ขาดสามัญสำนึกในการใช้ชีวิต จะเรียกกลับมาได้อย่างไรคะ??

ขาดสามัญสำนึกในการใช้ชีวิต จะเรียกกลับมาได้อย่างไรคะ??

สวัสดีค่ะ อายุ 25 ปีค่ะ ทำงานธุรกิจส่วนตัว

        เราประสบปัญหาในการทำงานมากค่ะ ปัญหาคือทำงานไม่ทันตามกำหนด
แรกๆ ก็เครียดมากค่ะ เป็นทุกข์มาก แต่พอผ่านเรื่องนี้ไปคิดว่ามันน่าจะเป็นบทเรียนให้จำ
แต่กลับลืมความรู้สึกนั้นไป กลับมาทำอีก ต้องขออธิบายก่อนนะคะ ที่ทำงานไม่เสร็จเพราะว่าเป็นคนทำงานช้า
และสมาธิสั้น ซึ่งทุกครั้งที่ทำงาน เมื่อพบปัญหาในงานก็จะไม่ยอมลุยทำต่อ บ้างครั้งลุยแต่บ่อยครั้งไม่ยอมลุย
ในใจบอกตัวเองว่า ถ้าไม่ทำต้องแย่แน่ๆ แต่สุดท้ายก็ทิ้งงานไปทำอย่างอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่องาน ต่อตัวเอง เช่น เล่นเกมส์
ดูคลิป ฟังเพลง ออกไปกินข้าว ใช้เงิน ซึ่งในจิตใจลึกๆ รู้ดีว่ามันแย่ พยายามปรับตัวใช้เวลามาสามปีแล้ว แต่ก็ยังคงเจอปัญหาเดิม
จนตอนนี้งานก็แทบจะไม่มีคนเชื่อถือแล้ว เงินก็ไม่มี ความภาคภูมิใจก็ไม่เหลือ บ่อยครั้งคิดว่าให้คิดถึงคนที่บ้าน หากเค้าเจ็บป่วยเราจะช่วย
ได้อย่างไร หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยสันดานเดิมๆ รู้สึกเกลียดตัวเอง แต่ไม่มีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตเลยค่ะ บางทีคิดไปไกลว่าถ้าเรื่องมันแย่มากๆ ก็แค่ตาย ....
         มันแย่นะคะ มันแย่มาก รู้ตัวเลยว่าเป็นคนที่ถือว่าใช้ไม่ได้ในสังคม อยากเรียกสามัญสำนึกดีๆ กลับมา หรือจริงๆ แล้ว เราไม่มีมันมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอคะ แล้วอย่างนี้ควรทำอย่างไรคะ ควรจะเลิกทุกอย่างหายไป หรือควรจะไปไหนดีคะ หลายครั้งพยายามหาวิธี อ่านหนังสือ หาคนคุย มันได้ผลนะคะ แต่ก็ได้แค่ไม่กี่วัน เจอสถานการ์ณเดิมๆ ก็ละเลยหน้าที่อีก ลูกค้าก็ทวงงาน ปัจจุบันนี้หาเลี้ยงตัวเองยังไม่รอดเลย ถามเพื่อนก็มีน้อยคนที่ปรึกษาไ้ดเพราะค่อนข้างเกี่ยวกับนิสัยแย่ๆ ของตน เลยไม่กล้าสู้หน้าใคร หลายคนบอกว่าก็ให้นึกดูว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตจะแย่ อาจเลวร้ายถึงขั้นทำร้ายคนที่มีบุญคุณ เราก็กลัวนะคะ แต่มันไม่สามรถเรียกสำนึกที่ต้องพยายามทำของเราได้เลย เราเป็นคนเลวรึเปล่าก็ถามตัวเอง ก็ได้คำตอบว่า เลวนะ แย่มาก แล้วก็ได้แต่ท้อ แล้วก็โทษตัวเอง ลูปอย่างนี้ตลอด มองคนอื่นๆ เค้าก้าวไปข้างหน้า ในใจอยากไปอยากเป็นบ้าง แต่ไม่ยอมพยายาม ต้องทำอย่างไรดีคะ หรือควรตายๆ ไปดี

