**บทความนี้ได้รับการสนับสนุนเครื่อง Samsung Galaxy Note5 จากทางซัมซุงเพื่อเอามาใช้ในการทดสอบครับ**
หลังจากกระทู้ที่แล้วผมเทสกล้อง Note5 ในสภาพแสงน้อยกันไปแล้ว
( ppantip.com/topic/34169000 )
วันนี้ผมจะมาแนะนำการใช้ Pro Mode ใน Note5 กันครับ ซึ่งมีบางส่วนที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าใน S6
(ภาพทุกภาพเป็นไฟล์ดิบจาก Note5 ย่อไฟล์โดย PS)
จะเห็นว่าหน้าตาใกล้เคียงกับ Mode ใน S6 มาก แต่มีจุดที่เพิ่มมา 3 จุด คือ
เพิ่มฟังก์ชั่นบางอย่างใน Pro Mode เพิ่ม Video collage และ Live broadcast
แต่กระทู้นี้ ผมขออธิบายสิ่งที่เพิ่มเติมมาใน Pro Mode ของ Note5 อย่างเดียวก่อนละกันครับ
จุดที่ได้รับการปรับปรุงจุดแรก คือ Pro mode ใน Note5 สามารถควบคุม Shutter Speed ได้แล้ว (ซึ่งจริงๆควรจะทำได้มาตั้งแต่ S6)
และ Pro mode ใน Note5 ยกเลิกการปรับความสว่างแบบ Auto แล้ว (ซึ่งก็เป็นจุดที่ควรจะทำได้ตั้งแต่ใน S6 เช่นกัน)
Exposure ใน Note5 จึงทำหน้าที่แค่เป็นตัวบอกความสว่างให้กับเรา เหมือนแถบวัดแสงในกล้อง DSLR
ข้อดีของการที่เราควบคุม Shutter Speed ได้เองคือ เราสามารถถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวโดยไม่เบลอได้ง่ายขึ้น
ส่วนความสว่างต้องควบคุมที่ iso เอา (Note5 ยังควบคุมรูรับแสงไม่ได้)
ส่วนการปรับ White balance ใน Note5 ก็ทำได้ละเอียดและดูดีขึ้น
สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นช่างภาพอาจจะงง ว่าการปรับ White Balance ได้มีข้อดียังไง
นอกจากการเอาไว้ปรับให้สีตรง (ไม่อมเหลือง อมฟ้าเกินไป) การใช้ White Balance ต่างกัน ยังให้อารมณ์ภาพต่างกันอีกด้วยครับ
ตัวอย่างเช่น
จะเห็นว่า ที่เดียวกัน มุมเดียวกัน แค่เปลี่ยนสี อารมณ์ก็เปลี่ยนไปครับ
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Pro Mode ใน Note5 สามารถถ่ายภาพเป็น RAW (.dng ขนาดประมาณ 32 MB ) ได้
ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง (ในคอม) มากขึ้น แต่เท่าที่ลองใช้ ไฟล์ยังไม่เหมาะกับการถ่ายในที่แสงน้อยดัน iso สูงๆ
เพราะ noise เยอะมาก จนใช้ jpg ดีกว่ามาก
ส่วนใครไม่ได้เอาไปแต่งต่อในคอม ใช้ JPG เหมือนเดิมเถอะ ง่ายกว่า
โดยก่อนใช้ต้องเข้าไปตั้งค่า Setting ใน Pro Mode ก่อน และกล้องจะเซฟไฟล์ไว้ทั้ง raw + JPG
ภาพด้านซ้ายคือ JPG ด้านขวาคือ Raw ถ่ายที่ speed 1/125s iso800 ถ่ายตอนกลางคืน ในสภาพแสงน้อย มีเพียงไฟสีส้มจากเพดาน
จะเห็นว่า raw ที่ iso 800 เกิด noise เยอะมาก แก้ใน LR PS ยังไง ก็สู้ JPG จากกล้องไม่ได้ (เพราะฉะนั้นตอนแสงน้อยใช้ JPG น่าจะดีกว่าครับ)
แต่ถ้าตอนกลางวัน ใครอยากเอามาแต่งต่อในคอม ก็อัด RAW ได้เลย
