คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
Volcano (1997) วอลคาโน่ นรกปะทุนรก หนังเก่าเรื่องนี้สอนให้ผมรู้จักคิด ว่าการเลือกดูหนังนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกเสพเฉพาะความบันเทิงเพียงอย่างเดียว เพราะหนังดีๆสักเรื่อง มีอะไรให้เรามากกว่านั้น สำหรับหนังเรื่องนี้ จัดเป็นหนังชั้นครูที่สอนให้ผมได้รู้จักคิดที่จะฉลาดในการเสพภาพยนตร์
สำหรับ Volcano แล้ว...ผมรู้สึกโดนใจมากกว่าในหลายส่วน เริ่มจากพล็อตเรื่องที่แหวกแนวพอตัว (แม้จะปนเว่อร์หน่อยๆ ก็ตาม) เมื่อหนังกำหนดให้ภูเขาไฟมาระเบิดกลางเมืองลอสแองเจลิส ทำให้ชาวเมืองต้องหนีตาย ส่วนผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่ละฝ่ายก็ต้องมาร่วมมือกันปกป้องเมือง นำโดย ไมค์ โร้ค (Tommy Lee Jones) หัวหน้าหน่วยป้องกันอุบัติภัย และ ดร. เอมี่ บาร์นส์ (Anne Heche) นักธรณีวิทยาที่พยายามเตือนทุกคนให้ระวังถึงเหตุการณ์ครั้งนี้
หนังเดินเรื่องค่อนข้างเร็ว ช่วงแรกก็แนะนำตัวละครคร่าวๆ ก่อนจะโดดเข้าสถานการณ์แบบไม่ทันตั้งตัว แล้วจากนั้นก็ยิงยาวสร้างความตื่นเต้นไปตลอดจนจบ อันนี้ขอชม Mick Jackson (L.A. Story และ The Bodyguard) ที่คุมจังหวะหนังได้ดี เสิร์ฟความลุ้นลงมาเรื่อยๆ เล่าเรื่องได้น่าติดตามกำลังดี ซึ่งพลัง Effect ก็ช่วยชูรสได้มากครับ พวกลาวาพุ่งแล้วก็เลื้อยไหลไปไหม้ตามจุดต่างๆ ของเมืองก็ทำได้สมจริง
ดาราในเรื่องก็เล่นได้ลื่นไปกับบท อย่าง Jones นี่ก็ไม่ต้องห่วงล่ะครับ เล่นบทดีบทร้ายได้หมด ในเรื่องพี่ท่านก็ดูเหมาะจะเป็นพระเอกจริงๆ ลีลาในการแก้ปัญหารับมือกับภูเขาไฟนั้นทำให้เราเชื่อได้จริงๆ ว่าเขาคือหัวหน้าหน่วยป้องกันอุบัติภัย สามารถนำพาทุกคนให้พ้นเหตุร้ายได้ อีกทั้งมีความเป็นผู้นำที่ช่วยเรียกสติใครต่อใครให้ไม่ตื่นตระหนักไปกับหายนะครั้งนี้
Heche ก็ไม่เลวครับ ดูน่ารักแล้วก็ดูเป็นนักธรณีวิทยาที่เก่งพอตัว อย่างตอนที่เธอตะโกนให้ใครๆ ดูทิศทางหินละลายที่ลอยมาก่อน อย่าเพิ่งรีบหลบเพราะเราอาจวิ่งไปหามันแทนที่จะวิ่งหนีก็ได้ หรือตอนออกความเห็นเสริมช่วยเสนอไอเดียกับไมค์ก็จัดว่าเนียนครับ, Don Cheadle รับบทเอ็มมิท รีส ผู้ช่วยของไมค์ที่ต้องรับหน้าที่คุมสำนักงานแทนไมค์ พี่แกก็เล่นได้ดีตามที่บทอำนวยครับ นอกจากนี้ก็มี Gaby Hoffmann ในบท เคลลี่ ลูกสาวของไมค์ที่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากภัยพิบัติครั้งนี้ และ Jacqueline Kim เป็น ดร. เจย์ ไคลเดอร์ หมอสาวที่ยึดมั่นในจริยธรรม พร้อมช่วยเหลือคนทุกเมื่อทุกเวลา
หลายส่วนของหนังอาจยังไม่ลงตัวเต็มที่ แต่ถ้าดูรวมๆ แล้วหนังตอบสนองครบทั้งความบันเทิง ตื่นเต้น และยังไม่ลืมสาระดีๆ มาฝากคนดู ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดที่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมในตอนนั้น ที่เพิ่งวัย20 ต้นๆได้รู้จักคิดเป็นครั้งแรก
จุดที่ผมรู้สึกโดนในหนังเรื่องนี้คือ การได้เห็นคนพยายามช่วยกันแก้ปัญหา ร่วมกันรับมือหายนะครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนครับว่ามันต้องมีทั้งคนที่เห็นแก่ตัว และคนที่อารมณ์ขึ้น (ไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่ที่ทำงานหัวปั่นจนหงุดหงิด หรือชาวบ้านที่รอความช่วยเหลือจนทนไม่ไหว) แล้วก็มาขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน แต่ในอีกด้านหนึ่งเราก็จะได้เห็นผู้คนที่พยายามคิดหาทางแก้ ร่วมมือกันหาทางออก วิธีนี้ไม่ได้ก็ลองวิธีอื่น สู้กับมันจนกว่าจะสู้ไม่ไหว
ในสถานการณ์แบบนี้ผู้นำมีความสำคัญมากครับ เพราะยิ่งเรื่องใหญ่โตคนก็ยิ่งมาข้องเกี่ยวเยอะ และพอคนเยอะๆ มารวมกันก็อาจเกิดสภาวะ "มากคนมากความ" ตามมา ดังนั้นถ้าไม่มีผู้นำมาช่วยนำทางหรือสามารถรับมือกับสถานการณ์ด้วยสติแล้ว การแก้ปัญหาก็จะยิ่งยาก
ในหนังเราจะได้เห็นคนช่วยเหลือกัน บางคนก็ยอมเสียสละตนเองเพื่อช่วยผู้อื่น เช่น สแตน ออลเบอร์ (John Carroll Lynch) ที่ตัดสินใจแก้ไขความผิดพลาดของตน เพราะเขาเป็นคนที่ดื้อจะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งที่เอมี่พยายามเตือนแล้วว่าอย่าเพิ่งเสี่ยง และพอเกิดหายนะขึ้นมา เขาก็ยินดีสละทุกอย่างเพื่อไถ่โทษ