        หากข้อความในกระทู้ทำให้หลายๆ คนนึกไม่ชอบ หรือรบกวนต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่การโพสเพื่อต้องการปรึกษาทุกๆ คนในที่นี้เป็นวิธีสุดท้ายที่เราคิดออก ต้องย้ำว่า เราต้องการเปลี่ยนตนเองคะ แต่เพราะอะไรจึงทำร้ายตัวเองด้วยความเหลาะแหละของตัวเองก็ไม่รู้ค่ะ อาจเพราะเราขาดสามัญสำนึกหรือไม่ หรือเราเป็นโรงจิตรึเปล่าคะ สามารถต่อว่า หรือพูดอย่างไรได้หมดคะ่ เพราะเรายอมรับว่ามันแย่จริงๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับพื้นที่นี้นะคะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
อมยิ้ม04..ในฐานะที่อยู่บนโลกใบนี้มานานกว่าคุณน้อง จขกท. ร่วมๆ 2 ทศวรรษ ..มีสังคญาติ เป็นโขยง ( ..ยากจะระบุจำนวน )
ทำงานอยู่กับคนหมู่มาก ..เห็นความเป็นมา และความเป็นไป ของชีวิตคน..แต่ละคน มาตั้งแต่เค้ายังเด็กๆ จนโตเป็นหนุ่มเป็นสาว
หรือเห็นมาตั้งแต่อายุพอๆ กัน เริ่มสร้างครอบครัวเหมือนกัน
หรือเห็นเค้ามาตั้งแต่เราเองเด็กๆ ..วันนี้ เราโตเป็นผู้ใหญ่  ..เค้าก็แก่เฒ่า เข้าวัยชราชน

..จึงเห็นทั้งความสำเร็จ และความผิดพลาด ล้มเหลวของผู้คนรอบข้าง รอบตัว..มามากมาย
และเพราะชอบคิดตาม ชอบวิเคราะห์ ชอบค้นหาเหตุผล ..เพื่อการเรียนรู้ ..ดูเอาไว้เป็น "เยี่ยง" และ "อย่าง"
จะได้ไม่ต้องผิดพลาดล้มเหลว แล้วมาสำนึกเสียใจภายหลัง
เลยพอจะเห็นภาพในหัวขึ้นมาแว้บๆ ว่า
คนที่เติบโตมาถึงวันนี้ ด้วยลักษณะนิสัยที่ "จับจด" ..ขาดความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย
..ซึ่งจะอ้างว่าขาดแรงบันดาลใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ..
น่าจะมีที่มาจากการเลี้ยงดู ที่พ่อแม่ไม่ฝึกให้ลูกมี "วินัย" ในตัวเอง ..ไม่กล้าขัดใจลูก กลัวลูกกรี๊ด กลัวลูกร้องไห้โยเย
หรือไม่ก็ขี้เกียจรำคาญ  คิดว่า..มันอยากได้อะไรก็ให้ๆ มันไปเหอะ ..จะได้หยุดร้อง หยุดเซ้าซี้เร้าหรือ ..
เลี้ยงลูกแบบ ..ลูกเทวดา - นางฟ้าตัวน้อย

จากน้อยคุ้มใหญ่ ..จาก "พฤติกรรม" ..นำมาสู่ "นิสัย"
..จากนิสัย ฝังรากลึกลงไป เป็น.."นิสัยถาวร" ..ซึ่งขุดยากกว่าสันดอน
ตลอดเวลา ไม่มีใครเตือน - ห้ามปราม ..อวยกันมาเรื่อยๆ ตามใจกันมาเรื่อยๆ ..ปลอบใจกันไปว่า ..ไม่เป็นไรลูก..
ด้วยยังมีปัญญาเลี้ยงดูกันอยู่ ..แต่ดันลืมคิดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ ..มีแต่จะแก่ตัวลงทุกวัน และไม่ได้เป็นอมตะ ยืนยงอยู่ค้ำฟ้า
ในขณะที่ลูกเติบโตขึ้นทุกวันเช่นกัน ..จากเด็กหญิงตัวน้อย มาเป็นสาวน้อย ..จนเข้าสู่วัยทำงาน ..วัยที่จริงๆ แล้วเริ่มจะต้องออกไปสร้างรังใหม่ของตัวเอง
แต่เพราะคุ้นชินกับนิสัยถาวร ที่เป็นมาแต่เด็ก ..ทำอะไร จับจด ไม่ทำให้สำเร็จลุล่วง
..แล้วถ้าวันหนึ่งที่พ่อแม่ไม่อยู่ ..ลูกจะอยู่ยังไง ?? ..พ่อแม่ดันไม่คิดเอาไว้ ไม่ฝึกลูกเอาไว้ให้เตรียมความพร้อมเอาไว้ เมื่อวันนั้นมาถึง

ส่วนลูก ..รู้ว่าไอ่นิสัยถาวรที่ทำๆ มาตลอดนั้นมันไม่ดี เพราะ "ผลเสีย" ที่จับต้องได้  ..มันเริ่มมองเห็นเป็นรูปธรรมแล้วไง
..เช่น ทำงานไม่เสร็จตามกำหนด เพราะมัวแต่ติสท์แตก ..ไม่มีอารมณ์ทำงาน
แต่มีอารมณ์นั่งเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง ..ความเสียหายก็บังเกิด และมีผลกระทบตามมาเป็นพรวน

แต่ก็ยังไม่ฉลาดพอที่จะหาหนทางกระตุ้นตัวเอง ..อาจแลคล้ายพวกสัญชาติคางคก ..ยางหัวไม่ตก ก็ไม่รู้สึก
หรือพวก..ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ..ไม่เห็นขี้หมา ไม่ใส่รองเท้า !
..ซึ่งจะต้องรอให้ความหายนะมาเยือน แล้วไม่มีปัญญาแก้ไขอะไรได้เสียก่อนหรือ ถึงจะมี "แรงบันดาลใจ" ในการดำเนินชีวิตให้อยู่ในร่องในรอย ???

