[CR] Lamayuru หมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีอะไร แต่คนต้องไปเพราะมีอะไรระหว่างทาง

...................................................

:: ฝากติดตามเพจไผ่ด้วยนะคะ ::
https://www.facebook.com/wherewegopage/
...................................................

Day 4:
วันนี้เรานัดกันทานข้าวเช้าตอน 7 โมงครึ่ง เพราะหลังจากทานเสร็จวันนี้เราต้องกลับมาเตรียมกระเป๋าที่แพคไว้แล้วเมื่อคืนให้ทางโรงแรมขนไปเก็บที่ห้องเก็บของ ส่วนตัวเราวันนี้ก็มีกระเป๋าเป้คนละใบที่แพ็คของพอใช้สำหรับไปนอนต่างเมือง 1 คืน ใช่แล้วค่ะวันนี้เราจะไปค้างที่ Lamayuru กัน เมื่อเราทานไข่เจียว, ไข่ต้มกับข้าวต้มเป็นข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ก็เตรียมของและออกเดินทางกัน

วันนี้วิวข้างทางออกจะตื่นตาซักนิด เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เราได้ออกนอกเมือง เราผ่านค่ายทหารหลายจุดและโรงผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ ใช่ค่ะ ที่เลห์ใช้ไฟฟ้าจากแผ่นโซลาร์เซลล์ เพราะฉะนั้นคนที่นี่จะรู้คุณค่าและใช้พลังงานกันอย่างประหยัดมาก อย่างที่ไผ่บอกไปใน EP แรกว่า อย่าง Heater ที่โรงแรมก็จะมีเวลาเปิดปิด ไม่สามารถเปิดได้ตลอดค่ะ เรานั่งในรถกันซักพัก โนบุ คนขับของเราก็จอดรถที่จุดชมวิวแรกให้เราลงไปถ่ายรูปกัน  โอ้โห...วิวอลังการอีกแล้ว


ลงไปถ่ายกันจนพอใจเราก็กระโดดขึ้นรถกัน จากตรงนี้นั่งกันไปพักใหญ่ และแล้วไผ่ผู้นั่งอยู่เบาะหลังสุดของรถ
ลูกไผ่: “เอ้...ภูเขาข้างหน้านั่นเหมือน Magnetic Hill ที่เคยเห็นในรีวิวเลยค่ะ”
พี่มล: “อ้าว เหรอ หรือจะใช่”


Magnetic Hill คือจุดที่มองภูเขาสีดำขนาดใหญ่ด้านหน้ารถ ถ้าเราจอดรถกลางถนนเราจะรู้สึกเหมือนรถสามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้เอง แต่จริงๆมันเป็นแค่ภาพลวงตาค่ะ

ระหว่างที่เรานั่งคุยกันในรถว่ามันใช่หรือไม่ใช่ Magnetic Hill โนบุก็เลี้ยวรถเข้าไปจอดข้างทางที่เหมือนเป็นจุดจอดให้ทุกคนลงไปถ่ายรูป ตรงนี้รถของกรุ๊ปทัวร์กรุ๊ปอื่นจอดอยู่หลายคันเลย ซึ่งเกือบจะทั้งหมดนั่นคือ ‘คนไทย’ 555
ตรงจุดจอดนี้จะมีรถ ATV ให้เช่าขับด้วยนะคะ ซึ่งตอนที่ไผ่ไปก็เห็นคนเช่าขับกันอยู่บ้าง แต่สำหรับแก๊งค์น่าจะไม่ไหว ถ้าต้องไปขี่รถให้ลมประทะหน้าอีก อาจตายได้ 555 ขอไปถ่ายรูปกันดีกว่า จากที่ยืนเล็งๆกันแล้ว
พี่มล: “ตรงนี้มันดูถ่ายไม่ค่อยเวิร์กป่ะ”
พี่เจี๊ยบ: “นั่นสิ พี่ว่ามันต้องไปถ่ายตรงเนินถนนก่อนหน้าที่เราจะมาถึงตรงนี้มากกว่า”