iso ต่ำสุดที่ Note5 ทำได้คือ 50 และสูงสุดที่ 800
Manual Focus ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต่างจากใน S6 เหมาะกับเอาไว้ถ่ายอาหาร หรือของที่อยู่นิ่งๆ
หรือถ่ายเม็ดฝนบนหน้าต่าง ถ่ายโบเก้ อะไรแบบนั้นครับ
การซูม สามารถซูมได้สูงสุดที่ 8X (Digital Zoom) แต่คุณภาพก็จะลดลงตามลำดับ
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงคือ Live HDR คือการแสดงภาพ HDR ให้เราเห็นเลยก่อนกดถ่าย เพื่อตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้
อันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนจากใน S6 ครับ เหมาะกับการถ่ายย้อนแสง หรือในสภาพที่ความต่างแสงสูงๆ
สรุปแล้ว Note5 นอกจากเรื่องขีดๆเขียนๆที่โปรโมทกันแล้ว ผมว่ากล้องและฟังก์ชั่นต่างๆของกล้อง
กลับทำได้ดีกว่าใน S6 เสียอีก แต่น่าแปลกใจที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง
สำหรับใครที่อยากอ่านวิธีใช้งาน Pro Mode แบบละเอียด ขอเชิญที่นี่เลยครับซึ่งจะละเอียดกว่า (เขียนไว้ตอน S6)
ppantip.com/topic/33920138/
ปิดท้ายกันไปด้วย ภาพบางส่วนจาก Pro Mode ของ Note5 ครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
สามารถติดตามรูปอื่นๆจาก Note5 ได้จาก instagram : lightculture ครับ
[SR] แนะนำการใช้ Pro Mode ใน Note5
**บทความนี้ได้รับการสนับสนุนเครื่อง Samsung Galaxy Note5 จากทางซัมซุงเพื่อเอามาใช้ในการทดสอบครับ**
หลังจากกระทู้ที่แล้วผมเทสกล้อง Note5 ในสภาพแสงน้อยกันไปแล้ว
( ppantip.com/topic/34169000 )
วันนี้ผมจะมาแนะนำการใช้ Pro Mode ใน Note5 กันครับ ซึ่งมีบางส่วนที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าใน S6
(ภาพทุกภาพเป็นไฟล์ดิบจาก Note5 ย่อไฟล์โดย PS)
จะเห็นว่าหน้าตาใกล้เคียงกับ Mode ใน S6 มาก แต่มีจุดที่เพิ่มมา 3 จุด คือ
เพิ่มฟังก์ชั่นบางอย่างใน Pro Mode เพิ่ม Video collage และ Live broadcast
แต่กระทู้นี้ ผมขออธิบายสิ่งที่เพิ่มเติมมาใน Pro Mode ของ Note5 อย่างเดียวก่อนละกันครับ
จุดที่ได้รับการปรับปรุงจุดแรก คือ Pro mode ใน Note5 สามารถควบคุม Shutter Speed ได้แล้ว (ซึ่งจริงๆควรจะทำได้มาตั้งแต่ S6)
และ Pro mode ใน Note5 ยกเลิกการปรับความสว่างแบบ Auto แล้ว (ซึ่งก็เป็นจุดที่ควรจะทำได้ตั้งแต่ใน S6 เช่นกัน)
Exposure ใน Note5 จึงทำหน้าที่แค่เป็นตัวบอกความสว่างให้กับเรา เหมือนแถบวัดแสงในกล้อง DSLR
ข้อดีของการที่เราควบคุม Shutter Speed ได้เองคือ เราสามารถถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวโดยไม่เบลอได้ง่ายขึ้น
ส่วนความสว่างต้องควบคุมที่ iso เอา (Note5 ยังควบคุมรูรับแสงไม่ได้)
