ขอสะท้อนมุมมองส่วนตัว "ว่าด้วยเรื่องความทุกข์"

กระทู้สนทนา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้โชเชียลเป็นพื้นที่ในการสะท้อนความคิดโดยเฉพาะการแสดงทัศนะในเรื่องธรรมะ จึงมีเพื่อนหลายคนมักจะถามว่าทำไมจึงโพสแต่เรื่องทุกข์และเรื่องธรรมะ ผมเลยตอบไปว่านั่นก็เพราะชีวิตที่ผ่านมามันมักประสบกับความทุกข์ แล้วทำไมจึงโพสเรื่องธรรมะ นั่นก็เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เราอยู่กับทุกข์อย่างไม่ทุกข์และอยู่กับทุกข์อย่างเข้าใจ เมื่อก่อนที่จะศึกษาธรรมะอย่างจริงจังผมเคยคิดอิจฉาคนที่เขามีความสุข ความสมหวังทั้งเรื่องงาน ความรัก ตำแหน่ง เงินทอง และมีเพียบพร้อมทุกอย่าง ดุจเทวดาบนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน ก็คงเหมือนเทวดาจริง ๆ ที่เสวยแต่กรรมดีไปเรื่อย ๆ ก็เลยประมาทพอรู้ตัวอีกทีก็หมดบุญรอจุติเพื่อไปเกิดใหม่ประมาณนั้น  
                  แต่หลังจากที่เราใช้ชีวิตอยู่กับทุกข์ไปเรื่อยๆ เบาบ้าง หนักบ้าง มันทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้ที่จะคิดพิจารณาถึงความทุกข์อย่างถ่องแท้ว่าทุกสรรพชีวิตล้วนมีความทุกข์มาเยือนอยู่ทุกเวลานาทีเป็นธรรมดาของชีวิตอย่างนั้น จะมากบ้าง น้อยบ้าง ก็เป็นไปตามกรรมคือการกระทำของแต่ละบุคคล และไม่มีชีวิตคนไหนเลยที่จะหลีกเลี่ยงหรือหลบหลีกได้ แม้จะใช้ทรัพย์สินมากมายมาขจัดก็ไม่อาจทำได้ ที่หลายคนคิดว่าขจัดได้ก็เป็นแต่เพียงการปิดบังอำพลางความทุกข์ไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเหยื่อล่อหมดไปความทุกข์ก็ปรากฏชัดขึ้นมาอีก มิหนำซ้ำอาจจะยิ่งหนักกว่าเดิมเสียอีก นั่นก็เพราะใจเรามันอ่อนแอเอาแต่พยายามหลบหลีกซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง  แท้จริงในเมื่อเราไม่อาจหลีกลี้หนีพ้นได้ใยเราไม่เผชิญหน้ากับความทุกข์อย่างเปิดเผยและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเข้าใจละ แรกๆก็เหมือนกับการทานยาขมแต่พอเราทานบ่อย ๆ ลิ้มรสมันบ่อยๆความขมมันก็ลดน้อยถอยลงและที่สำคัญผลสุดท้ายโรคที่เป็นอยู่มันหายขาดได้ เช่นกันกับความทุกข์แรก ๆ ก็ต้องทนฝืนเกิดความทุกข์ทรมานกายและใจ แต่พอฝึกไปๆก็เกิดปัญญาพิจารณาเห็นตามจริงตามหลักอริยสัจ 4 รู้ถึงเหตุแลผล จนเราสามารถที่จะปล่อยวางได้โดยไม่ไปเพิ่มทุกข์ในจิตใจให้มันแผ่กว้างไปมากกว่าที่เป็น ผลก็คือเราหายจากทุกข์ พ้นจากทุกข์หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เราเข้าใจทุกข์ได้อย่างถูกต้อง และสามารถที่จะทำใจยอมรับความจริงจนทุกข์นั้น ๆ บรรเทาเบาบางลงไป ซึ่งแก่นของการปฏิบัติธรรมนั้นจะทำให้ทุกข์จางหาย ทำให้เรามีแต่ความสุขสมความปรารถนาก็หาไม่ หากแต่เป็นการเรียนรู้ที่จะเข้าใจทุกข์และปล่อยวางมันไม่ให้มันไปปรุงแต่งขยายทุกข์ให้หนักขึ้นไปอีกก็เท่านั้นเอง แม้ต่อไปเราจะต้องประสบพบเจอทุกข์ ทั้งความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความไม่ชอบและความไม่พึงปรารถนาทั้งหลายเราก็สามารถปล่อยวางได้ ทำใจยอมรับได้ และนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากความ “ทุกข์” ที่หาในความสุขไม่เจอเพราะสุขมันมีแต่ความหลงความเพลิดเพลินคอยหลอกล่อ  สิ่งทั้งหายทั้งปวงที่ได้จากการพิจารณาอาจเข้าใจได้ตามตำราแต่ไม่อาจที่จะเข้าถึงอย่างถ่องแท้ได้ เพราะเราต้องอาศัยตัวทุกข์ที่แท้จริงคือความทุกข์ที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วหยิบมันมาพิจารณาเมื่อพิจารณาจนเป็นที่เข้าใจแล้วก็ปล่อยวางมัน  ดังนั้นคนที่มีแต่ความสุขหลงระเริงกับความเพลิดเพลินชั่วครั้งชั่วคราวจนลืมตัวย่อมไม่อาจพิจารณาได้กระทั่งวันหนึ่งความทุกข์มาเยี่ยมเยือนและต้องมาเป็นแน่แท้  เมื่อวันนั้นมาถึงก็คงต้องแล้วแต่ภูมิของแต่ละบุคคลว่าจะสามารถยอมรับที่จะอยู่กับความทุกข์นั้นได้มากน้อยแค่ไหน  ถ้ารับไม่ได้ก็อาจพังครืนทั้งชีวิตซึ่งมีตัวอย่างปรากฏให้เห็นมากมาย  ด้วยเหตุนี้ผมจึงเห็นความสำคัญของ “เหตุ” คือ “ความทุกข์” และเห็นความสำคัญของ “ยา” ที่จะรักษาโรคนี้ คือ “ธรรมะ” ของพระพุทธองค์

ปล.อีกประการหนึ่งที่โพสเรื่องธรรมะก็เพราะเป็นอีกทางหนึ่งในการสรา้งกุศลผลบุญคือการให้ธรรมะเป็นทาน เพราะสิ่งที่เราเผยแพร่ออกไปนั้นอาจจะทำให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้พิจารณาตามซึ่งหากตรงจิตตรงใจอาจจะก่อให้เกิดแสงสว่าง เกิดกำลังใจหรือเกิดการปล่อยวางในความทุกข์ที่ประสบอยู่และมีใจที่สงบขึ้น....ขออนุญาตเผยแพร่มุมมองส่วนตัวนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่