ในหนังเราจะได้เห็นคนทะเลาะกัน อย่างนายตำรวจ เทอร์รี่ แจสเปอร์ (James MacDonald) กับเควิน (Marcello Thedford) ที่ไม่ถูกกันทั้งเรื่องสีผิวและการแสดงออกที่พร้อมจะจิกกัดกันตลอดเวลา แต่ในที่สุดแล้วทั้งสองก็ได้ตระหนักว่าความสามัคคีคือพลังสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเอาชนะมหาลาวาพิโรธนี้ได้
ในหนังเราจะได้เห็นคนเติบโตด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้ อย่างเคลลี่ ลูกสาวของไมค์ที่ตอนแรกเธอเป็นเพียงวัยรุ่นเล็กๆ ที่ตกใจจนแทบร้องไห้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอตระหนักว่าเธอต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ และเธอยังสามารถช่วยคนอื่นๆ ได้ด้วยการดูแลเด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าเธอ
มีฉากง่ายๆ ฉากหนึ่งที่ผมชอบ ในตอนจบครับ หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไป เราจะได้เห็นผู้คนมากมายทั้งชายหญิง ทั้งแก่และเด็ก ยืนเรียงรายด้วยใบหน้ามอมแมมดำกรำฝุ่น จนเด็กคนหนึ่งที่กำลังมองหาแม่พูดขึ้นมาว่า "ทุกคนหน้าเหมือนกันหมดเลย"
ซึ่งมันสอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็น ชาย หญิง ดำ ขาว จีน ไทย อเมริกา เหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยในการจำแนกแยกประเภทของคนในโลก ซึ่งมีประโยชน์ในหลายประการ ขณะเดียวกันก็มีโทษหากคนนำไปใช้ในการแบ่งแยก สร้างความแตกร้าวในมวลหมู่มนุษย์ ... แล้วเราจะเลือกใช้ให้มันเกิดโทษกันไปทำไม
อีกมุมที่ผมชอบคือไอเดียการรับมือกับภัยธรรมชาติ แต่แม้เราจะพยายามกั้นมันแค่ไหน บังคับมันปานใด แต่ยังไงธรรมชาติก็มีวิถีของมัน และมันก็จะเดินไปตามวิถีของมันไม่ว่ามนุษย์จะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม มันคือธรรมชาติประการหนึ่งของธรรมชาติครับ การบังคับธรรมชาติให้เป็นไปตามที่เราต้องการอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดที่สุด แต่การเรียนรู้และรู้จักปรับตัวตามธรรมชาติ นั่นอาจจะเป็นหนทางที่จะทำให้เรากับธรรมชาติสามารถค้นพบวิถีอันพอเหมาะในการจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน
ในจุดสุดท้ายของเรื่องอาจลงเอยเหมือนกับเราได้เห็นชัยชนะของมนุษย์ที่ต่อสู้กับลาวาและจัดการรับมือมันได้ แต่จริงๆ แล้วอาจไม่มีใครชนะหรือแพ้ เพียงแค่เราค้นพบจุดที่เราก็ไม่เสียหาย ส่วนลาวาก็เจอทางออกของมัน
Volcano อาจไม่ใช่หนังที่ลึกซึ้งในเรื่องของพลังความสามัคคี ความวิจิตรของพลังธรรมชาติ หรือการวิพากษ์มนุษย์ท่ามกลางภาวะวิกฤต
Volcano คือหนังเน้นความบันเทิงง่ายๆ ที่ดูได้สนุก และเราชี้ชวนให้นึกถึงประเด็นเหล่านั้น แม้หนังจะกล่าวถึงในระดับผิวๆ ก็ตาม
และหนังเรื่องนี้ ถ้ามองให้ดีจะเห็นภาพความเป็นชาติไทยซ้อนอยู่บ้างในบางมุม
คือเป็นชาติที่ประชาชนพร้อมจะสมัครสมานสามัคคีกันเฉพาะเวลาเกิดภัยพิบัติร้ายแรงเท่านั้น
จะช่วยกันอย่างแข็งขัน ลืมข้อกินแหนงแคลงใจต่างๆไปชั่วขณะ แต่ด้วยความที่เป็นอะไรแบบไทย..ไทย.. ที่ไม่มีชนชาติในในโลกเสมอเหมือน พอไม่มีภัยพิบัติแล้ว ความ ไทย..ไทย..ของเราก็สั่งให้หันมารบราฆ่าฟันกันเองเหมือนเดิม...เจริญ จริ๊ง....ประเทศกรู
ป.ล.ช่วงนี้ผมอาจไม่สะดวกที่จะสนทนาโต้ตอบกับเพื่อนๆนะครับ เนื่องด้วยเวลามีจำกัด อย่างเมื่อวานนี้ ผมกลับมาดูดูก็เห็นหลายๆท่านกล่าวถึงผมแต่ผมไม่ได้ตอบกลับ อย่างพี่วรัชชานนท์ คุณส้ม คุณชุนเทียน ซึ่งต้องขออภัยหลายๆท่านไว้ในที่นี้ด้วยครับ รอโอกาสหน้าฟ้าใหม่ให้สุขภาพผมแข็งแรงก่อน ค่อยกลับมาเป็น ไอ้รองขี้คุยคนเดิม แล้วจะตามตอบ และตามจิกกัดเพื่อนๆตามปกตินิสัยของผมนะครับ
ขอบคุณครับ
เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าดูหนังแล้วได้อะไร นอกจากความบันเทิง สำหรับผมถามตัวเองอยู่ทุกครั้งที่ดูหนังเรื่องๆหนึ่งจบ
ว่าหนังที่คุณดูนั้น ให้อะไรกับคุณบ้าง.. ?
