The Martian : สิ่งที่คนดูหนังจะไม่รู้เหมือนคนที่อ่านหนังสือ (สปอยแน่ๆ)



หลังจากได้ดู The Martian ไปเมื่อวานนี้ จากใจแฟนนิยายเดนตายที่ตามลุ้นและเอาใจช่วยการช่วยเหลือ Botanist นาม Mark Watney แบบหัวใจจะวายกันไปข้างหนึ่งตอนอ่านหนังสือ บอกเลยครับว่าหนังตัดเรื่องราวของหนังสือออกไปประมาณ 30% ได้ โดยรายละเอียดที่เปลี่ยนไปมีประมาณนี้ครับ



หนังเปลี่ยนนิสัยของตัวละครตัวจี๊ดที่ผมชอบมากๆ อย่าง Annie - หัวหน้ากองโฆษกสาวประจำ NASA ที่เป็นตัวจี๊ดขั้นเทพเลยในหนังสือ เพราะแกเปรี้ยวและห่ามมาก พูดแต่ละประโยคออกมานี่คือฮาทุกบรรทัด กัดจิกคนอื่นสุดชีวิต (เช่น หากจำได้ในหนังตอนที่พูดถึง Council of Elrond จาก Lord of the Rings นั้น Annie จะกระแนะกระแหนผู้ชายทั้งห้องในความเนิร์ดของทุกคนประมาณว่าฉันกล้าพนันเลยว่าพวกคุณทุกคนจบ ม.ปลาย มาได้โดยไม่เคยได้กินสาวที่ไหนเลยสักคน) และ Mitch ผู้ดูแล Ares 3 และลูกเรืออย่างแท้จริงที่จริงๆ แล้วเป็นคนดื้อมาก แต่ในความดื้อรั้นก็แฝงไว้ด้วยแผนการที่แยบยลจน Teddy ยังต้องยอม และไม่สามารถสลัดแกออกจากเก้าอี้ได้เหมือนในหนังตอนที่แกแอบหาช่องทางสื่อสารไปบอกลูกเรือ Hermes ว่าพวกเขาสามารถช่วย Watney ให้รอดตายได้หากเปลี่ยนแผนการเดินทางนิดหน่อยเพื่อกดดัน NASA ซึ่งแผนที่แกวางไว้ (มาเผยตอนหลังที่ Teddy เรียกมาคุยด้วยแล้ว ในฉากที่ในหนังเป็น Teddy ขอปลดแกหลังจากจบภารกิจนั่นล่ะครับ) มันเป็นการผูกมัด Teddy ไว้หมดเลยให้ทั้งเด้งแกก็ไม่ได้ หรือจะไปเอาผิดลูกเรือ Hermes คนอื่นๆ ก็ไม่ใช่ที่นัก



นอกจากเรื่องนิสัยของ 2 ตัวนี้แล้ว หนังตัดอุปสรรค์ของ Watney ออกไปสองจุดใหญ่ๆ ครับ โดยจริงๆ แล้ว Mark ต้องเผลอทำ Pathfinder พังตอนเจาะหลังคา Rover ตามคำแนะนำของ NASA เพราะความสะเพร่าของตัวเอง ทำให้ช่วงหลังก่อนออกเดินทางไป Ares 4 นั้นพี่แกไม่สามารถติดต่อกับ NASA ได้สะดวกนัก และต้องหาทางโมดิฟาย Rover เพื่อไปให้ถึง Ares 4 ด้วยตัวเอง โดยกลับมาใช้วิธีติดต่อกับ NASA ผ่านทาง Morse Code เหมือนเดิม ส่งผลให้ Mindy ที่ตอนนั้นถูกลดตำแหน่งชั่วคราวให้มาเป็นคนนั่งเฝ้าดู Mark อย่างเดียวเป็นกรณีพิเศษเพราะทำมาตั้งแต่ต้นต้องมาเริ่มหัดเรียนรู้ Morse Code เพื่อการถอดความรหัสที่ Mark ส่งมาให้ได้ไวยิ่งขึ้น



