4 วันของการเดินขึ้นมาชู พิคชู - I survived Machu Picchu

ทริปนี้เกิดจากความตั้งใจที่ให้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับตัวเอง เราแพลนและจองล่วงหน้ามากกว่า 6 เดือน เพราะช่วงเดือนสิงหา - กันยา เป็นช่วง peak season  เนื่องจากมีฝนน้อยที่สุด อากาศดีที่สุดในรอบปี  แต่ถ้าจองแบบกระชั้นโอกาสที่จะได้ตั๋วเดินขึ้น Machu picchu  มีน้อยมาก
ระยะทางเดินขึ้น Machu picchu  ประมาณ 45 กม ใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน ส่วน packing list จะเขียนตามมาที่หลังนะคะ

แผนที่การเดินทางทั้งหมดและระดับความสูง

เส้นสีแดงคือ Inca Trail


วันที่ 1  Ollantaytambo ถึง Wayllabamba ระยะทางประมาณ 11 กม

เมื่อคืนกลุ่มของเราพักที่ Ollantamtaybo ถึงตอนเช้าพวกเรานั่งรถตู้จาก Ollantamtaybo มาที่ Km 82 ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ซึ่งเป็นจุด เริ่มต้นการเดิน
ขอพูดถึงเพื่อนร่วมทางสักหน่อยดีกว่า กลุ่มเรามีทั้งหมด 14 คน พร้อมกับคนนำทาง 2  คน ลูกหาบประมาณ 17  คน พ่อครัวอีกหนึ่งคน ลูกหาบแต่ละคนแบกน้ำหนักได้ไม่เกิน 25 กก. ตามกฎหมายคุ้มครองลูกหาบของที่นี่ ซึ่งเราเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเมื่อก่อนลูกหาบเคยแบกสัมภาระหนักถึง 40 -50 กก. พวกเค้าคือ Super man ตัวจริงให้ความคิดของเรา
อีกอย่างการมาเดินขึ้น Machu Picchu เนี่ยต้องมากับไกด์เท่านั้น จะมาแบกเป้กางเต็นท์  เดินเองซุ่มสี่ซุ่มห้าไม่ได้นะคะ
ตลอดระยะเวลา 4 วัน เราก็แบก day pack เอง ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้า duffel ลูกหาบจะขนให้ และน้ำหนักของกระเป๋าจำกัดที่ 6 กม เท่านั้น

ไกด์ Victor และลูกหาบกำลังจัดของ


กลับมาเรื่องการเดินต่อค่ะ พอมาถึง Km 82  ก็ต้องถ่ายรูปกับป้ายนิดนึ่ง จากนั้นก็จะต้องผ่านจุดตรวจ Passport  กับ ตั๋วเดินขึ้น Machu picchu ผ่านจุดนี้ไปการเดินขึ้น Machu picchu  ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ




การเดินวันนี้ถือว่าสบายๆ ไม่ยากมาก มีทั้งเดินขึ้น เขา-ลงเขา สลับกันไปแต่ก็ไม่ได้ชันมากมาย แต่แดดค่อนข้างแรงเพราะไม่มีร่มไม้เลย มีการหยุดพักทานอาหารกลางวัน จากนั้นก็เดินต่อ ระหว่างทางผ่าน  โบราณสถานอินคา Llactapata และอื่นๆ

จุดแวะพัก มีน้ำขาย มีห้องน้ำไปเข้าแต่ต้องเสียเงินแถมยังสกปรกสุดๆ เข้าป่าดีกว่าเยอะเลยค่ะ


Llactapata Ruin


วันนี้เราถึงแคมป์ประมาณ 4 โมงเย็น มีเวลาพักผ่อนนิดหน่อยก่อนที่จะถึงเวลาอาหารเย็น พูดถึงเรื่องอาหารต้องขอบอกว่าเซอร์ไพรส์มากๆประทับใจมากๆ ไม่คิดว่าขนาดอยู่กลางป่าบนเขาสูงจะได้ทานอาหารแบบนี้ อาหารกลางวันกับเย็นจะเริ่มจากซุปก่อนจากนั้นก็เป็นอาหารจานหลักอาจเป็นข้าวกับไก่ หรือปลาราดด้วยซอสแบบพื้นเมือง แล้วก็ตามด้วยของหวานและชากาแฟ ส่วนอาหารเช้าจะเป็นแพนเค้กหรือ ไม่ก็ข้าวโอ๊ตกับนม นอกจากนั้นประมาณ 5 โมงเย็นก็จะช่วง Happy hour เย้ๆ ซึ่งก็จะเสริฟ Pop corn ร้อนๆเค็มๆ กับชา กาแฟ ช็อคโกแลตร้อน ต้องบอกว่าข้าวโพดของประเทศนี้เค้าดีจริงๆ เม็ดใหญ่ๆอวบๆ
ซุปสไตล์เปรู




