เรื่องสั้น เรื่อง เมื่อฉันบิน
(ดี ไม่ดี ยังไงรบกวนผู้อ่านช่วยคอมเมนด้วยนะครับ)
ผู้แต่ง พจมารี
ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ พร้อมที่จะเผาสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตได้ทั้งเป็นและคงไม่ร้ายไปกว่าเหล่าอสรพิษที่แอบซ่อนกายพลางตัวภายใต้พื้นทรายสีน้ำตาลไหม้ มีเพียงสายตาของมันเท่านั้นที่โผล่พ้นเหล่าเม็ดทรายเพื่อจับจองเหยื่ออย่างใจเย็น ซึ่งพวกมันที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อันโหดร้ายเช่นนี้ ต่างหาวิธีเอาตัวรอดให้มีลมหายใจไปวันตามสัญชาตญาณเถื่อน ดิบ ไม่มีคำว่าเมตตา มีแต่คำว่า ฉันต้องอยู่รอด แม้จะเป็นเวลากลางคืนอันมืดมิดมีเพียงเสียงพายุทรายพัดพาเม็ดทรายหลายกิโลเมตรให้ผันแปรเป็นอีกรูปร่างหนึ่งเป็นเวลาที่สมควรหลับพักผ่อนอย่างสบายใจของเหล่าสิ่งมีชีวิตกลับกลายเป็นเวทีการต่อสู้ การเอาตัวรอดของสรรพสัตว์ไม่มีคำว่าเวลาพักนอกจากความตาย ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวงในโลกใบนี้
เร็วสิ! เสียงตะโกนแผดเสียงร้องของหญิงสาวออกมาจากมุมหนึ่งของทะเลทรายในบริเวณชนเผ่าหนึ่ง
มั่วรออะไรอยู่ !! เธอพูดพร้อมกับกำลังมัดตัวเองกับเสาศักดิ์สิทธิ์กลางลานแจ้ง เมื่อมัดเสร็จเธอมองตรงไปหาหญิงสาวอีกสองคนที่กำลังถือคบไฟซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ สายตาของเขาทั้งสองช่างดูไร้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น เหมือนร่างไร้วิญญาณ
คาย่า เธอสมควรตาย เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งกล่าว ทำให้ดวงตาอันกลมสวยของหญิงสาวที่มัดตัวเองไว้น้ำตาเอ่อไหลอาบแก้มอันบอบบาง เธอใสซื่อ บริสุทธิ์เกินกว่าจะอยู่บนโลกอันโหดร้ายนี้อีกต่อไปได้ แม้แต่เพื่อนที่เธอไว้ใจที่สุดยังหักหลังกัน ด้วยอิจฉา ริษยาก่อตัวขึ้นในใจกลายเป็นเงามืดดำ มิอาจจะล้างออกไปได้ ถึงแม้ว่าค่าย่าจะพยายามมากเท่าใดก็ตาม คาย่าเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเธอทำผิดอะไร หาเหตุผลว่าอะไรทำให้เพื่อนทั้งสองคนเปลี่ยนไป ทำทุกวิถีทางให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เธอก็ค้นพบว่า ที่จริงแล้ว เงามืดมันมีมานานแล้ว ซึ่งเพิ่งมาปรากฏให้เธอได้เห็นเท่านั้น
คาย่าสูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอันมืดมิดไร้แสงดาวย้อนนึกถึงตอนที่เธอเป็นเด็กน้อยน่ารักเธอเฝ้าถามพ่อกับแม่ของเธอว่าเมื่อไรจะเช้าเสียทีเพราะเธอกลัวความมืดเหลือเกิน พ่อของเธอตอบว่า หนูต้องใช้ความอดทนรอเวลาให้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้ามาทักทาย แล้วบินตามแสงอาทิตย์ไปหนูจะไม่มีวันพบกับความมืดมิดอันโหดร้าย สิ้นคำตอบของผู้เป็นพ่อและกอดกันอบอุ่นได้จางหายไปกับเสียงหัวเราะของซาตานที่อยู่เบื้องหน้าของเธอ
