‘ช้างป่า’... หน้าฝน ป่าอุดมสมบูรณ์ ช้างป่าออกมาหาอาหารและเดินตัดผ่านถนนเยอะเป็นพิเศษ ดังนั้น เราควรศึกษาวิธีปฏิบัติเมื่อเจอช้างป่าก่อนขึ้นจะดีที่สุด
ขับขึ้นมาเรื่อยๆ เลี้ยวยังไม่ทันครบ 5 โค้ง รถก็เริ่มติด แถวยาวพอสมควร เห็นว่าข้างหน้ามีช้างป่า ตอนนั้นมือเริ่มเย็น รีบหยิบแผ่นพับ 'วิธีปฏิบัติเมื่อเจอช้างป่า' ขึ้นมาท่องทันที (จนท.แจกรถทุกคันก่อนผ่านด่าน) โชคดีว่าเป็นหางแถว
* ที่ตื่นเต้นเกินปกติ เพราะเคยได้ยินมาว่าช้างป่าดูจะชื่นชอบรถสีบรอนซ์เงิน (ลงมาสำรวจรถตัวเองดู อ้าว! .. รถเราก็สีบรอนซ์เงินซะงั้น ปิดประตูขึ้นรถแทบไม่ทัน) ผ่านไปเกือบ 10 นาที ขบวนรถเริ่มเคลื่อน ความตื่นเต้นแทนที่จะลดลง กลับมากขึ้น เพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้า อารมณ์แบบขับเดี่ยวแถวเรียงหนึ่ง ให้ช้างป่าเลือกแบบ random !? ขับไปเรื่อยๆ เห็นแค่ต้นไม้ข้างๆ แหวกเป็นทาง มีเศษไม้และขี้ช้างกองอยู่บนถนน... ผมไม่รีรอ จี้คันหน้าอย่างเดียวครับ (ลดโอกาสการถูกเลือก!)
มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯ 10 โมงครึ่ง อากาศเย็นสบาย 24 องศาฯ (ต่ําสุดเมื่อคืน 18 องศาฯ) วันนี้คนเยอะ ที่พักเต็มหมด เว้นแต่โซนกางเต้นท์เพราะเป็นหน้าฝน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้มารับกุญแจบ้านได้หลังบ่ายโมง ผมก็เลยขับเล่นๆ ไปเรื่อยๆ
ข้างบนนี้ถือเป็นสวรรค์ของนักปั่นจักรยาน ผ่านไปตรงไหนเจอพี่ๆ นักปั่นตลอดทางเลยครับ
วนรถเล่นๆ ขึ้นมาทาง 'เขาเขียว' ยอดเขาที่สูงที่สุดในภาคกลาง (4,233 ฟุต)... เป็นคนละที่กับเขาเขียวที่อยู่ชลบุรีนะครับ ข้างบนนี้อากาศเย็นและชื้น ช่วงนี้เมฆปกคลุมตลอดเวลาทางขึ้นมีหมอกจางๆ
ข้างบนมีต้นไม้และดอกไม้น่ารักๆ อยู่พอสมควรครับ
‘ผาเดียวดาย’ (ชื่อทำร้ายจิตใจกันสุดๆ) อยู่ระหว่างทางขึ้นเขาเขียว มีเส้นทางเดินธรรมชาติ ตอนนี้ทำดีมากครับ มีบันไดไม้ทอดยาวตลอดเส้นทาง เดินสบายทีเดียว แต่วันนี้โชคไม่ดีที่ฝนตก หมอกคลุมท้องฟ้า มองอะไรไม่เห็นเลย
หลังจากสูดหมอกจนหนำใจ ก็มุ่งหน้าไป ‘น้ําตกเหวนรก’ ซิกเนเจอร์อีกจุดของเขาใหญ่ อยู่ระหว่างทางไปปราจีนบุรี ต้องเดินเท้าเข้าไปยังน้ำตกอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเดินเดินง่ายครับ แต่ต้องเดินระมัดระวังสักหน่อยเพราะมีทางชันบริเวณใกล้ฐานน้ำตก
ระหว่างทางมีสะพาน (ไม่รู้ว่ามีชื่อหรือเปล่า) วิวสวยดีครับ น้ำขุ่นค่อนข้างเชี่ยว ผีเสื้อบริเวณนี้ไม่กลัวคน บินมาตอมเราตลอดเวลา
