วันที่ 6
นั่งรถตะลุยหน้าผาไป Lamayuru ชมวัดธิเบต ตอบปฏิเสธแกงค์ป้าไถเงิน เพลิดเพลินแม่น้ำสองสี ยินดีที่ยังมีชีวิตรอด
เส้นทางวันนี้จะพาออกจาก Leh ไปเมืองหลายสถูปหนึ่งจุดหมายที่เค้านิยมไปกัน Lamayulu ผ่าน เนินเขาแม่เหล็กในตำนาน แม่น้ำสองสี เมืองalchi ที่ทั้งเมืองเป็นอาศรมพระธิเบต ดินแดนผิวพระจันทร์ และเทือกเขาที่อันตรายสุดกู่ ถ้าพร้อมแล้วไปเที่ยวพร้อมๆกันค่ะ
กระทู้นี้เป็นส่วนหนึ่ง ของ ซีรีส์ เดินทางโดยรถจาก เดลี ไปถึง เลห์ ผ่าน Manali-Leh Highway
ของตุ๊ดตัวเล็กๆและผู้ชายทั้งสี่ของนาง
สามารถติดตามกระทู้หลักได้ที่ข้างล่างนี้เลยค่ะ เกร๋ๆ
http://ppantip.com/topic/34208002
อ้อฝากเพจใหม่ของอิชั้นด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/armmiethegypsyprincess/
เมื่อวานตามแผนเราไปอีกวัดนึง แต่ไปอ่านเจอ Lamayulu เมืองที่มีวิหาร สถูป พุทธเรียงรายกลางหน้าผา ฝรั่งในเวปบอกว่า “พวกหร่อนต้องไปให้ได้” เออก็ด่ะ พวกเราจะไปกัน
แต่ทางมันไกลโข ต้องรีบออกแต่เช้า คนขับนักซิ่งของเราเป็นคนเดิม เนื่องจากพวกเรามีแผนไป Nubra Valley และก็ Pangkong Lake ในวันต่อไป เนื่องจากสองสถานที่นี้เป็น resticted area ต้องลงทะเบียน ทำ permission เหมือนตอนที่เราข้ามเขตมาเลห์นั่นแหละ มันจำกัดจำนวนวันนะ เป็นการเชคว่า เข้าไปแล้วกลับออกมาครบรึเปล่า จะไปเลยไม่ได้
ซึ่งเห็นว่าสามารถลงทะเบียนในเวปไซต์ และเสียค่าธรรมเนียมคนละ 500รูปี แต่พวกเราใช้วิธีฝากกับบริษัท ที่เราจ้างรถ ถ้าใครลุยเดี่ยวมาแนะนำให้ถามโรงแรมที่พัก ว่าทำอย่างไร
วันนี้บรรยากาศอึมครึม เค้าว่า ทางไป LamayaLu ใช้เวลาไปประมาณ 3ชั่วโมง ระหว่างทางเราเลยแวะสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆตามรายทาง ที่แรก Spituk Monastery เป็นวัดพุทธมหายานอีกวัดหนึ่ง จุดเด่นของวัดนี้ คือ ไม่มี มันคล้ายๆกับวัดอื่นๆนั่นแหละ แต่ไล่ระดับเป็นชั้นๆ สะเปะสะปะ ไม่มีรูปแบบ ขึ้นไปเรื่อย พวกเราตื่นเต้นกับการหาทางเดิน ว่าจะเดินไปต่อตรงช่องประตูไหน อาคารด้านบนจะเป็นโบถส์ เก็บค่าเข้า เหมือนกัน แถมถ้าจะเดิน ขึ้นไปชั้นสูงๆจะมีลามะ มาเก็ยค่าเข้าเพิ่ม พวกเราอึดอัดกับการเก็บยิบย่อยอย่างนี้ เลยหยุดมาดูวิวแทน
