Torm Adventure: แกะรอยกอริลล่าภูเขาในรวันดา ยูกันดา การเดินทางวันแรก กรุงเทพสู่คิกาลี่ อุทยานแห่งชาติภูเขาไฟ รีวิวที่พัก

การเดินทางเริ่มจากสายการบินเคนย่าแอร์เวยส์ จากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ เวลาตีสอง ตรงไปยังกรุงไนโรบี ประเทศเคนย่า ใช้เวลาบิน 8 ชั่วโมงครึ่ง เครื่องบินถึงเคนย่าก่อน 7 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกสบาย เครื่องบินใหม่ดรีมไลน์เนอร์ 787 ที่นั่งกว้างขวาง บริการดีเยี่ยมตามสไตล์คนแอฟริกาที่มีหัวใจบริการเต็มเปี่ยม รอต่อเครื่องเพียงชั่วโมงเดียว ก็บินต่อจากไนโรบี เคนย่า ข้ามทะเลสาบวิกตอเรีย ผ่านวิวน้ำและภูเขาไปยังกรุงคิกาลี่ เมืองหลวงของรวันดา ซึ่งใช้เวลาอีกเพียง 1 ชั่วโมงเศษ มาถึงเวลา 8 โมงตามเวลาท้องถิ่น (เวลาที่เคนย่าเร็วกว่ารวันดา 1 ชั่วโมง)

กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวไทย ต้องทำวีซ่า East Africa สามารถเข้าได้ 3 ประเทศ คือ รวันดา ยูกันดา และเคนย่า ซึ่งทำได้ 2 วิธี คือ ผ่านเวปไซด์ของสถานทูตรวันดา เพียงกรอกใบสมัครและแนบตารางการเดินทาง สถานทูตจะส่งเอกสารรับรองการทำวีซ่ามาทางอีเมลล์ เพื่อยื่นที่ตรวจคนเข้าเมืองสนามบินคิกาลี่ และเสียค่าใช้จ่าย 100 ดอลล่าร์สหรัฐต่อคน แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะทำวีซ่าแปะให้ในเล่มพาสปอร์ต อีกวิธีคือเดินทางไปทำวีซ่าที่สถานทูตเคนย่าในกรุงเทพฯ และรับวีซ่าในพาสปอร์ตเลยก่อนออกเดินทาง เสียค่าใช้จ่าย 3000 บาท

เมื่อออกมาด้านนอก พบชายหนุ่มร่างท้วมหน้าตายิ้มแย้มยืนรออยู่พร้อมกระดาษที่มีชื่อเรา ชายหนุ่มผู้นี้ชื่อ Faroug จะเป็นทั้งคนขับรถและไกด์นำทางให้เราตลอดการเดินทาง รถที่เค้าใช้มารับเราคือมินิแวนที่ไม่ใหม่เท่าไหร่ แต่ข้างในสะอาด มีน้ำเปล่าบรรจุขวดเตรียมไว้ให้เรามากมาย Faroug พูกภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว เค้าเล่าว่าภาษา Swahili ซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองแอฟริกากลับไม่เป็นที่นิยมพูดในรวันดา เพราะเป็นภาษาที่พวกทหารเคยสั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเหี้ยมโหด ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาทางการ และใช้ในหมู่ประชาชนทั่วไป