และตอนที่ Mark ออกเดินทางไป Ares 4 จริงๆ แล้ว Mark จะต้องวางแผนการเดินทางของตัวเองอย่างรอบคอบมากๆ ก่อน โดยตัดสินใจเลือกใช้เส้นทางที่อดีตเคยเป็นเส้นทางน้ำบนดาวอังคาร เพราะพื้นดินมันเรียบกว่าเส้นทางปกติในการเดินทางไป Ares 4 แน่ๆ แต่เส้นทางนั้นจะสามารถเดินทางไปได้แค่ 1000 กว่าๆ กิโลเท่านั้นก่อนที่จะต้องกลับขึ้นสู่ทางขรุขระขึ้นโคกลงเนินเหมือนเดิมอีกพันกว่ากิโลเพื่อเดินทางไปยัง Ares 4 ทั้งนี้ในระหว่างการเดินทางไปยัง Ares 4 นั้น Mark ต้องพบกับพายุทรายบนดาวอังคารอีกครั้ง (ในหนังไม่มีพูดถึงเลย) ซึ่งถึงตอนนี้ NASA ที่ดูกล้องอยู่บนโลกเห็นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่สามารถแจ้งไปให้ Mark ทราบได้เพราะ Pathfinder ซึ่งเป็นวิธีการติดต่อสื่อสารจากทางโลกไปยังดาวอังคารนั้นพังแล้ว ทำให้ Mark ต้องไปผจญชะตากรรมพายุทรายบนดาวอังคารด้วยตัวเองอีกครั้ง



ทีนี้พายุทรายมันส่งผลอะไรกับ Mark Watney น่ะเหรอครับ สิ่งที่มันส่งผลก็คือทำให้ความเข้มของแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาให้แผง Solar Cell ที่ใช้ขับเคลื่อน Rover มันลดลง ทำให้ Mark ไม่สามารถชาร์ตแบตเตอร์รี่ได้เต็มตามเวลาปกติที่คำนวนไว้เพื่อให้ไปถึง Ares 4 ได้ทันเวลาโมดิฟาย Ares 4 ก่อนที่ Hermes จะ Flyby ผ่านไป แต่ทั้งนี้พายุทรายบนดาวอังคาร ตามสภาพความเป็นจริงแล้วจะสังเกตเห็นได้ไม่ชัดนักหากอยู่แถวๆ ปลายพายุ เพราะสิ่งเดียวที่บอกได้คือความเข้มข้นของแสงอาทิตย์ที่จะค่อยๆ ลดลงในระดับที่ดวงตามนุษย์รับรู้ไม่ได้ครับ เลยเป็นเหตุให้ Vincent Kapoor และคนอื่นๆ บนโลกถึงกับกุมขมับและรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์อย่างจริงๆ จังๆ ก็คราวนี้ที่ได้แต่ดู Mark อยู่ในระยะห่างๆ โดยไม่สามารถเตือนอะไร Mark ได้เลย



แต่ด้วยความฉลาดของ Mark Watney เขาเริ่มสังเกตว่าทำไมแผง Solar Cell ของเขาเริ่มชาร์ตได้ไม่เต็ม ตอนแรกคิดว่าคงเพราะเดินทางมานานแผง Solar เลยอาจะเสื่อมบ้าง แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็เริ่มเห็นว่า % การลดลงของมันเป็นไปอย่างเรื่อยๆ และต่อเนื่อง เขาก็เลยวิ่งขึ้นไปบนยอดเนินหนึ่งในดาวอังคาร (ในนิยายจะมีชื่อเนินแต่ละเนินอยู่) และเริ่มสังเกตเห็นพายุ ทำให้เขาต้องเริ่มหาวิธีเอาตัวรอด ซึ่งเต็มไปด้วยการคิดวิเคราะห์ที่สมจริงและและหลักการ ประยุกต์เอาทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมาใช้ประโยชน์เพื่อหาความเร็วและทิศทางของพายุที่กำลังเคลื่อนที่จนทราบว่าตัวเองต้องเดินทางต่อไปทางไหนเพื่อหลบออกจากพายุ และมีเวลาเหลือกี่ Sol ที่หากทำไม่สำเร็จแล้วเขาจะต้องตายบนดาวอังคาร นำพามาซึ่งความระทึกใจของคนอ่านกันอย่างต่อเนื่องเลย (ขออนุญาตไม่กล่าวรายละเอียด เดี๋ยวจะยาวครับ ใครยังไม่ได้อ่านลองไปหามาอ่านกันดูได้นะครับ สนุกมากกกกกกก ล่าสุดเหมือนผมจะเห็นเล่มแปลไทยแล้วด้วย สะดวกสำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านภาษาอังกฤษครับ แต่ไม่แน่ใจว่าแปลออกมาดีไหม)