ส่วนเรื่องการนอน ลูกหาบจะ กางเต็นท์  ให้ในตอนเย็นและเก็บให้ในตอนเช้า...สบายมากค่ะ เพราะเค้ารู้ว่าพวกเราแค่เดินให้มาถึงแคมป์ในแต่ละวันก็สุดยอดแล้ว ความน่ารักอีกอย่างนึงของลูกหาบ ก็คือในแค่ละวันที่เราเดินมาถึงแคมป์พวกเค้าจะมารอปรบต้อนรับ เสริฟน้ำหวานๆชื่นใจ กับเตรียมน้ำให้ล้างหน้าล้างมือ แล้วคงคิดให้ใจว่า "เห้ย มันรอดโว้ยวันนี้" 555

เรื่องการอาบน้ำ ก็เตรียมตัวเตรียมใจแล้วก็เตรียม travel wipe ไปให้เยอะๆเลย เพราะว่าตลอดทั้ง 4 วัน ไม่ได้อาบน้ำ บางแคมป์มีห้องอาบน้ำแต่น้ำเย็นเหมือนน้ำแข็ง ส้วมส่วนซึ่งก็เป็น ส้วมหลุ่ม สภาพแบบผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ แค่จะเหยียบเข้าไปก็ยังไม่กล้า เราเลยขอใช้วิธีใกล้ชิดธรรมชาติดีกว่า 555

ห้องน้ำสุดสยองเผยตัวอยู่ด้านหลัง อีกอย่างก่อนจะดึงสักโครกให้เปิดประตูรอไว้ก่อนเลย พอดึงเสร็จก็ให้รีบวิ่งออกมา เพราะทิศทางของน้ำไม่สามารถเดาได้ค่ะ


วันที่ 2 Wayllabamba camp - Pacaymayo camp

วันนี้โดยปลุกตั้งแต่ตีห้าครึ่งพร้อมด้วยชาโคคาร้อนๆเสริฟที่เต็นท์ เริ่มออกเดินตอนหกโมงครึ่ง วันนี้ถือว่าเป็นวันที่โหดที่สุดเพราะส่วนใหญ่เป็นการเดินขึ้นเขา จาก Wayllabamba camp ที่ความสูง 2950 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นสู่จุดสูงสุดของทริปนี้ที่ Dead woman's pass ที่ความสูง 4215  เมตรจากระดับน้ำทะเลในช่วงเช้า หยุดพักถ่ายรูป ทานของว่างแล้วก็เดินต่อไปที่ Pacaymayo camp ที่ความสูง 3600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ระยะทางทั้งหมด 12 กม วันนี้ไม่มีการหยุดพักทานกลางวัน เพราะว่าเดินเสร็จประมาณบ่าย 2 โมงกว่า จากนั้นถึงค่อยทานอาหารกลางวัน ฉะนั้นระหว่างทางควรเตรียมพวก energy bar ไปทาน เหนื่อยก็หยุด หิวก็เอาขึ้นมาทานกันเลย เดินตามกำลังของเราจะช้าจะเร็วยังไงไม่มีใครมากำหนดค่ะ เดินช้าแค่ไหนไกด์ก็รอค่ะ  ขอให้เดินให้ถึงแคมป์ในแต่ละวันเป็นพอ เราเองไม่ใช่คนฟิตอะไรเล้ย เดินไปเรื่อยๆเหนื่อยเมื่อไรก็หยุด หายหอบก็เดินต่อ ถ้าใจเราสู้ ร่างกายก็สู้ค่ะ ดังนั้นถ้าเราทำได้ คุณๆก็ทำได้ค่ะ





ความยากของวันนี้นอกจากเป็นการเดินขึ้นเขาที่เป็นขั้นบันไดหินเป็นพันๆ ขั้นแล้ว เรื่อง   Altitude ก็มีผลกระทบเหมือนกัน คือเรารู้สึกว่าหายใจไม่ทัน ไม่เต็มปอด  แล้วก็รู้สึกมึนๆเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้ถึงจุดสูงสุด  บางคนใช้วิธีเคี้ยวใบโคคาช่วย เนื่องจากใบโคคา(ซึ่งใช้สกัดโคเคน)ช่วยให้มีกำลังหวังชา แต่เราไม่ชอบกลิ่นเพราะรู้สึกว่ามันเหม็นเขียวมาก รสชาติก็เหมือนเคี้ยวใบไม้ดีๆนี้เอง (ต้องไปลองกันเองนะคะเผื่ออาจจะชอบ???) ก็เลยขอใช้วิธีแพทย์สมัยใหม่แทน นั่นคือ Diamox  
ใบโคคาหาซื้อได้ตามตลาดทั่วใบ จะขายเป็นถุงๆ ถึงละประมาณ 5 sole มั้งค่ะ ถ้าจำไม่ผิด เวลาจะใช้ก็ให้เคี้ยวครั้งละ ประมาณ 15 ใบ ประมาณ 15 -20 นาที เคี้ยวพร้อมกับตัว cytalyz ซึ่งมีให้ในถุง ตัว cytalyz จะช่วงทำให้รสชาติดีขึ้น เมื่อเคี้ยวไปเรื่อยๆจะรู้สึกว่าลิ้นจะชาๆนิดๆ ซึ่งนั่นถือว่ามันเริ่มออกฤทธิ์แล้วละ เมื่อเคี้ยวไปประมาณ 20 นาทีก็คายกากออกมานะคะ อย่ากลืนเข้าไป  ตามที่ไกด์บอกมา