ทางเข้า สปิ๊ตุ๊ก ค่าเป็นศิลปะแบบธิเบต แต่วัดนี้ดูใหม่
ด้านบนของสปิ๊ตุ๊กค่ะ ที่วัดนี้เป็นหลายชั้น เดินขึ้นไปจะมีจุดแวะต่างๆ
ที่วัดจะมีลานกว้างๆเอาไว้ให้ลามะ มาถกหัวข้อธรรมกัน
วิวที่นี้จะเห็นติดกับแม่น้ำ มีบ้านสวนเกษตร เขียวขจี (เพราะอยู่ฝั่งนาบู) ได้เห็นแม้น้ำ Indus ทีเทาทะมึนตัดกับ ทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวิวสนามบินเลห์กว้างใหญ่ ที่เครื่องบินบินขึ้นลงทุกสิบห้านาที
ด้านข้าง ของสปิ๊ตุ๊ก จะเห็นสนามบินเลห์ วับๆ
จุดชมวิว ที่สปิ๊ตุ๊ก มีเพื่อนๆชมวิวกันเยอะเลยค่ะ นิดนึงเกี่ยวกับหมาที่เลห์ หมาที่นี่ไม่ค่อยไล่หรือเห่านะคะ เหมือนมันถูกปฏิบัติเป็นสัตว์ชั้นสอง และออกซิเจนน้อยด้วยมั้ง มันเลยดูสุภาพ
วิวแม่น้ำ Indus เป็นสีไมโล เพราะไหลผ่านทะเลทรายมา
จุดต่อไปที่แวะพักคือสถานที่ ที่เรียกว่า Magnetic Hill เป็นถนนที่ตัดผ่านภูเขาเฉยๆ ดูไม่มีอะไร แต่คนขับรถของเราบอกว่าที่นี่มีปรากฎกาณ์ทางแม่เหล็กอะไรซักอย่าง ซึ่งเค้าพยายามอธิบายแต่พวกเราไม่เข้าใจ เดาว่าจุดนี้น่าจะมีแร่ธาตุที่ใช้เดินทางข้ามอวกาศ หรือ ท่าอวกาศยานของเอเลี่ยน กระมัง
ปล.ที่นี่มีร้านอาหารเล็กๆ ที่ชื่อว่า Megneto restaurant ด้วยนะเออ
ที่แมคเนติค ฮิล วิวเป็นภูเขา หลายสีขนาดใหญ่ มีถนน Highway ตัดผ่ากลาง นั่น หนุ่ม ป.ของเรากำลังยืนนับก้อนหินอยู่
มาถึงนี่แล้วก็ต้องโพสท่าสักหน่อย นี่กำลังวางตัวแนวเดียวกับกกระแสแม่เหล็กโลก เผื่อจะลอยขึ้นเหมือนในหนัง
นั่นร้านอาหารที่ชื่อว่า Megneto Hotel and Restaurant ค่ะ แต่ดูท่า น่าจะเจ๊งแล้ว ก็นะ ที่เวิ้งว้าง ว่างเปล่าขนาดนั้น
ป่ะ ไปกันต่อค่ะ หนทางยังอีกยาวไกลมากๆๆๆๆๆๆๆๆ
ต่อไปเราก็มาถึงสถานที่ที่เรียกว่า แม่น้ำสองสี เป็นจุดเชื่อมระหว่างแม่น้ำ Indus สีแดงงไมโล ที่ไหลมาจากทะเลทราย และแม่น้ำ Zanskar สีใสกว่าที่ไหลมาจากภูเขา มันก็ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าแม่น้ำสองสี แต่ไม่รู้สิพวกเรายืนชมมันที่จุดนี้เนิ่นนาน พลางคิดว่า มันไหลมาจากไหน มันจะไหลไปไหนต่อ และคนที่อยู่ปลายน้ำจะเห็นเป็นสีอะไร ปลาที่อยู่แต่ละแม่น้ำจะต้องปรับตัวอะไรไหม แล้ว...... (พอแล้ว เริ่มเยอะ )