ฉันเหนื่อยกับโลกใบนี้แล้ว
เหนื่อยกับจิตใจอันโสโครกที่ไม่มีวันล้างมันออกได้ ทรยศ หักหลัง เสแสร้ง สิ้นคำพูดของคาย่า ซาตานทั้งสองได้เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบข้างหูของเธอ มันเป็นสัญชาตญาณ ที่พระเจ้าได้มอบให้พร้อมกับทิ้งเราไป ไม่มีที่ให้บุตรของพระเจ้ายืนอยู่หรอก น้ำเสียงอันเยือกเย็นปนความแค้นได้บาดลึกลงไปภายในใจของคาย่าจนทนกลิ่นกายอันน่าสะอิดสะเอียนพวกเธอทั้งสองไม่ได้ จนต้องอาเจียนของเสียเปื้อนทั้งสองคน ฝ่ามืดซาตานทั้งสองรุมฟาดลงบนแก้มอันบอบบางอย่างไร้ความเมตตา จากนั้นได้ทิ้งคบไฟเผากายอันงดงามของคาย่า ไฟได้ลุกไหม้มากจนมองไม่เห็นคนที่อยู่ภายในกองเพลิง แต่ไร้เสียงอันๆออกมา มีเพียงเสียงหัวเราะอันพอใจของซาตานสาวทั้งสอง
ทันใดนั้นเองฝนได้ตกลงมาอย่างหนักทำให้เปลวเพิงมอดม้วยลงดิน ควันฟุ้งลอยวนรอบเสาศักดิ์สิทธิ์ เฉกเช่นหมอกจางๆ ปรากฏร่างหญิงสาวรูปงามสวมชุดเดรสขาวยืนยิ้ม อยู่พร้อมกันกางปีกสีขาวอันบริสุทธิ์ กระพือปีกแล้วบินทะยานสู่ท้องฟ้าต้อนรับกับแสงอาทิตย์ยามเช้าอย่างงดงาม สร้างความประหลาดใจแก่หญิงสาวทั้งสองที่กำลังยืนมองร่างนั้นหายลับตาไป ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ด้านหลังทั้งสองคนได้ถือมืดอันคมกริบเอาไว้
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านะครับ
เรื่องสั้น เรื่อง เมื่อฉันบิน
(ดี ไม่ดี ยังไงรบกวนผู้อ่านช่วยคอมเมนด้วยนะครับ)
ผู้แต่ง พจมารี
ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ พร้อมที่จะเผาสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตได้ทั้งเป็นและคงไม่ร้ายไปกว่าเหล่าอสรพิษที่แอบซ่อนกายพลางตัวภายใต้พื้นทรายสีน้ำตาลไหม้ มีเพียงสายตาของมันเท่านั้นที่โผล่พ้นเหล่าเม็ดทรายเพื่อจับจองเหยื่ออย่างใจเย็น ซึ่งพวกมันที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อันโหดร้ายเช่นนี้ ต่างหาวิธีเอาตัวรอดให้มีลมหายใจไปวันตามสัญชาตญาณเถื่อน ดิบ ไม่มีคำว่าเมตตา มีแต่คำว่า ฉันต้องอยู่รอด แม้จะเป็นเวลากลางคืนอันมืดมิดมีเพียงเสียงพายุทรายพัดพาเม็ดทรายหลายกิโลเมตรให้ผันแปรเป็นอีกรูปร่างหนึ่งเป็นเวลาที่สมควรหลับพักผ่อนอย่างสบายใจของเหล่าสิ่งมีชีวิตกลับกลายเป็นเวทีการต่อสู้ การเอาตัวรอดของสรรพสัตว์ไม่มีคำว่าเวลาพักนอกจากความตาย ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวงในโลกใบนี้
เร็วสิ! เสียงตะโกนแผดเสียงร้องของหญิงสาวออกมาจากมุมหนึ่งของทะเลทรายในบริเวณชนเผ่าหนึ่ง
มั่วรออะไรอยู่ !! เธอพูดพร้อมกับกำลังมัดตัวเองกับเสาศักดิ์สิทธิ์กลางลานแจ้ง เมื่อมัดเสร็จเธอมองตรงไปหาหญิงสาวอีกสองคนที่กำลังถือคบไฟซึ่งกำลังลุกไหม้อยู่ สายตาของเขาทั้งสองช่างดูไร้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น เหมือนร่างไร้วิญญาณ