ออกจากสนามบินที่กรุงคิกาลี่ประมาณ 9 โมงเช้า อากาศเย็นสบายประมาณ 20 องศา แดดอ่อนๆ สดชื่นเป็นที่สุด นี่หรือรวันดา ประเทศที่เคยผ่านสงครามกลางเมืองเมื่อ 15 ปีก่อนจนถึงขั้นมีการนองเลือด และเป็นที่มาของความทรงจำที่เลวร้ายเกี่ยวกับประเทศรวันดาสำหรับชาวโลก มองไปรอบด้าน ถนนออกจากสนามบินเป็นถนนลาดยาง 4 เลน ไปกลับ มีเกาะกลางถนนปลูกต้นไม้สะอาดเรียบร้อย บ้านเมืองเต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ เห็นบ้านชาวบ้านเป็นเพิงสีน้ำตาล ฝุ่นแดงทั่วไปตามประสาประเทศด้อยพัฒนา ผู้คนเดินขวักไขว่ทำกิจกรรมต่างๆ ตามท้องถนน มีตึกบ้างแต่เป็นลักษณะตึกแถวไม่กี่ชั้น มีตลาดขายของแบบแบกะดิน และร้านค้าโชว์ห่วยทั่วไป ปริมาณรถบนถนนมีไม่มาก มีมอเตอร์ไซด์และจักรยานประปราย มองไปลิบๆ เห็นบ้านเรือนเป็นเพิงเกาะตามไหล่เขาทั่วไป มีตึกสูงน้อยมาก ไม่ค่อยเห็นพื้นที่สีเขียวเท่าไหร่ ประชากรที่คิกาลี่มีเพียงล้านเศษ รวันดาเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรทั้งประเทศเพียง 12 ล้านคนเท่านั้น (ทั้งประเทศมีคนน้อยกว่ากรุงเทพฯ ซะอีก)

ที่แรกที่เราจะไปเยี่ยมชมในเมืองหลวงของรวันดาคือ พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Kigali Genocide Memorial) ซึ่งบัดนี้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจและเตือนใจให้คนรวันดาเอาบทเรียนอันเลวร้ายมาเปลี่ยนเป็นแรงสามัคคี พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนเนินสูงที่มองเห็นเมืองคิกาลี่แผ่อยู่เบื้องหน้า

ตัวพิพิธภัณฑ์ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือส่วนด้านนอก ลักษณะเป็นสวน ที่มีการรวบรวมศพจำนวนกว่า 2 แสนศพที่เสียชีวิตตามที่ต่างๆ และถูกทิ้งในช่วงสงครามกลางเมือง มาทำพิธีทางศาสนาและฝังรวมกัน เพื่อให้ครอบครัวและประชาชนมาระลึกถึง โดยมีส่วนที่เป็นรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้งหมดกว่าล้านคน และส่วนที่เป็นหลุมฝังศพรวม ซึ่งไม่มีอะไรน่ากลัว เพียงมีธงรูปไม้กางเขนคลุมอยู่ มีดอกไม้ของญาติผู้เสียชีวิตนำมาเคารพ ด้านในตึกพิพิธภัณฑ์ ได้รับการจัดทำอย่างสวยงาม เป็นทางเดินวน พร้อมผนังที่ให้ข้อมูล รูป และวีดีโอสั้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อธิบายสาเหตุและผลของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปีค.ศ. 1994 ที่กินเวลา 100 วัน พร้อมห้องที่มีสิ่งของ หัวกะโหลก และรูปถ่ายของผู้เสียชีวิตที่มอบให้โดยครอบครัวผู้เสียชีวิต เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจไม่ให้เรื่องเลวร้ายแบบนี้เกิดขึ้นในรวันดาอีก

คติเตือนใจที่พิพิธภัณฑ์นี้สื่อก็คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ได้เกิดจากคำสั่งหรือน้ำมือของคนๆเดียว แต่เป็นการกระทำร่วมกันของคนทั้งสังคมที่พร้อมจะหยิบอาวุธเพื่อทำร้ายเพื่อนบ้านเยี่ยงฆาตกรใจโหด ถือเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์รวันดา ผลลัพธ์คือ ประเทศเสียหายย่อยยับ บ้านแตกสาแหรกขาด เด็กกำพร้ามากมาย ประเทศเป็นหนี้ และใช้เวลานานมากในการฟื้นฟูทั้งทางกายภาพและสถานะทางจิตใจของผู้ฆ่าและผู้รอดชีวิต เป็นบทเรียนสำคัญให้กับชาวรวันดารุ่นหลัง ให้มีความสามัคคีเพื่อสร้างสันติภาพและชาติใหม่อีกครั้ง

เราใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์นี้ 1 ชั่วโมงครึ่ง ประมาณ 11 โมง จึงเดินทางออกจากเมืองหลวงคิกาลี่ ไปที่เขต Kinigi ซึ่งห่างไป 105 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟ (Volcanoes National Park หรือ Parc National des Volcans) ซึ่งอยู่ในเขตแดนของ 3 ประเทศ คือ รวันดา ยูกันดา (Mgahinga Gorilla National Park) และคองโก (Virunga National Park) อันเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลกของลิงกอริลล่าภูเขา ถือเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในแอฟริกา เพื่อปกป้องกอริลล่าจากการถูกฆ่า อุทยานล้อมรอบไปด้วยภูเขาไฟแห่งเทือกเขา Virunga 5 ลูก ได้แก่ Mount Karisimbi (สูง 4507 เมตรจากระดับน้ำทะเล), Mount Bisoke (3711 เมตร), Mount Muhabura (4127 เมตร), Mount Gahinga (3474 เมตร) และ Mount Sabyinyo (3645 เมตร) ในเขตป่าดิบชื้น และป่าไผ่ที่เป็นอาหารโปรดของพวกกอริลล่า

ถนนทางไปลาดยางดี ไต่ไปตามไหล่เขา เคี้ยวคดไปตามทุ่ง ลำน้ำ ไร่นาเขียวชอุ่ม ชาวบ้านแต่งตัวด้วยสีสันสวยสด ทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ไม่ห่างจากถนน ผู้หญิงและเด็กแบกของเทินบนหัวอย่างคล่องแคล่วมั่นคง

กิจกรรมที่เห็นมากที่สุดก็คือ การขนน้ำจากท่อประปาสาธารณะไปยังบ้านของตน รวันดาสามารถพัฒนาระบบประปาจากรายได้การท่องเที่ยวดูกอริลล่า แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเดินท่อไปยังบ้านและเพิงทุกหลัง ชาวบ้านจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนำกระป๋องน้ำพลาสติกสีเหลือง ที่เรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า jerica มารองน้ำจากท่อประปาสาธารณะ และเทินบนหัวกลับไปใช้ในครัวเรือนของตน แทนการไปหาน้ำจากแหล่งธรรมชาติเหมือนแต่ก่อน

เราดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติเขียวชอุ่มและภูเขาไฟรอบตัว เพียง 2 ชั่วโมงก็ถึงที่พักที่ Mountain Gorilla View Lodge ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟ ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2200-4000 เมตร ก้าวแรกที่ลงจากรถเข้าไปในที่พัก อากาศเย็นและชื้นกว่าที่เมืองหลวงมาก อุณหภูมิประมาณ 15 องศา ตัวล้อบบี้โรงแรมสร้างด้วยเสาไม้ พื้นหิน หลังคาสูง ตกแต่งด้วยวัสดุพื้นเมือง มีรูปภาพและรูปปั้นกอริลล่าประดับทั่วไป

เลยจากเคาน์เตอร์เช็คอิน มีเก้าอี้โซฟาหนังและเก้าอี้นั่งทำจากไม้ ล้อมเตาผิงซึ่งอยู่ตรงกลาง ถัดไปเป็นห้องอาหาร มองจากระเบียงด้านนอกออกไปเห็นสนามหญ้าใหญ่ มีภูเขาไฟ Sabyinyo ตั้งตระหง่านเป็นแบ็คกราวน์

ห้องพักเป็นกระท่อมหินมุงหลังคาด้วยหญ้า ตั้งเรียงรายเป็นหลัง มีทางเดินต่อกัน เราได้กระท่อมหลังที่ 6 ซึ่งเห็นวิวภูเขาไฟจากห้องนอนสวยงาม ห้องมีขนาดใหญ่ เตียงนุ่มสบาย มีเตาผิง ส่วนนั่งเล่น และโต๊ะทำงาน มีห้องน้ำสะอาดแม้ไม่หรูหรา เราจะพักที่นี่ 3 คืน เพื่อไปบุกป่าตามหาลิงกอริลล่าภูเขา

ทุกวันตอน 5 โมงเย็น โรงแรมมีจัดเต้นโชว์ในสนามหญ้าโดยเด็กนักเรียนท้องถิ่นที่มาหารายได้พิเศษ การแสดงมีหลายชุด ชุดนึงเป็นเด็กผู้ชายใส่ผมที่ทำจากหญ้าสีทองยาวๆ พร้อมหอกและโล่ไม้ มาเต้นสะบัดหัวและกระโดดสูง อีกชุดเป็นเด็กหญิง เต้นพร้อมไหเทินบนหัวอย่างชำนาญ ไหไม่หล่นเลย  เด็กๆ ตั้งใจเต้นมาก จังหวะเร้าใจ และสนุกกันเองด้วย ทำให้คนดูสนุกยิ้มหัวเราะตาม หลังจากนั้นก็เชิญคนดู ซึ่งคือแขกที่พักออกไปเต้นร่วมกัน ตอนดูเค้าเต้นก็สนุก แต่พอมาเต้นด้วยที่ความสูงกว่า 2000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลนี่ก็เหนื่อยใช้ได้ การแสดงเป็นที่สนุกสนานทั้งคนเต้นคนดูกันทั่วหน้า

ที่พักในรวันดาและยูกันดาจะรวมอาหารทุกมื้อแล้ว เนื่องจากไม่มีร้านขายอาหารทั่วไป อาหารที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ มีให้เลือกหลากหลาย คนพื้นเมืองกินมันฝรั่งชนิดต่างๆ ผักขม ถั่วสีน้ำตาล มันสำปะหลัง ปลาจากทะเลสาบ และกล้วยดิบต้มแล้วนำมาบดคล้ายมันบด เรียกว่า matokke เนื้อสัตว์ถือเป็นของแพง จึงไม่กินกันเยอะ อาหารที่โรงแรมนี้ก็สะท้อนสิ่งที่ชาวพื้นเมืองกินกัน คือจะมีมันฝรั่งแบบต่างๆ ผักอบชนิดต่างๆ ข้าวขาวเม็ดยาวร่วนๆ ผลไม้มาก มีพวกแฮม ไข่ ขนมเค้ก ขนมคัสตาดหลากหลาย มีปลาทอดปลาย่างปลาอบ ส่วนเนื้อสัตว์จะแยกออกเป็นอาหารตามสั่ง มีเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อแกะ โดยพ่อครัวจะยืนประจำสถานีเนื้อสัตว์ เมื่อจะเอาอะไรก็บอกให้เค้าผัดให้โดยปรุงรสตามสั่งได้ รสชาติอาหารอร่อยใช้ได้

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าประมาณ 6 โมงกว่า อากาศเย็นลงอย่างชัดเจนและรวดเร็วเหลือ 6-8 องศา พนักงานโรงแรมจุดเตาผิงให้แขกหลายจุด และไปจุดในห้องนอนของทุกคนด้วย วิธีจุดก็เป็นแบบดั้งเดิม คือ มีฟืนไม้แท้ๆ แบกกันมา มีไม้ขีดและฟาง มีถ่านติดไฟในการช่วยจุด ทำให้ห้องอบอุ่นและหอมไม้ทั่วไปหมด เป็นบรรยากาศที่รู้สึกเหมือนอยู่ป่าจริงๆ คืนแรกรีบเข้านอนเก็บแรง วันรุ่งขึ้นเป็นวันสำคัญที่จะได้เห็นกอริลล่าตัวเป็นๆ ในบ้านของมันตามธรรมชาติเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่