ว่าหนังที่คุณดูนั้น ให้อะไรกับคุณบ้าง.. ?
Volcano (1997) วอลคาโน่ นรกปะทุนรก หนังเก่าเรื่องนี้สอนให้ผมรู้จักคิด ว่าการเลือกดูหนังนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกเสพเฉพาะความบันเทิงเพียงอย่างเดียว เพราะหนังดีๆสักเรื่อง มีอะไรให้เรามากกว่านั้น สำหรับหนังเรื่องนี้ จัดเป็นหนังชั้นครูที่สอนให้ผมได้รู้จักคิดที่จะฉลาดในการเสพภาพยนตร์
สำหรับ Volcano แล้ว...ผมรู้สึกโดนใจมากกว่าในหลายส่วน เริ่มจากพล็อตเรื่องที่แหวกแนวพอตัว (แม้จะปนเว่อร์หน่อยๆ ก็ตาม) เมื่อหนังกำหนดให้ภูเขาไฟมาระเบิดกลางเมืองลอสแองเจลิส ทำให้ชาวเมืองต้องหนีตาย ส่วนผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่ละฝ่ายก็ต้องมาร่วมมือกันปกป้องเมือง นำโดย ไมค์ โร้ค (Tommy Lee Jones) หัวหน้าหน่วยป้องกันอุบัติภัย และ ดร. เอมี่ บาร์นส์ (Anne Heche) นักธรณีวิทยาที่พยายามเตือนทุกคนให้ระวังถึงเหตุการณ์ครั้งนี้
หนังเดินเรื่องค่อนข้างเร็ว ช่วงแรกก็แนะนำตัวละครคร่าวๆ ก่อนจะโดดเข้าสถานการณ์แบบไม่ทันตั้งตัว แล้วจากนั้นก็ยิงยาวสร้างความตื่นเต้นไปตลอดจนจบ อันนี้ขอชม Mick Jackson (L.A. Story และ The Bodyguard) ที่คุมจังหวะหนังได้ดี เสิร์ฟความลุ้นลงมาเรื่อยๆ เล่าเรื่องได้น่าติดตามกำลังดี ซึ่งพลัง Effect ก็ช่วยชูรสได้มากครับ พวกลาวาพุ่งแล้วก็เลื้อยไหลไปไหม้ตามจุดต่างๆ ของเมืองก็ทำได้สมจริง
ดาราในเรื่องก็เล่นได้ลื่นไปกับบท อย่าง Jones นี่ก็ไม่ต้องห่วงล่ะครับ เล่นบทดีบทร้ายได้หมด ในเรื่องพี่ท่านก็ดูเหมาะจะเป็นพระเอกจริงๆ ลีลาในการแก้ปัญหารับมือกับภูเขาไฟนั้นทำให้เราเชื่อได้จริงๆ ว่าเขาคือหัวหน้าหน่วยป้องกันอุบัติภัย สามารถนำพาทุกคนให้พ้นเหตุร้ายได้ อีกทั้งมีความเป็นผู้นำที่ช่วยเรียกสติใครต่อใครให้ไม่ตื่นตระหนักไปกับหายนะครั้งนี้
Heche ก็ไม่เลวครับ ดูน่ารักแล้วก็ดูเป็นนักธรณีวิทยาที่เก่งพอตัว อย่างตอนที่เธอตะโกนให้ใครๆ ดูทิศทางหินละลายที่ลอยมาก่อน อย่าเพิ่งรีบหลบเพราะเราอาจวิ่งไปหามันแทนที่จะวิ่งหนีก็ได้ หรือตอนออกความเห็นเสริมช่วยเสนอไอเดียกับไมค์ก็จัดว่าเนียนครับ, Don Cheadle รับบทเอ็มมิท รีส ผู้ช่วยของไมค์ที่ต้องรับหน้าที่คุมสำนักงานแทนไมค์ พี่แกก็เล่นได้ดีตามที่บทอำนวยครับ นอกจากนี้ก็มี Gaby Hoffmann ในบท เคลลี่ ลูกสาวของไมค์ที่ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากภัยพิบัติครั้งนี้ และ Jacqueline Kim เป็น ดร. เจย์ ไคลเดอร์ หมอสาวที่ยึดมั่นในจริยธรรม พร้อมช่วยเหลือคนทุกเมื่อทุกเวลา
หลายส่วนของหนังอาจยังไม่ลงตัวเต็มที่ แต่ถ้าดูรวมๆ แล้วหนังตอบสนองครบทั้งความบันเทิง ตื่นเต้น และยังไม่ลืมสาระดีๆ มาฝากคนดู ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดที่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมในตอนนั้น ที่เพิ่งวัย20 ต้นๆได้รู้จักคิดเป็นครั้งแรก
จุดที่ผมรู้สึกโดนในหนังเรื่องนี้คือ การได้เห็นคนพยายามช่วยกันแก้ปัญหา ร่วมกันรับมือหายนะครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนครับว่ามันต้องมีทั้งคนที่เห็นแก่ตัว และคนที่อารมณ์ขึ้น (ไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่ที่ทำงานหัวปั่นจนหงุดหงิด หรือชาวบ้านที่รอความช่วยเหลือจนทนไม่ไหว) แล้วก็มาขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน แต่ในอีกด้านหนึ่งเราก็จะได้เห็นผู้คนที่พยายามคิดหาทางแก้ ร่วมมือกันหาทางออก วิธีนี้ไม่ได้ก็ลองวิธีอื่น สู้กับมันจนกว่าจะสู้ไม่ไหว
ในสถานการณ์แบบนี้ผู้นำมีความสำคัญมากครับ เพราะยิ่งเรื่องใหญ่โตคนก็ยิ่งมาข้องเกี่ยวเยอะ และพอคนเยอะๆ มารวมกันก็อาจเกิดสภาวะ "มากคนมากความ" ตามมา ดังนั้นถ้าไม่มีผู้นำมาช่วยนำทางหรือสามารถรับมือกับสถานการณ์ด้วยสติแล้ว การแก้ปัญหาก็จะยิ่งยาก