ระหว่างทาง อากาศค่อนข้างชื้น จึงมีต้นไม้แปลกๆ ขึ้นอยู่มากมาย เช่น เฟิร์น มอส หรือเห็ดแชมเปญ (Fungi Cup) เห็นหน้าตาน่ารักอย่างนี้ กินไม่ได้นะครับ ใครที่ชอบถ่าย macro น่าจะชอบ
ครั้นถึงด้านล่างน้ําตก ผิดหวังเล็กๆ เพราะว่าไม่สามารถลงไปยืนใกล้ๆ ได้เลยครับ วันนี้น้ําแรงมาก มีแค่ความเชี่ยวของน้ำมาให้ดูต่างหน้าครับ
ที่สุดท้ายของวันก่อนเข้าที่พัก คือ ‘หอส่องสัตว์หนองผักชี’ อยู่ห่างจากที่ทําการไปสัก 2 กม. ต้องเดินเท้าไปอีก 900 เมตร สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสูงประมาณลำตัว ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้ๆ ห้าโมง ยังกลุ่มนักท่องเที่ยวฝรั่งกลุ่มหนึ่งเดินนําหน้าอยู่ไกลๆ บรรยากาศเริ่มวังเวงไม่มีใครเดินตามเรามาเลย ผมเลยจ้ำให้ทันกลุ่มข้างหน้า อารมณ์อยากมีเพื่อนร่วมทางกะทันหัน
ขึ้นมาบนหอส่องสัตว์ (สูงประมาณตึก 3 ชั้น) พี่ๆ ช่างภาพกำลังซุ่มดูช้างกันพอดีครับ อุปกรณ์แต่ละคนเท่าๆ หมอนข้างเลย ผมก็แอบๆ เลนส์กระติกน้ำผม บังๆ ไว้แบบอายๆ
วันนี้โชคดีของผม เจอช้างป่ามาใกล้ๆ พอดี พี่คนข้างๆ บอกว่ามี 25 ตัว (ตอนนี้ใกล้ค่ำน่าจะกลับบ้านไปบ้างแล้ว)
ระหว่างผุดๆ โผล่ๆ อยู่หลังกล้อง ผมสังเกตได้อย่างว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ค่อยยกกล้องขึ้นมาถ่ายเลย เค้าดูแล้วก็ยิ้มๆ คุยกันบ้าง ดูแล้วน่ารักดีครับ ส่วนพวกเราคนไทย ก็ผลัดกันบรรเลงเพลง 'shutter burst' ของใครรุ่นใหญ่หน่อย ก็เป็นเพลงเร็ว... ส่วนผมดูเหมือนจะช้าที่สุด
พระอาทิตย์ใกล้ลา ช้างก็เริ่มเข้าป่าเหมือนกัน บรรยากาศป่าหน้าฝนใกล้ค่ำก็สวยดีเหมือนกันครับ
คนค่อยๆ ทยอยเดินกลับ เหลืออยู่ก็ไม่ถึงครึ่ง ระหว่างทางเริ่มมืด เดินคนเดียวก็เริ่มกลัวอีกแล้ว (ดูเราจะหวาดระแวงเกินเหตุ) พอได้ยินเสียงต้นไม้ถูกแหวก ช้างร้อง (ไม่ได้ร้องแปร๋นน่ารักๆ)... สับเท้าวิ่งอย่างไม่ต้องรอใครมาไล่ เริ่มคิดถึงคนข้างๆ ก็ตอนนี้แหละครับ
วันเสาร์หมดไปอย่างรวดเร็ว คืนนี้ฝนตกพรำๆ อากาศเย็นสบาย ตามบทแล้วมาคนเดียวต้องนอนไม่ค่อยหลับ แต่ตอนกลางวันเดินเยอะไปหน่อย แป๊บเดียวก็เช้าแล้ว
วันที่ 6 ก.ย. 58 (วันอาทิตย์)
ตื่นมาแต่เช้า เดินดูรอบๆ สัมผัสอากาศสดชื่นสักหน่อย
หลังจากหาอะไรรองท้อง ก็หาที่เที่ยวกันต่อ ดูแผนที่เลือกแบบที่ไม่ไกลมาก เห็นมีเส้นทางเดินธรรมชาติใกล้ๆ ที่ทําการอุทยานฯ ชื่อว่า ‘ทางเดินธรรมชาติน้ําตกกองแก้ว’ เป็นทางสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็เดินครบรอบ เป็นเส้นทางเดินง่ายๆ ไว้ศึกษาธรรมชาติ