ส่วนการปรับ White balance ใน Note5 ก็ทำได้ละเอียดและดูดีขึ้น
สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นช่างภาพอาจจะงง ว่าการปรับ White Balance ได้มีข้อดียังไง
นอกจากการเอาไว้ปรับให้สีตรง (ไม่อมเหลือง อมฟ้าเกินไป) การใช้ White Balance ต่างกัน ยังให้อารมณ์ภาพต่างกันอีกด้วยครับ
ตัวอย่างเช่น
จะเห็นว่า ที่เดียวกัน มุมเดียวกัน แค่เปลี่ยนสี อารมณ์ก็เปลี่ยนไปครับ
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ Pro Mode ใน Note5 สามารถถ่ายภาพเป็น RAW (.dng ขนาดประมาณ 32 MB ) ได้
ซึ่งทำให้มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง (ในคอม) มากขึ้น แต่เท่าที่ลองใช้ ไฟล์ยังไม่เหมาะกับการถ่ายในที่แสงน้อยดัน iso สูงๆ
เพราะ noise เยอะมาก จนใช้ jpg ดีกว่ามาก
ส่วนใครไม่ได้เอาไปแต่งต่อในคอม ใช้ JPG เหมือนเดิมเถอะ ง่ายกว่า
โดยก่อนใช้ต้องเข้าไปตั้งค่า Setting ใน Pro Mode ก่อน และกล้องจะเซฟไฟล์ไว้ทั้ง raw + JPG
ภาพด้านซ้ายคือ JPG ด้านขวาคือ Raw ถ่ายที่ speed 1/125s iso800 ถ่ายตอนกลางคืน ในสภาพแสงน้อย มีเพียงไฟสีส้มจากเพดาน
จะเห็นว่า raw ที่ iso 800 เกิด noise เยอะมาก แก้ใน LR PS ยังไง ก็สู้ JPG จากกล้องไม่ได้ (เพราะฉะนั้นตอนแสงน้อยใช้ JPG น่าจะดีกว่าครับ)
แต่ถ้าตอนกลางวัน ใครอยากเอามาแต่งต่อในคอม ก็อัด RAW ได้เลย
iso ต่ำสุดที่ Note5 ทำได้คือ 50 และสูงสุดที่ 800
Manual Focus ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต่างจากใน S6 เหมาะกับเอาไว้ถ่ายอาหาร หรือของที่อยู่นิ่งๆ
หรือถ่ายเม็ดฝนบนหน้าต่าง ถ่ายโบเก้ อะไรแบบนั้นครับ
การซูม สามารถซูมได้สูงสุดที่ 8X (Digital Zoom) แต่คุณภาพก็จะลดลงตามลำดับ
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงคือ Live HDR คือการแสดงภาพ HDR ให้เราเห็นเลยก่อนกดถ่าย เพื่อตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้
อันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนจากใน S6 ครับ เหมาะกับการถ่ายย้อนแสง หรือในสภาพที่ความต่างแสงสูงๆ
สรุปแล้ว Note5 นอกจากเรื่องขีดๆเขียนๆที่โปรโมทกันแล้ว ผมว่ากล้องและฟังก์ชั่นต่างๆของกล้อง
กลับทำได้ดีกว่าใน S6 เสียอีก แต่น่าแปลกใจที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง
สำหรับใครที่อยากอ่านวิธีใช้งาน Pro Mode แบบละเอียด ขอเชิญที่นี่เลยครับซึ่งจะละเอียดกว่า (เขียนไว้ตอน S6)
ppantip.com/topic/33920138/
ปิดท้ายกันไปด้วย ภาพบางส่วนจาก Pro Mode ของ Note5 ครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
สามารถติดตามรูปอื่นๆจาก Note5 ได้จาก instagram : lightculture ครับ