ในที่สุด Mark Watney ก็หนีจากพายุทรายออกมาได้ครับ เขาเลยกลับสู่เป้าหมายที่จะมุ่งหน้าไปยัง Ares 4 ต่อ ซึ่งตอนนี้เขาช้ากว่าเป้ามาพอประมาณแล้ว การเดินทางก็ไม่ได้มีอะไรติดขัด มีเนินให้ขึ้นลงบ้างแต่เขาก็ทำด้วยความระมัดระวังตลอด ในระหว่างนั้นก่อนที่จะถึง Ares 4 ก็มีเรื่องให้ Mark ต้องตัดสินใจอีกหน ซึ่งเขาบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยั่วเย้ามาก เพราะหากเขาออกนอกเส้นทางไปไม่กี่ Sol เขาก็จะไปถึงตำแหน่งของวิทยุสื่อสารที่สามารถสื่อสารกลับมายังโลกได้อีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจไม่วอกแวก เพราะอีกเพียงแค่ 11 Sol (ถ้าจำไม่ผิด) เขาก็จะถึง Ares 4 ตามเป้าหมาย และจะได้เครื่องมือสื่อสารตัวใหม่ที่สามารถสื่อสารกลับไปยังโลกได้อยู่ดี เขาเลยเดินทางต่อไป

แต่ทีนี้ตอนใกล้จะถึง Ares 4 แล้ว รถ Rover และ Trailer ของเขาก็ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำตกลงมาจากเนินเขาบนดาวอังคารอีก (ลุ้นกันอีกละคนอ่าน เหนื่อยมากทั้งเรื่องจริงๆ) โดย NASA ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างก็ใจหายและรอดูความเคลื่อนไหวจาก Mark เพื่อเป็นสัญญาณว่าพ่อ Botanist ดวงแข็งคนนี้จะยังไม่ตาย ซึ่งก็ตามคาด ยังไม่ตายจริงๆ และแน่นอนว่าคนอ่านก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ตาย (เพราะหนังสือยังเหลืออีกเกือบๆ 100 หน้า) แต่ที่สนุกคือวิธีการแก้ปัญหาของ Mark ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถเดินทางไปถึง Ares 4 ได้สำเร็จตามในหนัง และเขาก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการโมดิฟาย Ares 4 ให้พร้อมบินขึ้นได้สูงกว่าที่ควรเป็นตามคำแนะนำของ NASA (ที่กลับมาติดต่อได้อีกครั้งจากเครื่องมือสื่อสารของ Ares 4)



ตัดมาที่ฉากช่วยเหลือ Mark Watney จริงๆ แล้วในนิยายจะไม่มีการเปลี่ยนแผนเรื่องคนที่กระโดดไปช่วยเหลือเหมือนในหนัง (ในหนังที่ทำแบบนั้นคาดว่าเพื่อให้คนดูรู้สึกอินและรู้สึกถึงการเสียสละของ Lewis) โดยในนิยายนั้นจะสมจริงกว่าตรงที่งานระดับช่วยชีวิตบนอวกาศนั้นต้องผ่านการวางแผนมาอย่างดีและคงไม่สามารถเปลี่ยนตัวกันกระทันหันแบบนั้นได้ (และที่สำคัญ Lewis คงสละยานไม่ได้เพราะเธอเป็นคนคอยสั่งการทั้งหมด ถ้าไม่มีกัปตัน Martinez หรือคนอื่นๆ ก็จะไม่มีคำสั่งให้ทำตาม) ดังนั้นแผนการดึงร่าง Mark Watney กลับเข้ายานจึงเป็นหน้าที่ของหมอ Beck ที่จะเป็นคนโรยตัวลงไป โดยมี Vogel (ลูกเรือสัญชาติเยอรมัน) เป็นคนคอยควบคุมเชือกและคอยเป็นแบ็คอัพลงไปช่วย Beck อีกทีหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าก็เกิดปัญหาต่างๆ นาๆ ขึ้นมาตามที่เห็นในหนัง รวมทั้งการที่ Vogel ต้องไปทำระเบิดเฉพาะกิจเพื่อสร้างแรงส่งให้กับ Hermes ด้วย แต่จริงๆ แล้วในหนังสือจะละเอียดกว่านั้นมาก เพราะ Vogel รอบคอบมากและรู้ดีว่าระเบิดแรงมหาศาลขนาดนั้น เขาจำเป็นต้องใส่มันไว้ในอะไรสักอย่างที่สามารถกันแรงระเบิดไม่ให้มันทำลายส่วนอื่นของยานได้ และเขามีเวลาทำทั้งหมดนี้เพียงแค่สามสิบกว่านาทีเท่านั้น