ในหนังเราจะได้เห็นคนช่วยเหลือกัน บางคนก็ยอมเสียสละตนเองเพื่อช่วยผู้อื่น เช่น สแตน ออลเบอร์ (John Carroll Lynch) ที่ตัดสินใจแก้ไขความผิดพลาดของตน เพราะเขาเป็นคนที่ดื้อจะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งที่เอมี่พยายามเตือนแล้วว่าอย่าเพิ่งเสี่ยง และพอเกิดหายนะขึ้นมา เขาก็ยินดีสละทุกอย่างเพื่อไถ่โทษ
ในหนังเราจะได้เห็นคนทะเลาะกัน อย่างนายตำรวจ เทอร์รี่ แจสเปอร์ (James MacDonald) กับเควิน (Marcello Thedford) ที่ไม่ถูกกันทั้งเรื่องสีผิวและการแสดงออกที่พร้อมจะจิกกัดกันตลอดเวลา แต่ในที่สุดแล้วทั้งสองก็ได้ตระหนักว่าความสามัคคีคือพลังสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเอาชนะมหาลาวาพิโรธนี้ได้
ในหนังเราจะได้เห็นคนเติบโตด้วยเหตุการณ์ครั้งนี้ อย่างเคลลี่ ลูกสาวของไมค์ที่ตอนแรกเธอเป็นเพียงวัยรุ่นเล็กๆ ที่ตกใจจนแทบร้องไห้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอตระหนักว่าเธอต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ และเธอยังสามารถช่วยคนอื่นๆ ได้ด้วยการดูแลเด็กๆ ที่อายุน้อยกว่าเธอ
มีฉากง่ายๆ ฉากหนึ่งที่ผมชอบ ในตอนจบครับ หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไป เราจะได้เห็นผู้คนมากมายทั้งชายหญิง ทั้งแก่และเด็ก ยืนเรียงรายด้วยใบหน้ามอมแมมดำกรำฝุ่น จนเด็กคนหนึ่งที่กำลังมองหาแม่พูดขึ้นมาว่า "ทุกคนหน้าเหมือนกันหมดเลย"
ซึ่งมันสอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็น ชาย หญิง ดำ ขาว จีน ไทย อเมริกา เหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยในการจำแนกแยกประเภทของคนในโลก ซึ่งมีประโยชน์ในหลายประการ ขณะเดียวกันก็มีโทษหากคนนำไปใช้ในการแบ่งแยก สร้างความแตกร้าวในมวลหมู่มนุษย์ ... แล้วเราจะเลือกใช้ให้มันเกิดโทษกันไปทำไม
อีกมุมที่ผมชอบคือไอเดียการรับมือกับภัยธรรมชาติ แต่แม้เราจะพยายามกั้นมันแค่ไหน บังคับมันปานใด แต่ยังไงธรรมชาติก็มีวิถีของมัน และมันก็จะเดินไปตามวิถีของมันไม่ว่ามนุษย์จะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม มันคือธรรมชาติประการหนึ่งของธรรมชาติครับ การบังคับธรรมชาติให้เป็นไปตามที่เราต้องการอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดที่สุด แต่การเรียนรู้และรู้จักปรับตัวตามธรรมชาติ นั่นอาจจะเป็นหนทางที่จะทำให้เรากับธรรมชาติสามารถค้นพบวิถีอันพอเหมาะในการจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน
ในจุดสุดท้ายของเรื่องอาจลงเอยเหมือนกับเราได้เห็นชัยชนะของมนุษย์ที่ต่อสู้กับลาวาและจัดการรับมือมันได้ แต่จริงๆ แล้วอาจไม่มีใครชนะหรือแพ้ เพียงแค่เราค้นพบจุดที่เราก็ไม่เสียหาย ส่วนลาวาก็เจอทางออกของมัน
Volcano อาจไม่ใช่หนังที่ลึกซึ้งในเรื่องของพลังความสามัคคี ความวิจิตรของพลังธรรมชาติ หรือการวิพากษ์มนุษย์ท่ามกลางภาวะวิกฤต
Volcano คือหนังเน้นความบันเทิงง่ายๆ ที่ดูได้สนุก และเราชี้ชวนให้นึกถึงประเด็นเหล่านั้น แม้หนังจะกล่าวถึงในระดับผิวๆ ก็ตาม
แต่ถ้าเราจะคิดต่อยอดจากเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ คุณค่ามันก็เกิดต่อได้... จริงไหมครับ
และหนังเรื่องนี้ ถ้ามองให้ดีจะเห็นภาพความเป็นชาติไทยซ้อนอยู่บ้างในบางมุม
คือเป็นชาติที่ประชาชนพร้อมจะสมัครสมานสามัคคีกันเฉพาะเวลาเกิดภัยพิบัติร้ายแรงเท่านั้น
จะช่วยกันอย่างแข็งขัน ลืมข้อกินแหนงแคลงใจต่างๆไปชั่วขณะ แต่ด้วยความที่เป็นอะไรแบบไทย..ไทย.. ที่ไม่มีชนชาติในในโลกเสมอเหมือน พอไม่มีภัยพิบัติแล้ว ความ ไทย..ไทย..ของเราก็สั่งให้หันมารบราฆ่าฟันกันเองเหมือนเดิม...เจริญ จริ๊ง....ประเทศกรู
