นี่หรือ สิ่งที่บริษัทประกันชีวิตเพื่อหัวคิดทันสมัย ทำกับลูกค้า

รบกวนสอบถามผู้รู้ค่ะ ไม่ทราบว่า เรากำลังโดนบริษัทประกันแห่งหนึ่งเอาเปรียบอยู่รึเปล่า

เรื่องเกิดขึ้นวันนี้เองค่ะ ลูกสาวจะออกจากโรงพยาบาล แต่เคลมประกันไม่ได้ บริษัทให้เหตุผลประมาณว่า เป็นโรคที่เป็นมาก่อน จึงยกเว้นความคุ้มครอง

เรื่องตาม Time Line นะคะ ขอเล่าเท่าที่จำได้นะคะ   (ยาวมากๆๆๆๆๆๆค่ะ)

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วค่ะ (ปี 57)  สามีไปทำประกันไว้กับตัวแทนซึ่งเป็นภรรยาของเพื่อน ทำเป็นทุนประกันหลักและอนุสัญญา เป็นค่า Admid ค่าห้องคืนละ 1,500 บาท  และตกลงการจ่ายเป็นรายครี่งปี  

เราไม่ได้จ่ายค่ะ แต่ก็ทำหน้าที่ภรรยา คือบ่นค่ะ  บ่นไปเรื่อย ว่าเราก็มีตัวแทนที่รู้จักกันอยู่และเคยสัญญากันไว้ว่าจะไปทำประกันกับเค้า ,เดือนนั้นเราเพิ่งเริ่มผ่อนรถ  ไม่อยากให้ในเดือนนั้นของปี มีรายจ่ายหลายอย่างมาทับซ้อนกัน ,และลูกสาวอายุ เกือบ 1 ขวบ 7 เดือนในวันนั้นของเรา แข็งแรงมาก ไม่เคยป่วยเลย แข็งแรงขนาดว่า ฉีดวัคซีนมาก็ไม่มีไข้ค่ะ

ต่อมา พอปีใหม่ ปี 58 เราก็เอาลูกสาวที่กำลังจะ 2 ขวบ เข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลค่ะ  แล้วลูกสาวก็เริ่มป่วย  เป็นไข้  เป็นๆหายๆ ตั้งแต่เริ่มไปโรงเรียน ประมาณปลายเดือนมกราคมลูกสาวก็เข้าโรงพยาบาลค่ะ เพราะว่าไข้สูงจนชัก เราเองตกใจมากก็พาลูกไปโรงพยาบาล แต่เป็นโรงพยาบาลรัฐนะคะ เราคลอดลูกที่รพ.นั้นด้วย และมีทำค่าห้องแค่ 1,500 ไม่กล้าไปโรงพบาบาลเอกชนค่ะ กลัวค่ารักษาไม่พอ วันนั้นก็ติดต่อตัวแทน ตัวแทนก็มา แล้วก็ถามว่าทำไมไม่ไปโรงพยาบาลเอกชน เราก็บอกตามตรงว่าคลอดที่นี่และกลัวค่าห้องไม่พอ ตัวแทนบอกว่า งั้นพอจะออกจาก รพ. ให้โทรติดต่อ จะมาดำเนินการให้ค่ะ วันนั้นยังพอจะรู้สึกดีว่า เออ ก็ดีนะ ทำประกันไว้

ลูกสาวเข้าโรงพยาบาลครั้งนั้นก็ 5-6 วัน พอจะออกจาก รพ. เราติดต่อตัวแทนไม่ได้เลย แต่ที่จำได้ก็คือ ต้องสำรองจ่ายไปก่อนทั้งหมด แล้วก็ต้องเอาเอกสารที่ รพ.ทำให้ เอาให้ตัวแทนไปยื่นที่บริษัท เพื่อขอเคลมเงินคืน หลายวันต่อมาติดต่อตัวแทนได้ ตัวแทนก็บอกให้เราไปยื่นเอกสารเองที่สาขา เราก็ เออ ไปเองก็ได้ มันเป็นต่างจังหวัด ไม่ได้เดินทางลำบาก พอไปถึง เจ้าหน้าทีก็ขอสำเนาบุ๊คแบงค์ของสามี เราบอกว่า เราไม่ได้เอามา และก็อยากทำธุระให้มันเสร็จวันนี้เลย ต้องทำไง เจ้าหน้าที่ที่สาขาเลยแนะนำให้เรารับเงินคืนเป็นเช็ค โดยจะส่งมาที่บ้าน แล้วให้เราเอาเช็คไปดำเนินการต่อเอง ตอนนั้นจำได้คร่าวๆ ว่าพยายามจะขอให้ตัวแทนดำเนินการให้ แต่คำตอบที่เค้าให้เรามา คือ มันไม่ยาก เราสามีภรรยาทำกันเองก็ได้ รอเค้าจะช้า บลาๆๆ เราก็เริ่มบ่นกับสามีว่า ไม่ได้เรื่องแล้ว โทรถามเรื่องเช็คกับ 1766 ก็ต้องให้สามีเราโทรเท่านั้น เราโทรถาม เค้าไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ถึงจะเป็นแม่