คาย่า เธอสมควรตาย เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งกล่าว ทำให้ดวงตาอันกลมสวยของหญิงสาวที่มัดตัวเองไว้น้ำตาเอ่อไหลอาบแก้มอันบอบบาง เธอใสซื่อ บริสุทธิ์เกินกว่าจะอยู่บนโลกอันโหดร้ายนี้อีกต่อไปได้ แม้แต่เพื่อนที่เธอไว้ใจที่สุดยังหักหลังกัน ด้วยอิจฉา ริษยาก่อตัวขึ้นในใจกลายเป็นเงามืดดำ มิอาจจะล้างออกไปได้ ถึงแม้ว่าค่าย่าจะพยายามมากเท่าใดก็ตาม คาย่าเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเธอทำผิดอะไร หาเหตุผลว่าอะไรทำให้เพื่อนทั้งสองคนเปลี่ยนไป ทำทุกวิถีทางให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่เธอก็ค้นพบว่า ที่จริงแล้ว เงามืดมันมีมานานแล้ว ซึ่งเพิ่งมาปรากฏให้เธอได้เห็นเท่านั้น
คาย่าสูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอันมืดมิดไร้แสงดาวย้อนนึกถึงตอนที่เธอเป็นเด็กน้อยน่ารักเธอเฝ้าถามพ่อกับแม่ของเธอว่าเมื่อไรจะเช้าเสียทีเพราะเธอกลัวความมืดเหลือเกิน พ่อของเธอตอบว่า หนูต้องใช้ความอดทนรอเวลาให้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้ามาทักทาย แล้วบินตามแสงอาทิตย์ไปหนูจะไม่มีวันพบกับความมืดมิดอันโหดร้าย สิ้นคำตอบของผู้เป็นพ่อและกอดกันอบอุ่นได้จางหายไปกับเสียงหัวเราะของซาตานที่อยู่เบื้องหน้าของเธอ
ฉันเหนื่อยกับโลกใบนี้แล้ว เหนื่อยกับจิตใจอันโสโครกที่ไม่มีวันล้างมันออกได้ ทรยศ หักหลัง เสแสร้ง สิ้นคำพูดของคาย่า ซาตานทั้งสองได้เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบข้างหูของเธอ มันเป็นสัญชาตญาณ ที่พระเจ้าได้มอบให้พร้อมกับทิ้งเราไป ไม่มีที่ให้บุตรของพระเจ้ายืนอยู่หรอก น้ำเสียงอันเยือกเย็นปนความแค้นได้บาดลึกลงไปภายในใจของคาย่าจนทนกลิ่นกายอันน่าสะอิดสะเอียนพวกเธอทั้งสองไม่ได้ จนต้องอาเจียนของเสียเปื้อนทั้งสองคน ฝ่ามืดซาตานทั้งสองรุมฟาดลงบนแก้มอันบอบบางอย่างไร้ความเมตตา จากนั้นได้ทิ้งคบไฟเผากายอันงดงามของคาย่า ไฟได้ลุกไหม้มากจนมองไม่เห็นคนที่อยู่ภายในกองเพลิง แต่ไร้เสียงอันๆออกมา มีเพียงเสียงหัวเราะอันพอใจของซาตานสาวทั้งสอง
ทันใดนั้นเองฝนได้ตกลงมาอย่างหนักทำให้เปลวเพิงมอดม้วยลงดิน ควันฟุ้งลอยวนรอบเสาศักดิ์สิทธิ์ เฉกเช่นหมอกจางๆ ปรากฏร่างหญิงสาวรูปงามสวมชุดเดรสขาวยืนยิ้ม อยู่พร้อมกันกางปีกสีขาวอันบริสุทธิ์ กระพือปีกแล้วบินทะยานสู่ท้องฟ้าต้อนรับกับแสงอาทิตย์ยามเช้าอย่างงดงาม สร้างความประหลาดใจแก่หญิงสาวทั้งสองที่กำลังยืนมองร่างนั้นหายลับตาไป ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแต่ด้านหลังทั้งสองคนได้ถือมืดอันคมกริบเอาไว้
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านะครับ