ป.ล.ช่วงนี้ผมอาจไม่สะดวกที่จะสนทนาโต้ตอบกับเพื่อนๆนะครับ เนื่องด้วยเวลามีจำกัด อย่างเมื่อวานนี้ ผมกลับมาดูดูก็เห็นหลายๆท่านกล่าวถึงผมแต่ผมไม่ได้ตอบกลับ อย่างพี่วรัชชานนท์ คุณส้ม คุณชุนเทียน ซึ่งต้องขออภัยหลายๆท่านไว้ในที่นี้ด้วยครับ รอโอกาสหน้าฟ้าใหม่ให้สุขภาพผมแข็งแรงก่อน ค่อยกลับมาเป็น ไอ้รองขี้คุยคนเดิม แล้วจะตามตอบ และตามจิกกัดเพื่อนๆตามปกตินิสัยของผมนะครับ
ขอบคุณครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ส่วนใหญ่ก็รู้ว่าเป็นวันสังหารหมู่ นิสิต นักศึกษา ในธรรมศาสตร์
เชื่อไหมว่า ในวันเดียวกันนั้น ที่ประเทศจีน ก็มีปฏิบัติการสะท้านโลก ซึ่งทำให้จีน
เป็น 1 ในมหาอำนาจของโลกในปัจจุบัน นั่นคือ "การจับแกงค์ 4 คน เจียงชิง
หวังหงเหวิน จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวน " โดยจอมพล เย่เจี้ยนอิง
(รายละเอียดจะเขียนในห้องราชดำเนิน เร็วๆนี้)
เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงขออัญเชิญ เพลงพระราชนิพนธ์ "ยูงทอง" มาให้เพื่อนๆฟัง
และนี่เป็นอีกหนึ่งเพลงของชาวธรรมศาสตร์ (นายก สมัคร ชอบร้อง)
มอญดูดาว
ป.ล กำลังทำโครงการ "ประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพื่อเก็บให้คนรุ่นหลังศึกษา"
ถือโอกาสแนะนำน้องใหม่ คนนอกกะลา ให้เพื่อนๆรู้จัก
เชื่อไหมว่า ในวันเดียวกันนั้น ที่ประเทศจีน ก็มีปฏิบัติการสะท้านโลก ซึ่งทำให้จีน
เป็น 1 ในมหาอำนาจของโลกในปัจจุบัน นั่นคือ "การจับแกงค์ 4 คน เจียงชิง
หวังหงเหวิน จางชุนเฉียว เหยาเหวินหยวน " โดยจอมพล เย่เจี้ยนอิง
(รายละเอียดจะเขียนในห้องราชดำเนิน เร็วๆนี้)
เพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงขออัญเชิญ เพลงพระราชนิพนธ์ "ยูงทอง" มาให้เพื่อนๆฟัง
และนี่เป็นอีกหนึ่งเพลงของชาวธรรมศาสตร์ (นายก สมัคร ชอบร้อง)
มอญดูดาว
ป.ล กำลังทำโครงการ "ประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพื่อเก็บให้คนรุ่นหลังศึกษา"
ถือโอกาสแนะนำน้องใหม่ คนนอกกะลา ให้เพื่อนๆรู้จัก
ความคิดเห็นที่ 21
ปี้สาวครับ...สวัสดีครีบปี้...ครับ.....!!!!
สำหรับจ่าแล้ว
หากล้านนามี "สล่า" ที่ให้ความหมายถึงผู้ชำนาญการด้านการช่างแล้ว
"จรัล มโนเพ็ชร" ก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก "สล่าแห่งเสียงเพลง" แน่ๆครัฟฟฟ
จ่าชอบคำว่าสล่าครับ
เพราะมันให้อารมณ์ในทางงานฝีมือที่ละเมียดละไม
ซึ่งเพลงของจรัลก็ให้ความรู้สึกที่ว่านี้เลย...
จรัลใบ้อคุสติคกีต้าร์เป็นอาวุธครับ
งานของเขาเป็นอคุสติคเสียเป็นส่วนใหญ่
ตั้งแต่งานในยุคต้นๆอย่าง "สาวมอเตอร์ไซด์"
ที่เป็นเพลงจีบสาวที่แสนจะน่ารักน่าหยิกซะจริงๆ
หรืองานอย่าง "พี่สาวครับ"
ที่หนุ่มๆที่ชอบสาวรุ่นพี่ต่างเอาไปร้องจีบสาวกันเป็นแถว
หรืองานอย่าง "ผักกาดจอ"
ที่บอกเล่าวัฒนธรรมการกินแบบล้านาอย่างเห็นภาพ
หรืองานอย่าง "คนสึงตึง"
ที่แสนจะนอบน้อมถ่อมตนและเจียมตัว
บ่งบอกความอ่อนโยนแบบคนชนบทซะจริงๆ
หรือจะเป็นงานอย่าง "มิดะ"
ที่กลายเป็นประเด็นทางสัมคมเลย
เมื่อชาวอาข่าออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับเพลง
และยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้มีประเพณีที่ว่านี้ในเผ่าพันธ์ของพวกเขา
ไปจนถึงงานอันแสนเศร้าอย่าง "อุ๊ยคำ"
ที่จ่าว่าเป็นรอยด่างเดียวของจรัลที่ไปลอกเพลงโฟลค์ฝรั่งมา
ในยุคหลังๆงานของจรัลเป็นอีเล็คทริคคัลมากขึ้นครับ
จ่าไม่ได้ดัดจริตนะครับ
แต่ไม่อยากเรียกมันว่า "ไฟฟ้า"
เพราะมันไม่ได้หมายถึงแค่การเปลี่ยนมาใช้กีต้าร์ไฟฟ้าในเพลง