ขอออกตัวก่อนว่าเราเองทำงานประจำ สามีก็ทำงานกลางคืน นอนกลางวัน เมื่อก่อนจ้างพี่เลี้ยงดูลูกให้ก็แพงค่ะ แล้วติดปัญหาลูกสาวไม่สังคมและเอาแต่ใจมาก (พี่เลี้ยงเป็นป้าใจดี เปิดทีวีให้ดูทั้งวัน) เราเลยตัดสินใจเอาเข้าโรงเรียนเร็วๆ จะได้รู้จักปรับตัว ปรึกษาหมอแล้ว หมอบอกว่า เด็กป่วยเรื่อยๆ แบบนี้ไม่ได้ผิดปกติ ต้องทำใจ อดทน และดูแลกันไป ร่างกายจะค่อยๆ แข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันค่ะ

แล้วก็มีถึงการจ่ายค่าเบี้ยประกันครั้งที่ 2 แฟนจ่ายช้าค่ะ แฟนแย่อ่ะ  นอนกลางวัน นอนแบบปิดโทรศัพท์นอน ตัวแทนก็โทรมาตามค่าเบี้ย แฟนก็ไม่ได้ยิน พอตื่นมาโทรกลับก็ไม่รับบ้าง เรายอมรับตรงนี้เลยว่าเราแฟนเองก็ผิด ที่พอมีตังค์ก็ไม่เอาไปจ่ายที่บริษัทเอง มัวแต่รอตัวแทน (เรานึกโง่ๆเองค่ะว่า ตัวแทนไม่ดูแลยังไงก็ต้องสนใจเก็บเบี้ย เพราะมันเกี่ยวกับค่าคอม)  แล้วเราก็เริ่มถามตัวแทนถึงการเปลี่ยนรูปแบบการจ่าย จากครึ่งปีเป็นราย 3 เดือน พอตัวแทนไป เธอก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง คำนวณเบี้ยมาผิดๆ ถูกๆ จนในที่สุดกว่าเงินจะถึงมือตัวแทนก็ปาเข้าไปเดือน กรกฎาคม ซึ่งมันก็เกือบจะเป็นวันสุดท้ายที่จ่ายได้ และไม่ได้เปลี่ยนมาจ่ายราย 3 เดือน  เราก็ทำหน้าที่ภรรยาค่ะ คือบ่นสามีไปเรื่อยๆ   ว่าปัญหามันเยอะจัง กว่าคนจ่ายจะพร้อมจ่าย กว่าคนเก็บเงินจะพร้อมมาเก็บ แถมยังติดสงสัยด้วยว่า เค้าทำประกันฉบับใหม่ให้เรารึเปล่า มันนานเกินกว่าจะต่อสัญญาได้ไม๊นะ บลาๆๆ

สรุปว่า การจ่ายเบี้ยครั้งนั้นไม่จบค่ะ วันนั้นนั่งทำงานอยู่ ตัวแทนซึ่งแทบไม่เคยติดต่อเรามาก็โทรมาหาเรา บอกว่าวันนี้วันสุดท้ายแล้ว ที่จะต้องจ่ายค่าเบี้ยส่วนเกินแล้ว เราถาม เฮ้ยอะไร ยังไม่จบเหรอ เค้าบอกว่า คำนวณเบี้ยผิด เพราะน้องอายุเพิ่มขึ้น ต้องจ่ายเพิ่มอีก 200 กว่าบาท และต้องให้สามีเซ็นเอกสารเพิ่ม  แต่เค้าติดต่อสามีไม่ได้ เราเลยต้องรีบขับรถกลับบ้าน มาเรียกสามีให้ไปจัดการธุระให้เรียบร้อยค่ะ พร้อมทำหน้าที่ภรรยาอย่างไม่บกพร่อง คือบ่นๆๆๆ   ...ติดต่อยากทั้งคนซื้อคนขายเลยเนอะ บ่นแบบว่า บ่น 3 วันไม่เลิกเลยค่ะ