จุดชมวิวแม่น้ำสองสีค่ะ Indus สีแดงไมโล Zanskar สีใสๆทึบๆ
เราแวะที่เมือง Alchi เป็นเมืองเล็กๆข้างแม่น้ำ Indus ที่มีอาศรมของพระทิเบตอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเมืองหนึ่ง มีแผงขายของที่ระลึกเป็นแนวยาว เมื่อดินผ่านตรอกเล็กๆของร้านรวง จะเข้าสู่เขตสงบของวัดทิเบต มีอารามและ โบถส์จำนวนมากมาย และมีคนเก็บเงินก่อนเข้าอีกเช่นเคย ทางเดินมีกงล้อมนต์สีทองเรียงเป็นทางยาว ให้อารมณ์เหมือนวัดโพธิ์ที่สงบ แคบ และเย็นสบายกว่า
ด้านหลังเมืองจะเห็นหน้าผาสีน้ำตาลตระง่านและผืนน้ำ indus สีไมโลไหลเชี่ยว เป็นเมืองที่สงบเงียบเหมาะกับการนั่งสมาธิ นักบวชมาที่นี่คงชอบ
อ้อ ขอแนะนำให้ซื้อของที่ระลึกที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นกงล้อมนต์ หรือครกสวดมนต์ เพราะที่นี่จะถูกกว่าในเลห์หลายเดลีทีเดียว เช่น กงล้อมนต์ขนาดกลาง ที่นี่ขาย 700 ในเลห์ต่อแล้วต่ออีกขาย 1200 แถมงานประณีตและสีสันสวยงามกว่า
ทางเข้าเมือง Alchi ค่ะเป็นตรอกแคบๆ มีร้านรวงมากมายตั้งแผงขายของที่ระลึก
เดินเข้าไปตามทางๆเดินแคบๆจะเข้าไปในเขตวัด
ด้านในเหมือนเป็นกุฏิเล็กๆอยู่เต็ม บรรยากาศ ร่มรื่นทีเดียว
ประดับประดาด้วยธงมนต์ เต็มไปหมด ดูไปแล้วก็เหมือน งานปีใหม่แถวบ้าน
นี่เป็นอารามหลักค่ะ ด้านในห้ามถ่ายรูป แต่เป็นห้องมืดๆ มีเจาะช่องให้แดดส่อง มะลำมะเลือง ฝุ่นเยอะ ดูขลัง กลิ่นอับๆทำให้รู้สึกกลัวมากกว่าศรัทธา ด้านหน้าจะมีพระลามะนั่งรออยู่เก็บค่าตั๋วเข้าไปค่ะ รู้สึกจะ 30 รูปี
ที่นี่จะมีกงล้อมนต์เรียงเป็นแนวยาวค่ะ หมุนแล้วมนต์ตราจะตุ้มครองเรา อิชั้นก็เอาเลยค่ะ หมุนเดินลงไปสุดแรง เอาให้หมุนจนวันสุดท้ายของโลก
เจอลุงเดินหมุนสวนขึ้นมา อ่าวหมุนผิดทาง อย่างงี้ก็โชคร้ายน่ะสิ อิชั้นนี่ รีบวิ่งลงไปหมุนขึ้นมาใหม่เลยค่ะ
ด้านหลังเมือง จะเป็น วิวของแม่น้ำ Indus สีไมโลของเราค่ะ แถวภูเขาสีโกโกครันซ์