ไผ่ก็ว่าเล็งกล้องจากตรงนี้มันดูไม่ค่อยอลังการเท่าไหร่ บวกกับตรงนี้คนเยอะมาก วิ่งสลับกันเข้าออกกลางถนน ท่าจะไม่ได้ถ่ายง่ายๆ เราเลยเดินกลับไปหาโนบุ “เราขอย้อนกลับไปทางที่เราผ่านมาได้มั้ย”
โนบุ: “ได้สิ จริงๆแล้วถ้ามีจุดไหนที่คุณสนใจ และอยากลงไปถ่ายรูป บอกผมได้เลยนะ”
ว่าแล้วคนขับรถใจดีของเราก็ขับพาเรากลับไปเนินแรก พอกระโดดลงรถมา “มันไม่ได้แฮะ”
เลยให้โนบุช่วยขับไปข้างหน้าอีกนิดแล้วก็กระโดดลงจากรถกันมาใหม่ อ๊ะ ตรงนี้แหละ!
แต่ตามความรู้สึกไผ่ทำไมก็ยังรู้สึกว่ามันถ่ายได้ไม่อลัง ไม่เหมือนในรีวิวหว่า รึไผ่คิดไปเอง 555
ตรงนี้เราก็วิ่งเข้า วิ่งออกกลางถนน โดยมีโนบุคอยดูต้นทางรถ และมองพวกเราอย่างเป็นห่วงว่า มันจะโดนรถชนกันมั้ยเนี่ย 555


เอาวะ มันก็คงได้ประมาณนี้แหละ เราปิดท้ายด้วยรูปหมู่ ที่คราวนี้พวกเราต้องคอยช่วยดูรถด้านหลังให้โนบุแทน


จาก Magnetic Hill วิวข้างทางยังคงสวยอย่างต่อเนื่อง พอมาถึงหุบเขาที่มองลงไปเห็นแม่น้ำสีสวยมาก เราก็เริ่มถกกันอีกครั้ง
พี่เจี๊ยบ: “นี่เหมือนจะเป็นจุดที่แม่น้ำสองสีไหลมาบรรจบกันเลย”
พี่มล: “เออ เหมือนเนอะ แต่ไม่น่านะ เพราะตรงนั้นเหมือนจะอีกไกลนะ และตามกำหนดการเราต้องไปพรุ่งนี้นี่”
ว่าแล้ววิวแม่น้ำสองสีไหลมาบรรจบกันก็เลื่อนผ่านมาตรงกระจกข้างรถ
พี่มล: “อ้าว นี่ไง!”
และโนบุก็ขับรถเข้าไปจอดข้างทางเช่นเดิม 5555

จุดนี้เป็นจุดที่แม่น้ำ Indus (สินธุ) แม่น้ำซันสการ์ ไหลมาบรรจบกันแล้วเห็นสีแยกกันอย่างชัดเจน ซึ่งถือว่าวันนี้เราโชคดีมากกก เพราะฟ้าเปิดและแม่น้ำเป็นสีฟ้าและสีเขียวสดใสชัดเลย พี่มลเคยเปิดรูปที่เพื่อนถ่ายตอนช่วงหน้าร้อน แม่น้ำเป็นสีน้ำตาลขุ่นๆ สีแยกกันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ใครอยากได้สีแบบนี้ก็เลือกช่วงมากันดีๆนะคะ


จุดนี้ถือว่าเป็นที่สุดของวิวอีกจุดหนึ่ง ในรูปเป็นแค่เศษเสี้ยวของของจริง การได้ยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก
“ทำยังไงถึงจะเก็บวิวพวกนี้กลับด้วยได้นะ” เป็นคำพูดที่ได้ยินพี่เจี๊ยบพูดบ่อยมากในทริปนี้ ไผ่เชื่อว่าถ้าใครลองมาที่นี่ซักครั้งก็จะเข้าใจ

จากแม่น้ำสองสีตรงนี้จะเป็นระยะทางอันยาวไกล ไผ่ก็หลับๆตื่นๆ ตื่นมาทีไรก็เห็นวิวข้างทางแบบสวยตื่นตาทุกครั้ง หลังจากขับรถวนขึ้นเขามาเรื่อยๆ โนบุก็จอดรถให้เราอีกครั้ง และนี่ก็คืออีกหนึ่งจุดชมวิวระหว่างทางไป Lamayuru สวยมากอีกแล้ว!