แต่พอเราบ่นจนเหนื่อย เราก็หยุดค่ะ แล้วก็เลยคิดขึ้นมาได้ สงสัยว่า เฮ้ย ทำไมต้องเซ็นใหม่ ทำไมต้องจ่ายเพื่ม เด็กจากอายุ 1 ขวบขึ้นมา 2 ขวบ เบี้ยเปลี่ยนเหรอ สัญญาสุขภาพ เบี้ยไม่ได้เปลี่ยนทุก 5 ปีเหรอ ตกลงนี่ทำสัญญาใหม่ให้เราป่ะเนี่ย ก็เลยโทรเข้าไปถามที่ 1766 สรุปว่า เค้าไม่ได้ทำสัญญาใหม่ให้เรา เป็นการต่อสัญญาที่ขาด  ถ้าจะเจ็บป่วยอะไรก็ต้องหลัง 24 สิงหาคม ถึงจะเคลมได้   เพราะการคำนวณเบี้ยผิดๆถูกๆ โทรติดต่อกันได้บ้างไม่ได้บ้าง โทรมาเราไม่รับ เราโทรกลับก็ปิดเครื่อง  และยังไม่เข้าใจเรื่องค่าเบี้ยที่เค้าบอกว่าคำนวณผิดไป 200 กว่าบาทจนถึงวันนี้   แต่วันนั้นก็ปากเก่งพูดไปค่ะว่า ใครจะปล่อยให้ลูกป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ ล่ะ ไหนจะต้องลางาน ไหนจะค่าใช้จ่ายจุกจิก ที่สำคัญคือ มันหมายความว่าเราช่างไม่ดูแลลูกเลยเหรอ ลูกถึงป่วยเข้าโรงบาลเป็นว่าเล่น เราก็บอกตัวเองว่า เราคงจะไม่เคลมประกงประกันอะไรกับบริษัทนี้อีก พาลเหม็นขี้หน้าตัวแทนไปเลย

ต้นเดือนกันยาค่ะ มีจดหมายส่งมาหาสามีเราฉบับนึง ใจความสรุปว่า ขอยกเลิกอนุสัญญาในส่วนของประกันสุขภาพของลูกสาวเรา เหลือแค่สัญญาหลัก เราก็ทำใจค่ะ แต่อดโมโหนิดๆไม่ได้ เคลมก็แค่ครั้งเดียว แถมเคลม รพ.รัฐ  บริษัทประกันออกแต่ค่าห้อง ค่ายาค่าเวชภัณฑ์ทั้งหมดใช้สิทธิ์บัตรทองยังจะมาขอยกเลิกสัญญาอีก   ก็ปรึกษาสามีว่า เอาไงดี สามีบอกว่าให้เราติดต่อตัวแทนที่คุ้นๆกัน แล้วก็ทำประกันหลัก+อนุสัญญาเรื่องสุขภาพฉบับใหม่ โดยแถลงสุขภาพไปตามความจริง ถ้าเค้าคุ้มครองเรื่องที่เคยชักก็ดี ถ้ายกเว้นก็ไม่เป็นไร ส่วนประกันฉบับเก่าก็ถือเป็นเงินเก็บให้ลูกอีกก้อน

เราเองก็โทรเข้าไปแจ้งที่ 1766 นิดนึงว่า ตัวแทนคนนี้ไม่ได้เรื่องเลย ตอนจะชำระเบี้ยก็ติดต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง  ไม่ต้องการให้มารับผิดชอบอะไร เพราะไม่มีอะไรต้องให้เขารับผิดชอบ แต่ช่วยตักเตือนให้ที จะได้ไม่ทิ้งขว้างลูกค้าแบบเราอีก พร้อมยืนยันว่าจะจ่ายเบี้ยในส่วนของสัญญาหลักต่อเอง บริษัทเสนอว่า จะเปลี่ยนตัวแทนให้ จะได้ดูแลเราดีๆ เราก็บอกว่าไม่ต้องเอาตัวแทนใหม่มา แต่ไม่ต้องให้ตัวแทนเก่าโผล่หน้ามาให้เห็น เราจะไปจ่ายเอง ค่าคอมได้ก็เอาไป เราไม่อยากว่า