หากแต่มันมีองค์รวมของดนตรีที่เปลี่ยนไปอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ครั้งนึง..."บ๊อบ ดีแล่น" คุณป๋าแห่งโฟล์คร็อค
ที่รู้กันเป็นอย่างดีว่าทำเพลงด้วยอคุสติคมาเนิ่นนาน
ได้เปลี่ยนไปใช้กีต้าร์ไฟฟ้าให้มามีบทบาทในอัลบั้มนึงของพี่แก
ปรากฏว่า "ป๋าบ๊อบ" โดนแฟงเพลงเก่าๆโจมตี
ว่าป๋าแกทอดทิ้งแก่นของความเป็นศิลปินอคุสติค
และพยายามเปลี่ยนตัวเองไปเป็นศิลปินที่อิง "ตลาด" มากขึ้น
งานของจรัลหลังๆก็คล้ายกันครับ
แต่....การเปลี่ยนไปของเขา
ทำให้เกิดงานดีๆขึ้นมามากมายหลายชิ้น
จ่าชอบ "บ้านบนดอย"
ที่ทำให้ผมซึ่งเคยมองว่าจรัลเป็นพวก "ฟิงเกอริ่ง สไตล์" นั้น
จริงๆแล้วโชว์ฝีมือการทำเพลงแบบคันทรี่ที่มีลูกโซโล่สวยๆได้เช่นกัน
หรือแม้แต่เพลงโคตรฮิตอย่าง "รางวัลแด่คนช่างฝัน"
ที่เป็นเพลงในระดับ "ขึ้นหิ้ง" ของจรัลไปแล้วก็ตามที
ล้วนแล้วแต่มีซาวด์แบบอีเล็คทริคคัลด้วยกันทั้งนั้นครับ
แต่หากจะแปะเพลงของเขาซักเพลงแล้วละก็
ผมขอเลือกเพลง "ขลุ่ยผิว" ครับ
เสียงร้องใสเย็นของจรัล
กับเสียงขลุ่ยจากฝีปากของ อ.ดนู ฮันตระกูล
ช่างงดงามหมดจด และ สงบนิ่ง เยือกเย็น ซะจริงๆ
อีกเวอร์ชั่นนึงเป็นของ อัสนี โชติกุล ครับ
นี่ก็ทำออกมาได้สวยงามอีกอารมณ์นึงเช่นกัน
จรัลเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
และพบศพอยู่ในห้องน้ำที่บ้านพักของเขา
เขามีลูกชายที่ชื่อว่า "ไม้" ครับ
และ คุณไม้ก็แต่งงานมีลูกชายเช่นกัน
คุณไม้ตั้งชื่อลูกชายของเขาว่า "จรัล" ตามชื่อปู่
ซึ่งนั่น....ทำให้ "จรัล มโนเพ็ชร"
ยังคงมีตัวตนอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นรูปธรรมครับ
ไม่ว่าเขาจะเป็น "จรัล มโนเพ็ชร" รุ่นปู่ หรือ รุ่นหลาน
สำหรับจ่าแล้ว....จรัลไม่ได้ตายไปไหนเลย...!!!!!!!!!!!!!
จรัลไม่ได้ตาย และ ไม่เคยตาย
จ่าพิเชษฐ์
สำหรับจ่าแล้ว
หากล้านนามี "สล่า" ที่ให้ความหมายถึงผู้ชำนาญการด้านการช่างแล้ว
"จรัล มโนเพ็ชร" ก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก "สล่าแห่งเสียงเพลง" แน่ๆครัฟฟฟ
จ่าชอบคำว่าสล่าครับ
เพราะมันให้อารมณ์ในทางงานฝีมือที่ละเมียดละไม
ซึ่งเพลงของจรัลก็ให้ความรู้สึกที่ว่านี้เลย...
จรัลใบ้อคุสติคกีต้าร์เป็นอาวุธครับ
งานของเขาเป็นอคุสติคเสียเป็นส่วนใหญ่
ตั้งแต่งานในยุคต้นๆอย่าง "สาวมอเตอร์ไซด์"
ที่เป็นเพลงจีบสาวที่แสนจะน่ารักน่าหยิกซะจริงๆ
หรืองานอย่าง "พี่สาวครับ"
ที่หนุ่มๆที่ชอบสาวรุ่นพี่ต่างเอาไปร้องจีบสาวกันเป็นแถว
หรืองานอย่าง "ผักกาดจอ"
ที่บอกเล่าวัฒนธรรมการกินแบบล้านาอย่างเห็นภาพ
หรืองานอย่าง "คนสึงตึง"
ที่แสนจะนอบน้อมถ่อมตนและเจียมตัว
บ่งบอกความอ่อนโยนแบบคนชนบทซะจริงๆ
หรือจะเป็นงานอย่าง "มิดะ"
ที่กลายเป็นประเด็นทางสัมคมเลย
เมื่อชาวอาข่าออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับเพลง
และยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้มีประเพณีที่ว่านี้ในเผ่าพันธ์ของพวกเขา
ไปจนถึงงานอันแสนเศร้าอย่าง "อุ๊ยคำ"
ที่จ่าว่าเป็นรอยด่างเดียวของจรัลที่ไปลอกเพลงโฟลค์ฝรั่งมา
ในยุคหลังๆงานของจรัลเป็นอีเล็คทริคคัลมากขึ้นครับ
จ่าไม่ได้ดัดจริตนะครับ
แต่ไม่อยากเรียกมันว่า "ไฟฟ้า"
เพราะมันไม่ได้หมายถึงแค่การเปลี่ยนมาใช้กีต้าร์ไฟฟ้าในเพลง
หากแต่มันมีองค์รวมของดนตรีที่เปลี่ยนไปอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ครั้งนึง..."บ๊อบ ดีแล่น" คุณป๋าแห่งโฟล์คร็อค
ที่รู้กันเป็นอย่างดีว่าทำเพลงด้วยอคุสติคมาเนิ่นนาน
ได้เปลี่ยนไปใช้กีต้าร์ไฟฟ้าให้มามีบทบาทในอัลบั้มนึงของพี่แก
ปรากฏว่า "ป๋าบ๊อบ" โดนแฟงเพลงเก่าๆโจมตี
ว่าป๋าแกทอดทิ้งแก่นของความเป็นศิลปินอคุสติค