จากจุดนี้อยากจะหลับก็หลับไม่ได้แล้วจ้า ถนนแบบเป็นทางตัดข้ามเขาคดเคี้ยวมากจ้า ถึงขนาดที่ว่าพอถึง Likir Monastery ซึ่งเป็นอีกจุดเที่ยวของเราวันนี้ ไผ่ลงรถมาต้องขอนั่งยองๆซักพักเลยจ้า ไม่ไหวแล้ว นี่คือเหตุผลว่าทำไมในคลิปวีดีโอ ‘รีวิวการจัดกระเป๋าไปเลห์ลาดักซ์’ ของไผ่เลยต้องให้พกยาแก้เมารถมาด้วยเคอะ

Likir Monastery วันนี้ ดูเหมือนจะมีแต่พวกเราเท่านั้น ตอนเห็นทางเข้าแรกๆแอบคิดว่า วัดเค้าปิดป่าวหว่า....จุดเด่นของวัดนี้คงเป็นวิวด้านหลังวัด ซึ่งสวยมาก และพระองค์ใหญ่ที่เห็นมาแก่ไกลด้านบนวัดค่ะ




หลังจากที่เราเดินขึ้นด้านบนวัดวนลงมาด้านล่าง เราก็เจอแก๊งค์เด็กน้อยวิ่งเล่นกันอยู่ ซึ่งเราเห็นพี่ปุ่นยืนถ่ายรูปน้องอยู่ก่อนแล้ว ในขณะที่เด็กคนอื่นไปวิ่งเล่นกัน ก็มีพ่อหนุ่มน้อยที่ดูจะเด็กสุดในกลุ่มนี่ล่ะ ที่หยุดเก๊กให้เราถ่ายรูปกัน


นี่ดูท่าเค้าซะก่อน มีพ๊อยเท้าด้วยนะ 5555 น่าร๊ากกกก


ออกจากวัดมานิดนึง เราก็ได้แวะจอดอีกจุดนึงแล้วจ้า ตรงนี้ก็สวยอีกแล้ว ตรงนี้เป็นวิวริมแม่น้ำสีเขียวใส่ไหลเชี่ยว สวยมากๆ!




ต่อจากตรงนี้ จุดหมายถัดไปของเราคือ Alchi เราจะได้ทานข้าวกลางวันกันแล้วววว  แต่เหมือนเพราะเรามาถึงตอนบ่ายสองกว่าๆ และเป็นช่วงใกล้เข้าฤดูหนาว แทบจะทุกร้านใน Alchi เลยปิดหมดแล้วจ้า โนบุเลยต้องนำเราไปที่ร้านอาหารร้านนึงตรงซอยเล็กๆบอกว่าทานที่ร้านนี้ได้


พอเดินเข้าไปในร้าน เอร้ยยย ร้านดี ข้างในร้านมีโต๊ะตัวนึงที่ตั้งอยู่กลางแจ้งใต้ต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสี โหย คลาสสิคมาก แต่เสียดายที่มีคนนั่งอยู่แล้ว เราเลยอดไป ต้องนั่งโต๊ะในร่มไปค่ะ แต่จุดนี้อะไรก็ได้ เพราะหิวโซมากกก


ดูสภาพแต่ละคน เรียกให้ถ่ายรูปยังไม่อยากขยับตัวเลย 555


นอกจากร้านดีแล้ว ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาดมากกก (หายากนะคะในเลห์ โดยเฉพาะนอกเมืองอย่างนี้ นี่เรียกว่า Rare item มากค่ะ) และมี WIFI ด้วย! เราเลยยกหน้าที่การสั่งอาหารให้พี่เจี๊ยบแล้วนั่งอัพโหลดรูปกันอย่างบ้าคลั่ง 555
และอาหารที่พี่เจี๊ยบสั่งมาให้เราก็ไม่ผิดหวัง อร่อยทุกอย่างเลย!