แล้วเมื่อเช้ามืดวันอาทิตย์ที่ผ่านมาค่ะ ตี 5 จากที่ไม่มีไอ ไม่มีไข้ ไม่มีน้ำมูก จู่ๆ ลูกสาวก็ไข้สูงมาก เราก็ปลุกนางมากินยา เช็ดตัว แต่หลังจากที่ไม่ได้มีไข้มาพักนึง ยาลดไข้ที่บ้านหมดค่ะ   เที่ยงวันนั้นสามีจะไปธุระ เราก็เลยแวะซื้อยา(ปกติกินซาร่า แต่วันนั้นซื้ออีกยี่ห้อ) กลับมาบ้านกินยากัน เช็ดตัว เอ...ไข้ไม่ลดแฮะ ไปหาหมอดีไม๊ หรือจะซื้อซาร่ามากิน เอาเป็นว่าออกจากบ้านก่อนละกัน

แทรกนิดนะคะ ใจเรา ลูกมีไข้วันแรก ไม่อยากพาไปโรงพยาบาลเลย เพราะกลัวการแอดมิด ถึงแอดมิด เราก็เป็นคนพยาบาลลูกเองเกือบทุกอย่าง อะไรก็ไม่สะดวกเหมือนที่บ้าน นางกินได้ กินเก่งด้วย  นอนหลับปกติ การขับถ่ายปกติ  แล้วก็เพิ่งไปหาหมอมาเย็นวันเสาร์ ปรึกษาหมอเด็กแล้ว การมีไข้คือการต่อสู้กับเชื้อโรคอย่างนึง ถ้า 2-3 วันแล้ว ยังมีไข้ต่อเนื่องค่อยพาไปหาหมอก็ได้ (เราไปหาหมอบ่อย หมอคงเบื่อหน้าเรา ทำไงได้ เรากลัวลูกชักอีกนี่นา)

ออกจากบ้านค่ะ ไปหาหมอดี หรือว่าไปซื้อยาดี ..วันอาทิตย์ด้วย คลีนิคประจำก็ไม่เปิด ไป รพ.ก็ถ้าไม่เอาพารากลับมากิน ก็นอนโรงพยาบาล เอาไงดี ไปถึงกลาง 4 แยก เจอรถกระบะคันใหญ่กำลังลังเล ว่าจะตรงสวนเรามาหรือจะเลี้ยวดี มองทะเบียน อ่อ ไม่ใช่รถพื้นที่ คง งง ทาง งั้นเราขอเลี้ยวอ้อมหลังรถคุณไปละกัน แล้วเค้าก็ถอยมาชนค่ะ  ตุ้ม!  อีโคคาร์คันเล็กของเราเตี้ยจนเค้ามองไม่เห็น  รู้สึกเหมือนโดนเหยียบคันเร่งบี้ซ้ำด้วย ออกมาจากตรงนั้นได้ ประตูรถบุบทั้งบานเป็นรอยบะเฮิ่ม   เรารีบลงไป ถามเค้าเลยว่ามีประกันไม๊ ต่างฝ่ายก็ต่างโทรเรียกประกันกันมาค่ะ  บุญกบาลที่รถชนไม่เสียหายที่ตัวเครื่องเลย กระจกไม่แตก ประตูปิดสนิทและเปิดได้ ไม่มีระบบไฟฟ้าอะไรเสียหาย ระหว่างนั้น ลูกสาวเราก็ไข้สูงขึ้นเรื่อยๆ เรายังคิดอยู่ว่าอย่าชักนะ เคยชักมาแล้วจะชักง่ายกว่าปกติด้วย  ประกันรถรีบมาหน่อย จะได้รีบไปโรงบาลเลยดีกว่า

และแล้วประกันฝั่งเราก็มาก่อนค่ะ เค้าถ่ายรูปๆ แล้วก็คุยกับคู่กรณี คู่กรณีก็ยอมรับผิด เราก็ถามว่าต้องรอประกันคู่กรณีด้วยไม๊ ...และแล้ว ลูกสาวเราก็ชักขึ้นมาอีกค่ะ ชักคาอ้อมกอดเราเลย  เรารีบพาลูกสาวไปที่ห้องฉุกเฉินของ รพ. และก็ต้องแอดมิดตามคาด  เราโทรสอบถาม 1766 ว่า ลูกสาวป่วย เข้าโรงบาล เคลมได้ไม๊ คอลล์เซ็นเตอร์ตรวจสอบข้อมูลแล้วก็บอกว่า เคลมได้ค่ะ ก็ชื้นใจหน่อย ประกันยังมีผล ทั้งประกันรถและประกันคน  (อย่างที่เล่าทีแรก สัญญาประกันชีวิตกับ สัญญาประกันรถเริ่มเวลาไล่เลี่ยกัน ถ้าหมดก็หมดพร้อมๆ กันค่ะ)