เขาใหญ่มีเส้นทางเดินสํารวจธรรมชาติหลายที่ ไม่ว่าจะเดินแบบม้วนเดียวจบ หรือจะเป็นแบบต้องค้างคืนในป่า ชอบกันแบบไหนก็เลือกกันตามสบายครับ
สถานีหน้า... ไปสถานที่ยอดฮิตอีกแห่ง... ‘น้ําตกเหวสุวัต’ ที่นี่ห่างจากที่ทําการฯ ไม่ไกล อยู่คนละทางกับน้ําตกเหวนรก ทางเดินไปด้านล่างน้ําตกไม่ลําบากเท่าไหร่ จะชันตอนใกล้ถึง แต่เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน วันนี้น้ำตกดูทรงพลังกว่าครั้งก่อนที่เคยมา ละอองน้ำฟุ้งกระจาย พัดมาโดนตัว ตามจังหวะของกระแสลม
พอเลยเที่ยง ที่สุดท้ายที่ตั้งใจจะไป คือ ‘เขาแผงม้า’ อยากไปดูกระทิง อยากรู้ว่าจริงๆ กระทิง คือ วัวตัวสีดําหรือเปล่า เลยเบิ่งรถไปตามทางที่แผนที่บอก ซึ่งค่อนข้างไกลจากทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่พอสมควร เส้นทางเดียวกับทางไปวังน้ําเขียว จริงๆ แล้วเขาแผนม้านี้เคยอยู่ในเขตเขาใหญ่ ติดกับอุทยานแห่งชาติคลองลาน สามารถพบเห็นกระทิงได้ง่าย
ปากทางเข้าค่อนข้างหายากพอสมควร ต้องขับรถขึ้นไปบนยอดเขาอีก 4 กม. ถ้าเป็นทางธรรมดาคงไม่คิดอะไรมาก แต่นี่เป็นทางลูกรัง หินก้อนใหญ่ๆ โรยบนทางเดิน ระยะทางแค่นี้ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง บางทีก็คิดสงสารรถ อยากถอดใจกลับเหมือนกัน...
ขึ้นมาถึงข้างบน เจออนุสาวรีย์กระทิงกับความเงียบเหงา
เดินดุ่มๆ คนเดียวไปจุดซุ้มดูกระทิง บรรยากาศไม่มีใครเลยสักคน วังเวงมากครับ และที่สำคัญ มองไม่เห็นกระทิงสักตัว ดูเหมือนว่าเจ้ากระทิงจะออกมาให้ดูยากพอสมควร จะออกมาเป็นเวลา ปัญหาสำคัญอีกอย่าง คือ อุปกรณ์เลนส์หรือกล้องส่องทางไกลต้องพร้อม เพราะถ้าส่องเห็นกระทิงจริงๆ กล้องผมระยะซูมสุดที่ 300mm. น่าจะเห็นเป็นลูกแมวมีเขาตัวดำๆ
ใกล้ค่ํา.. ได้เวลากลับบ้าน ผมวิ่งย้อนทางเดิมกลับมาทางเดิม ถึงกรุงเทพฯ เกือบสามทุ่ม ดึกพอสมควร คราวหน้าจะ หาเวลามาที่นี่ให้นานกว่านี้ ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป
--- กลับมาคิดว่าาอะไรคือข้อดีของการไปเที่ยวคนเดียว คือ จะไปไหนมาไหนไม่ต้องทะเลาะกับใคร เถียงกับตัวเองก็พอแล้ว หรือบางทีเราก็มีเวลาคิดถึงตัวเราเองมากขึ้น แต่สิ่งที่เรียนรู้สำคัญเลย คือ... การออกเดินทางคนเดียว ใช่ว่าจะเป็นการปลดตัวเองออกจากคนรอบข้างและสังคม... แต่กลับกัน ยิ่งเราอยู่คนเดียว เรายิ่งรู้ใจตัวเราเอง ว่าเราต้องการใครสักคนคอยเคียงข้าง ---
(ถ้าผิดพลาดประการใดก็แนะนำติชมกันได้ครับ... ขอบคุณถ้าได้อ่านหรือดูรูปมาถึงตรงนี้ครับ)