ก่อนหน้านี้หมอ Beck ได้เคยคุยกับ Lewis แล้วว่าหากเชือกที่โรยตัวเขาลงไปรับ Mark มันไปไม่ถึง ให้ตัดเชือกเขาเลย ยังไงเขาก็มีไอ้เครื่องไอพ่นเจ็ต (ที่ Lewis ใส่ในหนัง) นั่นอยู่แล้ว เขาสามารถบินกลับมาที่ยานได้ แต่ Lewis ไม่ยอมเพราะเสี่ยงเกินไป พอถึงเวลาที่ Beck อยู่กับ Vogel เพียงสองคนที่ปลายยาน Beck จึงขอ Vogel อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า Vogel ก็กำชับกับ Beck ว่านั่นมันขัดคำสั่งของผู้การ Beck เลยบอกว่าเขาเองก็รู้ว่า Vogel ต้องพูดแบบนั้น แต่พอถึงเวลาจริง อยากให้ Vogel พิจารณาและทำในสิ่งที่ต้องทำ และเมื่อถึงเวลา Beck ก็โรยตัวลงไปช่วย Mark ตามแผน โดยมี Johansen คอยขานเวลาให้ และมี Vogel คอยแจ้งว่าเชือกยังลงไปได้อีกแค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าคนอ่านลุ้นกันฉี่เหนียวอีกตามเคย แต่ท้ายที่สุดแล้ว Beck ก็สามารถช่วยเหลือ Mark ขึ้นมาบนยานได้โดยไม่ต้องตัดเชือก และ Mark เองก็ไม่ต้องตัดถึงมือเป็น Iron Man แต่อย่างใด (แม้ในหนังสือจะมีพูดถึงแผนการนี้ของ Mark เหมือนในหนังก็ตาม)



ในหนังสือนั้นจะจบลงตรงที่สามารถช่วย Mark ขึ้นมาบนยานได้ และ Mark ได้พบกับเพื่อนๆ อีกครั้งนี่ล่ะครับ (ไม่มีบทสรุปสวยหรูของแต่ละคนเหมือนในหนัง) แต่คำพูดทิ้งท้ายของ Mark นั้นประทับใจผมมากจนเคยโพสไว้ครั้งหนึ่งใน FB ของตัวเอง ซึ่งโดยส่วนตัวผมแล้วแอบเสียดายมากที่หนังตัดประโยคนี้ออกไป ซึ่งเป็นประโยคที่สรุปการกระทำของทุกตัวละครได้ดีมากๆ เลยครับ (รวมถึงการกระทำของ Teddy ช่วงหนึ่งด้วยที่คิดถึงชีวิตของลูกเรือทั้ง 5 คนจนลืมนึกถึง Mark แม้ว่าจะถูกคนอื่นๆ มองว่าขี้ขลาดก็ตาม) จริงๆ เอาไปใส่เป็นประโยคสุดท้ายตอนที่ Mark สอนเด็กๆ ในหนังก้ได้  โดย Mark Watney พูดว่า

"...human being has a basic instinct to help each other out. It might not seem that way sometimes, but it's true...'

แปลเป็นไทยแบบบ้านๆ ตามภาษาผมก็คงประมาณ

"...มนุษย์ปุถุชนมีสัญชาตญาณพื้นฐานคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้บางครั้งมันอาจจะดูไม่ใช่แบบนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่มันก็คือความจริง..."
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่