..ทำให้นึกถึง..เวลาเด็กน้อย ผู้ไร้เดียงสาทั้งหลาย ..ยังไม่รู้ว่า ..เราต้องเรียนวิชา "หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม" ไปทำไม ??
ก็อยากจะบอกว่า ดูก่อน..เด็กน้อยผู้โฉดเขลาเอย.. เพราะพวกเจ้ายังไม่เคยโตเป็นผู้ใหญ่ ( ในขณะที่ผู้ใหญ่น่ะ เค้าผ่านช่วงวัยเด็กมาแล้วนะเฟ้ย )
เจ้ายังไม่สำเหนียกว่า ..การที่เรามีหลักธรรมคำสอน ให้ยึดมั่น ให้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตนั้น สำคัญเยี่ยงไร !
..หากเจ้าจะรู้ว่า ..เพียงเจ้ามี "อิทธิบาท 4" ..ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ..เจ้ารู้จักรักในงานที่ทำ มีความพากเพียรอุตสาหะ ใส่ใจในงานที่ทำ และหมั่นทบทวน
ปรับปรุง พัฒนา สิ่งที่ทำอยู่ ให้ดียิ่งๆ ขึ้น ..หากเจ้ายึดมั่นในหลักธรรมข้อนี้ ..จะทำกิจการงานใด ..ก็สำเร็จ ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

หรือหากรู้จัก "สังคหวัตถุ 4" ..ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานนัตตตา..ก็สามารถอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในสังคม ..คนร้อยพ่อพันแม่ ได้อย่างมีความสุข
เพราะรู้จักการให้ ..มีน้ำใจ เสียสละ ให้ความรู้เป็นทาน ให้อภัย.. พูดก็ให้ไพเราะเสนาะรูหู  รู้จักบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ มีจิตอาสา ทำอะไรไม่ต้องหวังผลตอบแทนบ้าง
และทำตัวเสมอต้น เสมอปลาย ..คนก็เชื่อถือ ไว้วางใจ ศรัทธา

..เมื่อเอามาปรับใช้กับการทำงาน ร่วมกับหลักอิทธิบาท 4 นะ ..กิจการก็ไปโล้ด ..
พี่เอาผลงานตลอด 40 กว่าปีของพี่เป็นเดิมพันเลย ..ว่าหลักการนี้ Work !

แต่ก็อย่างว่าแหละ ..คำว่า "สามัญสำนึก" ..ชื่อก็บอกอยู่โต้งๆ ว่า "สามัญ" คือเป็นเรื่องธรรมดา ใช้ logic พื้นๆ ไม่ได้พิสดารพันลึกในตึกแขกอันใด
คนระดับ "ปุถุชน" น่าจะคิดได้เอง ..จะต้องรอให้ใครมากระตุ้นกันมากมายล่ะแม่คุณ
..แต่ก็อีก ..บัว ยังมี 4 เหล่า .. บางเหล่า คิดได้ เรียนรู้ได้ ตระหนักรู้ได้ด้วยตนเอง
บางเหล่า ฟังจากผู้รู้ แล้วคิดได้เพียงการฟังครั้ง 2 ครั้ง
แต่บางเหล่า ก็อยู่ใต้ตมซะจนไม่รู้จะช่วยยังไง

..คนอยากช่วย ก็ยังต้องยึดหลัก "พรหมวิหาร 4" ด้วยเลย ..โดยเฉพาะข้อ "อุเบกขา" !

ในเรื่องราวชีวิตของคุณน้อง จขกท. พี่ก็คงช่วยได้เพียงเท่านี้ ..คือให้หลักการ ไปลองคิดดู ประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเองเอาเองนะ
..หากคุณคิดได้ ..ทำได้ ชีวิตดีขึ้น ..มันก็ชีวิตคุณ ..พี่ก็แค่พลอยยินดี
..แต่หากคุณยังคงคิดไม่ได้ เหมือนตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ..มันก็ชีวิตคุณอีกเช่นกัน ..พี่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร ..แต่คุณรับผลของการกระทำของตัวเองไปเต็มๆ

ยังไงก็ขอส่งความปรารถนาดี ผ่านตัวหนังสือยืดยาว ( ว่าจะเขียนให้อยู่ใน 7 บรรทัด ..ก็ไม่เคยสำเร็จสักที ..ขี้บ่นเกิ๊นนน 5555 )
..ด้วยหวังว่า ยังคงไม่สายเกินไปสำหรับเด็กในวัยเบญจเพสแบบคุณ ..ที่จะเปลี่ยนแนวคิดในการดำเนินชีวิต ให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยเสียที ..
เละเทะมานานละ ..
ด้วยความปรารถนาดี จากคนแปลกหน้าในบอร์ดสาธารณะค่ะ ดอกไม้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่