คุณลุงหมุนวงล้อสวดมนต์ของตัวเองค่ะ เมืองนี้ดูจะเป็นจุดมุ่งหมายของผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรมจริงๆ
ด้านหลังมีทางเดินต่อค่ะ แต่ร้อนและแดดสะท้อนภูเขาแรงมาก กลัวยูวีจะทำร้ายผิวสวยๆเลยไม่เดินต่อ
ไปต่อค่ะ จาก alchi ไปอีกราวชั่วโมงนึง หรือ ครึ่งทางที่เหลือ
ถนนไป Ramaluyu เรียกว่า ถนน Kargil - Skardu Road มันมีทางสองทาง คือทางหลักกับทางสำรอง จะพูดให้ถูกก็คือ ทางสบาย กับทางโหด ทางสบายนั้นเป็นทางลาดยางมะตอย ตรงๆสวยๆไม่อันตราย ส่วนทางโหดนั้นถนนก้อนกรวด ไต่ขึ้นไปบนเทือกเขาสูงลิบ ยึกไปยึกมา หักไปหักมา ลองดูใน google map จะเห็นความแตกต่างชัดเจน
ทางขึ้นลามายูลูค่ะ ควรจะไปทางเส้นสีฟ้า แต่ถนนพังจากพายุ เลยไปถนนสีขาวที่ยึกยือกว่า ยึกทีคือข้ามเขาลูกนึงค่ะ ไม่มีใครใช้เส้นนี้ถ้าไม่สติไม่ดีจริงๆ
พวกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะผจญภัยอะไรหรอก แต่พอถึงทางแยก ก็เห็นหินถล่มปิดทางลาดยางมะตอยสวยๆของเราไป จึงไม่มีทางเลือก ต้องไปทางโหด ทางไป Lamayulu ถนนที่ว่าแคบ วันนี้แคบกว่า ที่ว่าชันวันนี้ชันกว่า ที่ว่าเสี่ยงวันนี้เสี่ยงกว่า ทางเล็กๆไต่ขึ้นสู่จากหุบเหว ภูเขาสูงลิบขนาบด้วยหน้าผาลึก มีช่วงถนนที่หักศอกน่าหวาดเสียวเยอะมาก คนรถเราต้องบีบแตรตลอด แถวมีรถบรรทุกทหารคันใหญ่ๆ ที่เราต้องหลบ เสียเวลารอไปมากโข และมีเรื่องหวาดเสียวที่รถคันนึงพุ่งมาหาเราโดยไม่บีบแตร ทำให้เราต้องหักหลบกระทันหัน กลางเหวสูง เดชะบุญที่คนรถของเราหลบทัน ไม่งั้นทั้งสองคันลงไปกองเป็นผี ที่ก้นเหวแน่ นับว่าเส้นทางนี้คือสุดจริงๆ
ถนนที่ทำให้เราเกือบเป็นผีค่ะ
แต่ยอมรับนะคถว่าถึงน่ากลัวแต่ มันก็สวยไปอีกแบบ เทียบขนาดจากรถบรรทุกเล็กที่มุมล่างนั่น
หว่างทางนอกจากจะหวาดเสียวแล้ว ทัศนียภาพ ตะลึงตาอีกวัน ด้วยภูเขายอดแหลมสีหม่นๆ ดำๆทึมๆ ให้ความรู้สึก สิ้นหวัง รุนแรง และโหดร้าย ระคน แต่ถามว่ายิ่งใหญ่ไหม มันเหมือนฉากในภาพยนต์เลยล่ะ เหมือนเข้าสู่ดินแดน นรกภูมิยังไงหยั่งงั้น
วันที่6 ไปดูหมู่สถูปบนหน้าผาที่ Lamayulu อู้ฮู้ววววววว ทางอันตรายเฟร่อ!!!!!