และพยายามเปลี่ยนตัวเองไปเป็นศิลปินที่อิง "ตลาด" มากขึ้น
งานของจรัลหลังๆก็คล้ายกันครับ
แต่....การเปลี่ยนไปของเขา
ทำให้เกิดงานดีๆขึ้นมามากมายหลายชิ้น
จ่าชอบ "บ้านบนดอย"
ที่ทำให้ผมซึ่งเคยมองว่าจรัลเป็นพวก "ฟิงเกอริ่ง สไตล์" นั้น
จริงๆแล้วโชว์ฝีมือการทำเพลงแบบคันทรี่ที่มีลูกโซโล่สวยๆได้เช่นกัน
หรือแม้แต่เพลงโคตรฮิตอย่าง "รางวัลแด่คนช่างฝัน"
ที่เป็นเพลงในระดับ "ขึ้นหิ้ง" ของจรัลไปแล้วก็ตามที
ล้วนแล้วแต่มีซาวด์แบบอีเล็คทริคคัลด้วยกันทั้งนั้นครับ
แต่หากจะแปะเพลงของเขาซักเพลงแล้วละก็
ผมขอเลือกเพลง "ขลุ่ยผิว" ครับ
เสียงร้องใสเย็นของจรัล
กับเสียงขลุ่ยจากฝีปากของ อ.ดนู ฮันตระกูล
ช่างงดงามหมดจด และ สงบนิ่ง เยือกเย็น ซะจริงๆ
อีกเวอร์ชั่นนึงเป็นของ อัสนี โชติกุล ครับ
นี่ก็ทำออกมาได้สวยงามอีกอารมณ์นึงเช่นกัน
จรัลเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
และพบศพอยู่ในห้องน้ำที่บ้านพักของเขา
เขามีลูกชายที่ชื่อว่า "ไม้" ครับ
และ คุณไม้ก็แต่งงานมีลูกชายเช่นกัน
คุณไม้ตั้งชื่อลูกชายของเขาว่า "จรัล" ตามชื่อปู่
ซึ่งนั่น....ทำให้ "จรัล มโนเพ็ชร"
ยังคงมีตัวตนอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นรูปธรรมครับ
ไม่ว่าเขาจะเป็น "จรัล มโนเพ็ชร" รุ่นปู่ หรือ รุ่นหลาน
สำหรับจ่าแล้ว....จรัลไม่ได้ตายไปไหนเลย...!!!!!!!!!!!!!
จรัลไม่ได้ตาย และ ไม่เคยตาย
จ่าพิเชษฐ์
ความคิดเห็นที่ 2
สวัสดีค่ะพี่ๆทุกท่าน
สุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์ (Sud-Swing Ringo Eto Bump) Dom ft. Da [Official MV]
ขำขำ ค่ะ !!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขำกลิ้ง เกียน กับ หมา
เกียนกับหมา ซึ่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านแห่งหนึ่ง
เกียน : ดูไอ่อ้วนโต๊ะข้างๆสิหมา มันกินเส้นก๋วยเตี๋ยวทางจมูกหรือไง ยื่นออกมาดำเชียว
หมา : ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากินตอบว่า " ขนจมูก มั้ง "
เกียน : แล้วดูไอ่ที่นั่งกินอยู่กับมันสิ เป็นผู้ใหญ่ซะป่าวกินมูมมาม จนบ่าเปรอะเปื้อนไปหมดแระ
... หมาเลยหยุดกินแล้วหันมองตามไป !!! ...
หมา : นั่นมันกระจก ... #@%$#@%#@% ...!!!
เกียน :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดสวิงริงโก้อีโต้บั๊มพ์ (Sud-Swing Ringo Eto Bump) Dom ft. Da [Official MV]
ขำขำ ค่ะ !!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขำกลิ้ง เกียน กับ หมา
เกียนกับหมา ซึ่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านแห่งหนึ่ง
เกียน : ดูไอ่อ้วนโต๊ะข้างๆสิหมา มันกินเส้นก๋วยเตี๋ยวทางจมูกหรือไง ยื่นออกมาดำเชียว
หมา : ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากินตอบว่า " ขนจมูก มั้ง "
เกียน : แล้วดูไอ่ที่นั่งกินอยู่กับมันสิ เป็นผู้ใหญ่ซะป่าวกินมูมมาม จนบ่าเปรอะเปื้อนไปหมดแระ
... หมาเลยหยุดกินแล้วหันมองตามไป !!! ...
หมา : นั่นมันกระจก ... #@%$#@%#@% ...!!!
เกียน :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นที่ 30
แจมด้วยเพลงจาก Exact อีกครับ คุณปนัดดา ในเพลง
"..แค่มีเธอ.."
เป็นแค่คนหนึ่ง ในโลกใบเก่า
ชีวิตช่างเงียบเหงา
ไม่เคยได้เห็น ความจริง
มีพร้อมทุกอย่าง และมีในทุกสิ่ง
อยากบอกว่าความจริง ฉันเดียวดาย
เธอนั้นก็อยู่ ในโลกใบหนึ่ง
ที่ฉันเอื้อมไม่ถึง
และยังไม่เคย ได้เข้าใจ
เธอเหมือนลมผ่าน ผ่านมาในหัวใจ
แต่งเติมชีวิตฉัน ให้สดใส
แค่เพียงได้พบเธอ
แค่เพียงได้รักเธอ
อยากอยู่กับเธอ ตลอดไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แจมด้วยภาพน่ารักของหนุ่มสาวที่จัตตุรัสน้ำพุแห่งหนึ่ง ยามสนธยาครับ
"..แค่มีเธอ.."