ใบโคคา ลูกอมโคคาและชาโคคามีขายตามท้องตลาดทั่วไป เลือกตามถนัดแต่ใบออกฤทธิ์เร็วสุด ลูกอมเพลินสุด 55


เดินเหนื่อยมาทั้งวันพอมาเจอวิวแบบเนี้ยก็หายเหนื่อย


วันที่ 3 Pacaymayo camp - Winaywayna

การเดินของวันนี้ถือว่ามีระยะยาวที่สุด ระยะทางประมาณ 16 กม ตื่นตีห้าครึ่งแล้วออกเดินตอนหกโมงครึ่งเหมือนเดิม ช่วงเช้าจาก Pacaymayo  จนถึง  Phuyumatamarka จะเป็นการเดินขึ้นๆลงๆเขาไปประมาณ 10 กม เส้นทางวันนี้ค่อนข้างร่มรื่นกว่าวันแรก
หลังจากพักทานข้าวเที่ยงเสร็จ ช่วงบ่ายจะเป็นการเดินลงเขาชันจากระดับความสูง 3600 เมตร สู่ 2650 เมตรจากระดับน้ำทะเล ระยะทางประมาณ 6 กม เป็นการเดินลงบันไดหินชั้นตลอดทาง เลย สำหรับเราตอนเดินลงเขาเนี่ยยากกว่าเดินขึ้นเขา เพราะเราเป็นคนกลัวความสูงบางช่วงชันมากๆจนหัวใจจะวาย เขาอ่อนปวกเปียกเลย แต่ก็ต้องตั้งใจเดินต่อไปแบบเขาสั่นๆ ถ้าใครหัวเขาไม่ดี อาจจะลำบากหน่อย แนะนำให้ใช้ walking poles ช่วยได้มากเลยนะ ค่ะ วันนี้เราถึงที่แคมที่  Winaywayna ประมาณ 5 โมงเย็น
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำว่า ถ้าไม่อยากมีปัญหาเรื่อง blister หรือเท้าพ่องรองเท้ากัด แนะนำให้ตัดเล็บเท้าให้สั้น แล้วเวลาเดินให้สวมถุงเท้าหนาๆ สองชั้น หรือบางคนใช้ smart wool socks คะ เราไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลยตลอดการเดิน  อมยิ้ม04










พอเดินถึงแคมป์พ่อครัวมีแอบทำเค้กมาเซอร์ไพรส์ให้กับพวกเรา สุดยอดมากๆอบเค้กบนภูเขาได้อร่อย
สุดๆอ๋อ ลืมบอกไปว่าทีมพวกเราชื่อ Machu Pikachu


วันที่ 4 Winaywayna – Machu Picchu

วันนี้เราต้องตื่นตีสาม แล้วเริ่มออกเดินไปที่ checkpoint ตอนตีสามครึ่ง จริงๆแล้วระยะทางระหว่างแคมป์กับ checkpoint ห่างกันแค่ 10 นาที แล้ว เจ้าหน้าที่จะเปิดให้เข้าเพื่อไป sun gate แล้วก็ Machu Picchu ตอนตีห้าครึ่ง แต่ที่เราต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้า ก็เพื่อให้ลูกหาบได้แยกตัวกลับขึ้นรถไฟกลับบ้านให้ทันตอนตีห้า
หลังจากที่ผ่าน check point ก็ต้องเดินต่ออีกสองชั่วโมงเพื่อไปที่ sun gate จากจุดนี้จะเห็น Machu Picchu  ในระยะไกลในวันที่อากาศดี ต่อจาก sun gate ก็ต้องเดินลงต่อไปอีก 45 นาที  จากนั้นภาพที่รอคอยก็ปรากฏแก่สายตา การเดินทางที่ยาวนานก็เพื่อสิ่งนี้ ความฝันก็กลายเป็นความจริงเมื่อ Machu Picchu เผยความอลังการอยู่ตรงหน้า สมแล้วกับการติดอันดับหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถึงตอนนี้คุณแฟนที่น่ารักก็มากระซิบข้างหูว่า
" Happy Birthday "

วิวจาก The Sun Gate จะเห็น Machu Picchu ในระยะไกลๆ


ทำไมถึงเรียกว่า  Sun Gate นะเหรอ เห็นยังจ๊ะ




บันไดเกือบถึง Sun Gate มั้ง ถ้าจำไม่ผิด แต่ละขั้นสูงประมาณหนึ่งฟุต กว้างแค่ผ่ามือ มีประมาณ 30 ขั้น ต้องใช้คำว่าปีนขึ้นบันไดจริงๆ จะสูงไปไหนกัน


และแล้ว




แล้วตอนกลับอย่าลืมไปแสตมป์ตราประทับ Machu Picchu ไว้เป็นที่ระลึกใน passport นะคะ ที่แสตมป์อยู่ตรงที่รับฝากกระเป๋าทางออกข้างนอก


ขากลับ นั่งรถบัสแล้วต่อรถไฟแบบฟินๆชิวๆมาลงที่ Ollantaytambo


แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่