กระทู้นี้เป็นส่วนหนึ่ง ของ ซีรีส์ เดินทางโดยรถจาก เดลี ไปถึง เลห์ ผ่าน Manali-Leh Highway
ของตุ๊ดตัวเล็กๆและผู้ชายทั้งสี่ของนาง
สามารถติดตามกระทู้หลักได้ที่ข้างล่างนี้เลยค่ะ เกร๋ๆ
http://ppantip.com/topic/34208002
อ้อฝากเพจใหม่ของอิชั้นด้วยนะคะ https://www.facebook.com/armmiethegypsyprincess/
เมื่อวานตามแผนเราไปอีกวัดนึง แต่ไปอ่านเจอ Lamayulu เมืองที่มีวิหาร สถูป พุทธเรียงรายกลางหน้าผา ฝรั่งในเวปบอกว่า “พวกหร่อนต้องไปให้ได้” เออก็ด่ะ พวกเราจะไปกัน
แต่ทางมันไกลโข ต้องรีบออกแต่เช้า คนขับนักซิ่งของเราเป็นคนเดิม เนื่องจากพวกเรามีแผนไป Nubra Valley และก็ Pangkong Lake ในวันต่อไป เนื่องจากสองสถานที่นี้เป็น resticted area ต้องลงทะเบียน ทำ permission เหมือนตอนที่เราข้ามเขตมาเลห์นั่นแหละ มันจำกัดจำนวนวันนะ เป็นการเชคว่า เข้าไปแล้วกลับออกมาครบรึเปล่า จะไปเลยไม่ได้
ซึ่งเห็นว่าสามารถลงทะเบียนในเวปไซต์ และเสียค่าธรรมเนียมคนละ 500รูปี แต่พวกเราใช้วิธีฝากกับบริษัท ที่เราจ้างรถ ถ้าใครลุยเดี่ยวมาแนะนำให้ถามโรงแรมที่พัก ว่าทำอย่างไร
วันนี้บรรยากาศอึมครึม เค้าว่า ทางไป LamayaLu ใช้เวลาไปประมาณ 3ชั่วโมง ระหว่างทางเราเลยแวะสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆตามรายทาง ที่แรก Spituk Monastery เป็นวัดพุทธมหายานอีกวัดหนึ่ง จุดเด่นของวัดนี้ คือ ไม่มี มันคล้ายๆกับวัดอื่นๆนั่นแหละ แต่ไล่ระดับเป็นชั้นๆ สะเปะสะปะ ไม่มีรูปแบบ ขึ้นไปเรื่อย พวกเราตื่นเต้นกับการหาทางเดิน ว่าจะเดินไปต่อตรงช่องประตูไหน อาคารด้านบนจะเป็นโบถส์ เก็บค่าเข้า เหมือนกัน แถมถ้าจะเดิน ขึ้นไปชั้นสูงๆจะมีลามะ มาเก็ยค่าเข้าเพิ่ม พวกเราอึดอัดกับการเก็บยิบย่อยอย่างนี้ เลยหยุดมาดูวิวแทน
วิวที่นี้จะเห็นติดกับแม่น้ำ มีบ้านสวนเกษตร เขียวขจี (เพราะอยู่ฝั่งนาบู) ได้เห็นแม้น้ำ Indus ทีเทาทะมึนตัดกับ ทุ่งหญ้าเขียวขจี มีวิวสนามบินเลห์กว้างใหญ่ ที่เครื่องบินบินขึ้นลงทุกสิบห้านาที
จุดต่อไปที่แวะพักคือสถานที่ ที่เรียกว่า Magnetic Hill เป็นถนนที่ตัดผ่านภูเขาเฉยๆ ดูไม่มีอะไร แต่คนขับรถของเราบอกว่าที่นี่มีปรากฎกาณ์ทางแม่เหล็กอะไรซักอย่าง ซึ่งเค้าพยายามอธิบายแต่พวกเราไม่เข้าใจ เดาว่าจุดนี้น่าจะมีแร่ธาตุที่ใช้เดินทางข้ามอวกาศ หรือ ท่าอวกาศยานของเอเลี่ยน กระมัง
ปล.ที่นี่มีร้านอาหารเล็กๆ ที่ชื่อว่า Megneto restaurant ด้วยนะเออ