เป็นแค่คนหนึ่ง ในโลกใบเก่า
ชีวิตช่างเงียบเหงา
ไม่เคยได้เห็น ความจริง
มีพร้อมทุกอย่าง และมีในทุกสิ่ง
อยากบอกว่าความจริง ฉันเดียวดาย
เธอนั้นก็อยู่ ในโลกใบหนึ่ง
ที่ฉันเอื้อมไม่ถึง
และยังไม่เคย ได้เข้าใจ
เธอเหมือนลมผ่าน ผ่านมาในหัวใจ
แต่งเติมชีวิตฉัน ให้สดใส
แค่เพียงได้พบเธอ
แค่เพียงได้รักเธอ
อยากอยู่กับเธอ ตลอดไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แจมด้วยภาพน่ารักของหนุ่มสาวที่จัตตุรัสน้ำพุแห่งหนึ่ง ยามสนธยาครับ
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม.......มีแต่เสียง 6/10/2015.../sao..เหลือ..noi
กระทู้นี้ เป็นมุมพักผ่อน มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม.........แต่มีเสียง...................
MC sao..เหลือ..noi รับหน้าที่
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกัน
แล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
วันนี้ขอเสนอ "ศิลปินแห่งชาติ" อีกท่านหนึ่งค่ะ
เพ็ญศรี พุ่มชูศรี (17 มิถุนายน พ.ศ. 2472—14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550)
หรือชื่อเดิม ผ่องศรี พุ่มชูศรี รู้จักกันในชื่อเล่น ป้าโจ๊ว เป็นนักร้อง และครูสอนขับร้อง
เพลงไทยสากล เป็นนักร้องประจำวงดนตรีกรมโฆษณาการ หรือสุนทราภรณ์ ได้รับ
การคัดเลือกให้ขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่
ครั้งแรกที่มีการบันทึกแผ่นเสียง ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ
สาขาศิลปะการแสดง (เพลงไทยสากล-ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2534
ปี พ.ศ. 2495 เพื่อเข้าร่วมงานกับละครคณะชุมนุมศิลปิน ซึ่งเป็นคณะละครเวทีของรพีพร
หรือชื่อจริงคือคุณสุวัฒน์ วรดิลก รับหน้าที่ทั้งร้องเพลงประกอบและร่วมแสดง ในเวลาต่อมา
ได้เกิดความรักกับคุณสุวัฒน์ และสมรสกัน .... เมื่อคุณสุวัฒน์ นำคณะศิลปินไทย เดินทาง
ไปแสดงที่ประเทศจีน ขณะที่รัฐบาลไทยมีนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ประจวบกับ
เดินทางกลับมาในช่วงที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการปฏิวัติล้มอำนาจ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่งผลให้ทั้ง 2 ท่าน ถูกจับกุมคุมขังเป็นเวลา 4 ปี
"งิ้วแดง" ต้นไม้ที่มีหนาม ค่ะ
หนาม ....
หนามชีวิต - เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
https://www.youtube.com/watch?v=R-CWJH3EPf0
คำร้อง : ชาลี อินทรวิจิตร
ทำนอง : สมาน กาญจนะผลิน
บันทึกเสียง ปี 2505
"...คุณเพ็ญศรี ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำลหุโทษ เช้าวันที่ 12 มกราคม 2504 ภายหลังการ
จองจำครั้งที่สอง เป็นเวลาสองปีเศษ ดูเหมือนว่า ชีวิตคุณเพ็ญศรี จะมีงานรออยู่นับแต่นาทีแรก
ที่ก้าวเท้าออกจากเรือนจำ เพราะ คุณถาวร สุวรรณ และ คุณปรีชา พิบูลย์เวช สองนักจัดรายการวิทยุ
เจ้าของละคร สุปรีดา ขับรถไปรอเธออยู่หน้าเรือนจำ คุณถาวร สุวรรณ และ คุณปรีชา พิบูลย์เวช
รับคุณเพ็ญศรี ไปอัดเสียงที่ช่อง 4 บางขุนพรหมทันที เพื่อที่จะอัด เพลงหนามชีวิต ที่ คุณชาลี อินทรวิจิตร
และ คุณสมาน กาญจนะผลิน แต่งเนื้อร้องและทำนอง เพื่อใช้เป็นเพลงประกอบ ละคร เรื่องหนามชีวิต
ของ คณะสุปรีดา ที่จะออกอากาศทางสถานีวิทยุ ท.ท.ท." จาก หนังสือชีวิตเหมือนละคร 50 ปี เพ็ญศรี รพีพร
ผลงานของ ไพลิน รุ้งรัตน์
กราบขอบพระคุณข้อมูลจาก "ชาลี อินทรวิจิตร" : หนามชีวิต เพลงเพื่อ "เพ็ญศรี-สุวัฒน์"
ต้นไทรย้อยใบแหลม
ม่านไทรย้อย-เพ็ญศรี พุ่มชูศรี
https://www.youtube.com/watch?v=q1Z1lD3_9Qg
เพลงม่านไทรย้อย เป็นเพลงที่ดัดแปลงทำนองมาจากไวโอลินคอนแชร์โต
ในบันไดเสียง ดี เมเจอร์ ของปีเตอร์ ไชคอฟสกี้ โดยสุทิน เทศารักษ์นำ
ทำนองหลักมาจากมูฟเมนต์ที่ 1 Allegro moderato (D major)
ประพันธ์คำร้องภาษาไทยโดยไสล ไกรเลิศ ขับร้องโดยเพ็ญศรี พุ่มชูศรี
เมื่อ พ.ศ. 2495
คุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 สำหรับศพ
ของคุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี และคุณสุวัฒน์ วรดิลก สามี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน
ในการพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550
ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร
ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย