ศึกษา เรียนรู้ อิสลาม (เพื่อความเข้าใจสำหรับชาวต่างศาสนิกมากขึ้น) ตอน 3

กระทู้สนทนา
จากความเข้าใจในเรื่อง หลักศรัทธา 6 ประการ อันเป็นพื้นฐานสำคัญสู่ความเข้าใจในอิสลาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ การศรัทธาใน"การมีอยู่ของพระเจ้า" ผู้ทรงสร้างและกำหนดสรรพสิ่งต่างๆ
ระบบนิเวศ ระบบสุริยจักรวาล แม้กระทั่งกลไกต่างๆในร่างกายมนุษย์ ต่างล้วนมีความ"ซับซ้อน"และ"มหัศจรรย์"
เกินกว่าจะเกิดขึ้นได้เพียงเพราะ "ความบังเอิญ" ดังเช่นตัวอย่างคลิปนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

และจากตอนที่ 1, 2 ที่ได้หยิบยกตัวอย่างบางส่วนของคัมภีร์อัลกุอาน(พระวจนจากพระเจ้า)
อันเปรียบเสมือนกุญแจ"หลัก"ในการไขประตูสู่อิสลามแล้ว ยังมีกุญแจรองที่สำคัญอันดับต่อมาก็คือ ซุนนะห์นบี ที่หมายถึงพระวจนจากท่านศาสดาหรือแนวทางการประพฤติปฏิบัติของท่านศาสดามูฮำหมัด(ซ.ล) นั่นเองครับ

ดังอายะฮฺ(โองการ)จากอัลกุรอานตอนหนึ่งว่า  :" โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺนั้น มีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว "
ส่วนหนึ่งของซูเราะห์อัลอะห์ซาบ : อายะห์ที่ 21

และส่วนหนึ่งจากคำสั่งเสียของท่านร่อซู้ล ศ็อลฯ ความว่า :
โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านจงรำลึกและจดจำในสิ่งที่ฉันพูด  มุสลิมทุกคนนั้นมีฐานะเป็นพี่น้องกัน พวกท่านทั้งหลายต่างมีความพอใจในสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบที่เรามีอยู่เสมอหน้ากัน พวกท่านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสังคมพี่น้องเดียวกัน จงปกป้องตัวของท่านให้ห่างไกลจากความอยุติธรรมในทุกกรณี  แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนึ่งแก่พวกท่านซึ่งหากพวกท่านยึดเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว ท่านทั้งหลายจะไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่หลงผิดเป็นอันขาด สิ่งนั้นคืออัลกุรอาน และสุนนะฮของฉัน  الصلاة จงละหมาดกัน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จงละหมาดกันอย่าให้ขาด จงละหมาด ให้ตรงตามเวลาของมัน   وماملكت أيمانكم   และจงระมัดะวังสิ่งต่างๆ สำหรับสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายรับผิดชอบปกครอง จงปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ในความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า จงหลีกห่างออกจากความชั่วต่างๆ และจงรักษาความศรัทธาเชื่อมั่นให้คงไว้ในจิตใจ  หลังจากฉันแล้วจะไม่มีนบีอีก โอ้ ท่านทั้งหลายจงสดับฟังถ้อยคำของฉัน จงรู้เถิดว่ามวลมุสลิมนั้น ย่อมเป็นพี่น้องกันและจงรู้เถิดว่า บรรดามุสลิม ก็คือภราดรภาพอันหนึ่งอันเดียวกัน ประเพณีต่างๆที่นิยมกันอยู่ในสมัยโง่เขลา ก่อนจากอิสลามนั้นถูกล้มเลิกไปแล้ว ชาวอาหรับมิได้เหนือกว่าชนชาติอื่น และชนชาติอื่นก็มิได้เหนือกว่าชาวอาหรับ ท่านทั้งหลายต่างสืบเชื้อสายมาจากอาดัม และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน และแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นมีพระองค์เดียว หากเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องจากพวกท่านไปแล้วพวกท่านจงอย่าได้หันกลับไปต่อสู่เป็นศัตรูหลั่งเลือดกัน จงยึดมั่นในซุนนะฮฺ(แนวทาง)ของฉัน จงระมัดระวังให้ห่างไกลจากสิ่งอุตริกรรม และจงกัดมันด้วยฟันกราม(ยึดมั่นอย่างหนักแน่น) เถิด

โดยซุนนะห์หรือแบบอย่างจากท่านนบีนี้ เราอาจศึกษาได้จากหนังสือ"ริยาดุซซอลิฮีน"ซึ่งเป็นหนังสือฮะดิษ(คำพูด แบบอย่างการกระทำต่างๆหรือการยอมรับของท่านนบี) ที่พูดเกี่ยวกับคุณงามความดีและหลักการต่างๆ ที่สามารถนำมาปฏิบัติกันได้เลย
ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ครับ


บทที่ว่าด้วยการตั้งเจตนา

รายงานจาก อะมีริลมุอมีนีน อะบีฮัฟซิน กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลลุลอฮ ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“การงานต่างๆนั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และทุกคนจะได้รับการตอบแทนตามที่เขาได้ตั้งใจ หากผู้ใดที่การอพยพของเขาเป็นไปเพื่ออัลลอฮ และร่อซูลของพระองค์ การอพยพของเขาก็จะเป็นไปเพื่ออัลลอฮและร่อซูลของพระองค์ และหากผู้ใดที่การอพยพของเขาเป็นไปเพื่อความประสงค์ทางโลกที่เขาจะประสบกับมัน หรือเพื่อผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วย การอพยพของเขาก็จะเป็นไปตามความประสงค์ที่เขาอพยพไป” (บันทึกโดยบุคคอรีย์ มุสลิม)

ท่านฏอบรอนีย์ ได้รายงานถึงสาเหตุของฮะดีษนี้ด้วยสายรายงานที่เชือถือได้ จากอิบนิมัสอูด กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งได้หมั้นหญิงคนหนึ่งชื่อว่า อุมมุกอยซ และนางได้ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับชายนั้น จนกระทั่งนางได้อพยพออกจากมักกะฮไปมะดีนะฮ ชายนั้นก็อพยพตาม และได้แต่งงานกับนาง ดังนั้นเราจึงให้ชื่อชายผู้นั้นว่า "ผู้อพยพเพื่ออุมมุกอยซฺ" และกล่าวว่าหญิงผู้นั้นได้ชื่อว่า "กอยละฮ"

ดังนั้นผู้ศรัทธาในวันแห่งการตอบแทนของอัลลอฮ ในการทีเขาจะทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใดจำเป็นที่เขาจะต้องตั้งเจตนาให้เป็นไปเพื่ออัลลอฮและร่อซูลของพระองค์ และด้วยกับความอ่อนแอของตัวเราอาจทำให้มีการหลงลืม เช่น ทำเพื่อหวังคำสรรเสริญ คำชม หรือผลประโยชน์ทางโลกต่างๆ โดยไม่ได้มีจิตใจบริสุทธิ์เพื่อพระองค์ จึงจำเป็นต้องย้ำกันตลอดในเรื่องเจตนา ความตั้งใจในหมู่ผู้ศรัทธาด้วยกัน


บทที่ว่าด้วยความพอเพียง

มีรายงานจากท่านอัมรฺ อิบนิ เอาฟฺ อัลอันซอรี  กล่าวว่า ท่านรอซูล  กล่าวว่า :
ท่านทั้งหลาย จงรับแจ้งข่าวดี และท่านทั้งหลาย จงคาดหวังสิ่งที่จะทำให้ท่านทั้งหลาย ปิติยินดีเถิด ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ ว่า ฉัน (ท่านรอซูล) ไม่ได้หวั่นกลัวว่า ความจนจะประสบ กับพวกท่านทั้งหลาย แต่ฉันหวั่นกลัวว่า พวกท่านทั้งหลาย จะได้รับริสกี(ปัจจัยยังชีพต่างๆ)ที่มากมาย ในโลกดุนยา(โลกนี้) เฉกเช่นที่บรรดาชนรุ่นก่อน เคยได้รับมาแล้ว แล้วพวกท่านทั้งหลาย ต่างแก่งแย่งชิงดี เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขสบาย ในโลกดุนยา เช่นเดียวกับที่ชนรุ่นก่อน เคยแก่งแย่งชิงดีกัน แล้วดุนยาก็จะทำให้พวกท่านทั้งหลาย ได้รับความหายนะ เหมือนกับที่ได้ทำให้ บรรดาชนรุ่นก่อน ได้รับความหายนะ มาแล้ว บันทึกโดยอิมามอัลบุคอรีย์ และอิมามมุสลิม

เล่าจากอัลดิ้ลลาห์ บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า : ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล.)นอนอยู่บนเสื่อผืนหนึ่ง ต่อมาท่านได้ลุกขึ้น โดยมีรอยเสื่อติดอยู่ที่สีข้างของท่าน พวกเรากล่าวว่า ถ้าหากเราจะทำที่นอน มาให้ท่านจะว่าอย่างไร ท่านตอบว่า "ฉันมีอะไรกับโลกนี้หรือ? ฉันอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่อื่นใดเลย นอกจากมีสภาพเหมือนคนที่ขี่พาหนะ และหลบเข้าไปอยู่ในร่มเงาของเงาไม้ต้นหนึ่ง อีกไม่นานเขาก็จะจากไปและทิ้งต้นไม้ไว้" รายงานโดยติรมีซีย์ เป็นฮะดีษฮะซัน ซอเฮียะห์

และเล่าจากเขา(อบีฮุรอยเราะห์)ว่า : ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล.) กล่าวว่า : "พวกท่านจงมองดูคนที่มีฐานะต่ำกว่าพวกท่าน และท่านทั้งหลายอย่ามองดูคนที่มีฐานะสูงกว่าพวกท่าน มันถูกต้องแล้วที่พวกท่านจะต้องไม่ดูหมิ่นความโปรดปรานของอัลเลาะห์ที่มอบให้แก่พวกท่าน" รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม

เล่าจาก อะบีมูฮำหมัด ฟะดอละห์ บุตรอุบัยด์ อัลอันซอรีย์(ร.ด.)ว่า : เขาได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล.)กล่าวว่า : "โชคดีเป็นของผู้ที่ได้รับการชี้นำให้ได้รับอิสลาม เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่พอควร และพอใจในสิ่งที่ตนได้รับ" รายงานโดยติรมีซีย์ และกว่าว่าเป็นฮะดีษฮะซัน ซอเฮียะฮ์


บทที่ว่าด้วยความอดทน (ซอบร์)

เล่าจากอะนัส  ว่า : ท่านนบี  เดินผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กำลังร้องไห้ อยู่ที่หลุมฝังศพ ท่านได้กล่าว ความว่า :“เธอจงยำเกรงอัลเลาะห์ และจงอดทนเถิด” หล่อนได้กล่าวว่า : ท่านจงไปให้พ้น เพราะท่านไม่ได้ประสบกับพิบัติ เช่นฉัน!โดยหล่อนไม่รู้ว่า คนที่หล่อนพูดด้วยนั้น คือท่านนบี ต่อมา ได้มีผู้บอกแก่นางว่า : นั่นคือท่านนบี  หล่อนจึงไปหาท่านนบี  ที่ประตูบ้าน โดยหล่อนไม่พบว่า มีคนเฝ้าประต ูที่บ้านของท่านเลย หล่อนได้กล่าวว่า : ฉันไม่รู้ว่าเป็นท่าน ท่านได้กล่าวความว่า : “ที่จะเป็นความอดทน ที่แท้จริงนั้น คือ ขณะที่พบกับความหายนะ เป็นครั้งแรก” รายงานโดยบุคอรีย์และมุสลิม

เล่าจากอะบียะห์ยา ซุฮัยบ์ บุตร ซินาน  ว่า : ท่านรอซูลุลลอฮ์  ได้กล่าวความว่า : “กิจกรรมของผู้ศรัทธานั้น ช่างประหลาดเหลือเกิน เพราะกิจกรรมของเขาทั้งหมดนั้น เป็นความดี แก่ตัวเขาทั้งสิ้น ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้น แก่ผู้ใด นอกจากผู้ศรัทธาเท่านั้น ถ้าหากเขาได้รับสิ่ง ที่น่าปลาบปลื้มยินดี เขาก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของอัลเลาะห์ นั่นเป็นความดีสำหรับเขา และถ้าหากมีสิ่ง ไม่พึงประสงค์ เกิดขึ้นกับเขา เขาก็อดทน นั่นก็เป็นความดี สำหรับเขาอีกเช่นกัน” รายงานโดยมุสลิม


บทที่ว่าด้วยการออกห่างจากสิ่งที่คลุมเครือว่าจะเป็นสิ่งหะรอม(สิ่งต้องห้ามหรือสิ่งที่เป็นบาปต่างๆ)

จากอบี อับดิลลาฮฺ อันนุอฺมาน บนบะชีร รอดิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินจากท่านรอซูลลุลลอฮ ซ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “แท้จริง สิ่งที่ฮะลาล(อนุญาต)นั้นชัดแจ้ง และสิ่งที่ฮะรอม(ห้าม)นั้นชัดแจ้ง แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองสิ่งนั้น เป็นความคลุมเครือ ซึ่งคนส่วนมากไม่รู้ ดังนั้น ถ้าผู้ใดที่ระวังสิ่งคลุมเครือ ก็เท่ากับเขาป้องกันศาสนาของเขาและเกียรติของเขาให้บริสุทธิ์ แต่ผู้ใดที่เข้าไปสู่สิ่งคลุมเครือ เท่ากับเขาก้าวเข้าสู่สิ่งฮะรอมแล้ว ดังเช่นผู้เลี้ยงสัตว์ ที่เลี้ยงสัตว์อยู่รอบเขตสงวน ที่มันอาจจะล้ำเข้าไปในเขตนั้นได้ พึงระวังไว้เถิด เพราะแท้จริงกษัตริย์ทุกพระองค์ต่างก็มีเขตสงวนของตน ทว่าแท้จริงเขตสงวนของอัลลอฮฺนั้น ก็คือสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้(ทรงกำหนดให้เป็นสิ่งที่ฮะรอม)
บันทึกโดย อัลบุคอรีและมุสลิม


บทที่ว่าด้วยความประเสริฐของความหวัง

เล่าจากอะนัส(ร.ด)ว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ (ซ.ล.) กล่าวว่า "อัลเลาะห์ตาอาลา ทรงตรัสว่า โอ้ลูกหลานของอาดัม ความจริงตั้งแต่เจ้าวิงวอนขอต่อเรา และมุ่งหวังจากเรานั้น เราได้อภัยโทษบาปที่เจ้าได้ก่อขึ้น ให้แก่เจ้าแล้ว และเราจะไม่หวั่นไหว(ว่ามันมีมากมายเท่าใด) ขออภัยโทษต่อเรา เราก็จะให้อภัยแก่เจ้า โอ้ลูกหลานของอาดัม ถ้าหากเจ้ามาหาเราในสภาพที่มีความผิดเต็มแผ่นดิน แล้วเจ้าได้มาพบกับเราโดยไม่ได้นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับเรา เราก็จะมอบการอภัยโทษให้เจ้าเต็มแผ่นดิน เช่นเดียวกัน" รายงานโดยติรมีซีย์ และกล่าวว่าเป็นหะดีษฮะซัน


บทที่ว่าด้วยความกลัว

เล่าจากอิบนิมัสอูด(ร.ด.)ว่า : ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล.) ซึ่งท่านเป็นผู้มีสัจจะ และได้รับการยืนยันว่ามีสัจจะได้เล่าให้พวกเราฟังว่า : "ความจริงคนหนึ่งคนใดในพวกท่านั้นธาตุที่จะนำมาสร้างเขาจะถูกนำมารวมไว้ในท้องมารดาเป็นเวลาสี่สิบวันในสภาพของการปฏิสนธิ(นุตฟะห์) หลังจากนั้นจะมีสภาพเป็นก้อนเลือดในระยะเวลาเท่ากัน หลังจากนั้นจะมีสภาพเป็นก้อนเนื้อในระยะเวลาเท่ากัน หลังจากนั้น มลาอีกะห์ จะถูกส่งมา จะเป่าวิญญาณเข้าไปในตัวของเขา กำหนดความตายของเขา การกระทำของเขา และเป็นคนดีหรือคนเลว ..." รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอาอิชะห์(ร.ด.)ว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ(ซ.ล.) กล่าวว่า "ในวันกิยามะห์ ผู้คนจะถูกไล่ต้อนไปรวมกันในสภาพที่เท้าเปล่า เปลือยกาย ไม่ได้ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ฉันจึงถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺแล้วบรรดาพวกผู้หญิง และผู้ชายทั้งหมด จะไม่มองดูกันหรือ !" ท่านตอบว่า : อาอิชะฮฺเอ๋ย ความโกลาหล(สะพรึงกลัวในบาปต่างๆที่ตนเคยกระทำไว้)ในวันนั้นมันมากเกินกว่าที่จะทำให้พวกเขาสนใจมองในเรื่องดังกล่าวกันได้อยู่อีก" ในบางรายงานกว่าวว่า, มีสิ่งสำคัญเกิดขึ้นเกินกว่าจะทำให้พวกเขามาสนใจมองดูกันเอง รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม


บทที่ว่าด้วยสตรี

รายงานจากอบีฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า : “ท่านทั้งหลาย จงรับคำสั่งเสียของฉัน ที่ให้ปฏิบัติต่อสตรีด้วยดีไว้เถิด แท้จริงสตรีถูกบังเกิดมาจากซี่โครง (หมายถึง อัลเลาะห์ทรงบังเกิดฮาวา มาจากซี่โครงของอาดัม) และแท้จริงซี่โครงที่งอที่สุดนั้นก็คือ อันที่อยู่ด้านบน (หมายถึงอันตรายของสตรีนั้นอยู่ที่ลิ้ของนาง) ถ้าหากท่านดัดซี่โครงอันบนให้ตรงท่านก็ต้องหักมัน (เพราะมันไม่สามารถรับการดัดให้ตรงได้) ถ้าหากท่านปล่อยไว้ (โดยไม่ดัดใดๆเลย) มันก็จะคงอยู่แบบโค้งงอตามสภาพ ดังนั้นท่านทังหลายจงรับคำสั่งเสียของฉัน ที่ให้ปฏิบัติต่อสตรีด้วยดีไว้เถิด”

(บันทึกโดยบุคอรีย์ และมุสลิม)
ดูในบุคอรีย์ เล่ม 6 หน้า 261 , 262 และดูในมุสลิม หะดีษเลขที่ 1468

และยังมีหะดีษอื่นๆอีกมากมายให้ได้ศึกษาและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่