ต่อไปเราก็มาถึงสถานที่ที่เรียกว่า แม่น้ำสองสี เป็นจุดเชื่อมระหว่างแม่น้ำ Indus สีแดงงไมโล ที่ไหลมาจากทะเลทราย และแม่น้ำ Zanskar สีใสกว่าที่ไหลมาจากภูเขา มันก็ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าแม่น้ำสองสี แต่ไม่รู้สิพวกเรายืนชมมันที่จุดนี้เนิ่นนาน พลางคิดว่า มันไหลมาจากไหน มันจะไหลไปไหนต่อ และคนที่อยู่ปลายน้ำจะเห็นเป็นสีอะไร ปลาที่อยู่แต่ละแม่น้ำจะต้องปรับตัวอะไรไหม แล้ว...... (พอแล้ว เริ่มเยอะ )
เราแวะที่เมือง Alchi เป็นเมืองเล็กๆข้างแม่น้ำ Indus ที่มีอาศรมของพระทิเบตอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเมืองหนึ่ง มีแผงขายของที่ระลึกเป็นแนวยาว เมื่อดินผ่านตรอกเล็กๆของร้านรวง จะเข้าสู่เขตสงบของวัดทิเบต มีอารามและ โบถส์จำนวนมากมาย และมีคนเก็บเงินก่อนเข้าอีกเช่นเคย ทางเดินมีกงล้อมนต์สีทองเรียงเป็นทางยาว ให้อารมณ์เหมือนวัดโพธิ์ที่สงบ แคบ และเย็นสบายกว่า
ด้านหลังเมืองจะเห็นหน้าผาสีน้ำตาลตระง่านและผืนน้ำ indus สีไมโลไหลเชี่ยว เป็นเมืองที่สงบเงียบเหมาะกับการนั่งสมาธิ นักบวชมาที่นี่คงชอบ
อ้อ ขอแนะนำให้ซื้อของที่ระลึกที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นกงล้อมนต์ หรือครกสวดมนต์ เพราะที่นี่จะถูกกว่าในเลห์หลายเดลีทีเดียว เช่น กงล้อมนต์ขนาดกลาง ที่นี่ขาย 700 ในเลห์ต่อแล้วต่ออีกขาย 1200 แถมงานประณีตและสีสันสวยงามกว่า
ถนนไป Ramaluyu เรียกว่า ถนน Kargil - Skardu Road มันมีทางสองทาง คือทางหลักกับทางสำรอง จะพูดให้ถูกก็คือ ทางสบาย กับทางโหด ทางสบายนั้นเป็นทางลาดยางมะตอย ตรงๆสวยๆไม่อันตราย ส่วนทางโหดนั้นถนนก้อนกรวด ไต่ขึ้นไปบนเทือกเขาสูงลิบ ยึกไปยึกมา หักไปหักมา ลองดูใน google map จะเห็นความแตกต่างชัดเจน
พวกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะผจญภัยอะไรหรอก แต่พอถึงทางแยก ก็เห็นหินถล่มปิดทางลาดยางมะตอยสวยๆของเราไป จึงไม่มีทางเลือก ต้องไปทางโหด ทางไป Lamayulu ถนนที่ว่าแคบ วันนี้แคบกว่า ที่ว่าชันวันนี้ชันกว่า ที่ว่าเสี่ยงวันนี้เสี่ยงกว่า ทางเล็กๆไต่ขึ้นสู่จากหุบเหว ภูเขาสูงลิบขนาบด้วยหน้าผาลึก มีช่วงถนนที่หักศอกน่าหวาดเสียวเยอะมาก คนรถเราต้องบีบแตรตลอด แถวมีรถบรรทุกทหารคันใหญ่ๆ ที่เราต้องหลบ เสียเวลารอไปมากโข และมีเรื่องหวาดเสียวที่รถคันนึงพุ่งมาหาเราโดยไม่บีบแตร ทำให้เราต้องหักหลบกระทันหัน กลางเหวสูง เดชะบุญที่คนรถของเราหลบทัน ไม่งั้นทั้งสองคันลงไปกองเป็นผี ที่ก้นเหวแน่ นับว่าเส้นทางนี้คือสุดจริงๆ
หว่างทางนอกจากจะหวาดเสียวแล้ว ทัศนียภาพ ตะลึงตาอีกวัน ด้วยภูเขายอดแหลมสีหม่นๆ ดำๆทึมๆ ให้ความรู้สึก สิ้นหวัง รุนแรง และโหดร้าย ระคน แต่ถามว่ายิ่งใหญ่ไหม มันเหมือนฉากในภาพยนต์เลยล่ะ เหมือนเข้าสู่ดินแดน นรกภูมิยังไงหยั่งงั้น