เจ้าของร้านเดินมาคุยกับเราบอกว่าต้นไม้ที่เห็นที่นี่คือต้นแอ๊ปเปิ้ลและแอพลิคอต ช่วงหน้าร้อนก็จะออกลูกกันดกเลย เวลาแขกมาทานก็จะเด็ดจากต้นมาทานได้เลย โห....พูดซะอยากให้มาอีกรอบเลย!
ก่อนที่จะมาถึง Alchi โนบุบอกเราว่าที่ Alchi มีร้านขายเครื่องประดับและของระลึกขาย พี่เจี๊ยบเลยตื่นเลยจ้า 5555 แต่พอมาถึง ลงรถรถจริงๆ ให้นึกถึงตัวการ์ตูนญี่ปุ่นที่มีใบไม้ปลิวผ่าน ฟิ้ว........5555 เราเลยถามเจ้าของร้านว่ายังมีร้านพวกนี้เปิดอยู่บ้างมั้ย เจ้าของร้านบอกว่า มีๆ อยู่ตรงทางเดินไปวัด พี่เจี๊ยบเลยได้กลับมา alert อีกครั้ง

ทานเสร็จเราก็เดินตามซอยเล็กๆที่จะนำทางไปสู่ Alchi Monastery และเราก็เจอแผงขายเครื่องประดับและของที่ระลึกจริงๆ แต่ไม่กระจุกกระจิกอย่างที่คิดแฮะ เราเลยไม่ได้อะไรจากตรงนี้แล้วก็เดินผ่านไป


และเราก็มาเจอทางแยก เราเลยเลือกเดินไปทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นทางเล็กๆ มีต้นไม้เปลี่ยนสีปลูกอยู่ตลอดทาง แถมบางจุดยังสามารถมองออกไปเห็นวิวกว้างๆด้านข้าง ซึ่งสวยมาก



และแล้วเราก็มาโผล่ตรงทางที่ด้านล่างเป็นแม่น้ำไหลผ่าน โดยมีภูเขาหินขนาดใหญ่เป็น background อยู่ด้านหลัง มันยิ่งใหญ่มาก จนทำให้รู้สึกว่าพวกเราตัวกระจิ๊ดริด



ส่วนทางเดินต่อไปเป็นดงใบไม้เหลือง บางทีก็จะงงกันเป็นพักๆว่านี่เราอยู่ประเทศอะไรกันแน่ 555


แล้วพี่มลก็ถามเรา “จะลงไปข้างล่างกันมั้ย”
ไผ่กับพี่ปุ่นก็ตอบไปแบบไม่ได้คิด “ลงๆ”
แต่พอไปดูทางลงแล้ว เฮ้ย ไม่ไหวแฮะ ชันมาก ปีนลงไปนี่เสี่ยงกล้องไปชนหิน เลยขอบายดีกว่า แต่มองลงไปอีกที พี่มล พี่เจี๊ยบ อยู่ข้างล่างเดินกันเหมือนเป็นคณะเดินทางแห่งแหวน ใน The Lord of The Ring ไปแล้วจ้า แล้วก็บอกโบกไม้โบกมือ ลงมาสิๆ แล้วเราก็ตะโกนลงไปบอกว่า “ไม่ไหวๆ ไม่ลงแล้ว” ไอพวกทรยศ! 5555


ระหว่างนั้นก็เดินถ่ายใบไม้เหลืองกับแสงแดดที่ลอดลงมาไป สลับกับนั่งดูพี่มลกับพี่เจี๊ยบเดินไปถ่ายรูปริมแม่น้ำอย่างสนุกสนาน คิดว่าด้านล่างต้องหนาวมากแน่ๆ


และแล้วพี่มล พี่เจี๊ยบก็กลับขึ้นมา และนี่คือทางที่เราต้องใช้ปีนขึ้น-ลง ไป มันยากนะเฟ้ย!


ว่าแล้วเราก็เดินเข้าไปในวัด ซึ่งไม่ได้เป็นวัดที่ใหญ่มากนัก เดินแปปเดียว อ้าวออกวัดแล้ว อารมณ์เหมือนเป็นทางผ่าน แต่
ลูกไผ่: “เอ๊ะ ตรงนี้มันคือทางที่เราเลือกเดินเลี้ยวซ้ายไปตอนแรกนี่นา”
พี่มล: “เออ จริงด้วย 555”
คือจะเดินอ้อมกันทำม๊ายยย เดินตัดวัดแบบนิดเดียวก็ถึงแม่น้ำข้างหลังแล้ว 555 เอาน่า ถือว่าไปเดินดูวิว


เดินออกมา อ๊ะ เจอน้องลา ที่เราพยายามจะถ่ายรูปตอนที่นั่งอยู่ในรถระหว่างทางไปโน้นนี่มาหลายวัน แต่ถ่ายไม่ทัน

ชื่อสินค้า:   Lamayuru , Magnetic Hill
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่