แล้วลูกสาวก็นอนโรงพยาบาล ตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ค่ะ เช้าวันจันทร์ก็ไปดำเนินการเกี่ยวกับเงื่อนไขการจ่ายก่อน ว่าจะเคลมสิทธิ์อะไรบ้าง คราวนี้ เจ้าหน้าที่ด้านประกันที่ รพ. บอกว่า แฟกซ์เคลมได้  ก็ดี ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ต้องสำรองจ่าย   

มาถึงเรื่องลูกสาวหมอบอกว่าต้องไข้ลดเกิน 24 ชั่วโมงก่อน ถึงจะออกจาก รพ.ได้ เพราะน้องมีประวัติเคยชัก ก็ไข้ลดเมื่อคืนวันอังคารตอนดึก หมอเลยเพิ่งให้ออกจาก รพ. เมื่อเช้านี้เอง แต่แฟกซ์เคลมไม่ได้ค่ะ บริษัทประกันให้เหตุผลว่า  เป็นโรคที่เป็นมาก่อน จึงยกเว้นความคุ้มครอง

เรานี่ขึ้นเลย....โรคที่เป็นมาก่อน...ก่อนอะไรคะ ก่อนการจ่ายเบี้ยครั้งที่ 2 เหรอ ตอนจะจ่ายเบี้ยครั้งที่ 2 ทำไมไม่บอกก่อนละคะ จะขอยกเว้นความคุ้มครอง เจ้าหน้าที่แผนกประกันที่รพ.ต่อสายให้กับแผนกเคลม  ด้วยอารมณ์โกรธตอนนั้น ก็ใส่ไปเยอะค่ะ อย่างที่เล่าในนี้แหละ  อะไรกัน รถชน ลูกชัก แล้วยังจะมาโดนยกเว้นสัญญาโดยไม่แจ้งให้ทราบอีก  ทั้งเจ้าหน้าที่รพ.และแผนกเคลมในสายโทรศัพท์ก็เห็นใจเรา   

แผนกเคลมบอกว่า อยู่นอกเหนือจากอำนาจในการอนุมัติ เป็นเรื่องที่บริษัทบันทึกไว้แล้ว จะแย้งไม่ได้ ให้เราจ่ายไปก่อน แล้วทำหนังสือร้องเรียนเข้า ฝากตัวแทนเข้ามาที่บริษัท แล้วผู้ใหญ่จะพิจรารณาเพิ่มเติมให้ อาจจะได้เงินคืน เราเลยใส่ไปอีกชุดว่า  ตัวแทนไม่ดูแล บริษัทขอยกเลิกสัญญา ขอยกเว้นสัญญาโดยไม่บอกก่อน  แล้วพอเราเข้าโรงบาลเสร็จ ต้องมานั่งเขียนเรียงความส่งอีกเหรอ ว่าไปZวยอะไรมาบ้าง  กระทั่งพยาบาลที่ตึกก็ยืนยันว่า การชักมันไม่ใช่โรค จะมายกเว้นความคุ้มครองได้ไง

เลยอยากถามค่ะ

1. ประกันรวมถึงอนุสัญญา มันทำกันเป็นรายปีไม่ใช่เหรอคะ ถึงแม้ว่าจะชำระเบี้ยจะตกลงกันเป็นรายเดือน ,ราย 3 เดือน ,รายครึ่งปีก็ตาม จะเปลี่ยนสัญญาหรืออะไรก็ต้องเป็นรายปีๆ ไปเท่านั้นอย่างที่เราเข้าใจในตอนแรกไม๊คะ
2. การยกเว้นสัญญากลางอากาศแบบนี้ หมายถึงโดยไม่แจ้งให้เราทราบก่อนจะมีการจ่ายเบี้ยคร้ั้งที่ 2 มันถูกต้องเหรอคะ
3. ตัวแทนทำแบบนี้ ยังจะได้ผลประโยชน์จากการที่เราจ่ายเบี้ยอีกไม๊คะ ผิดขนาดไหน ถึงกับโดนริบใบอนุญาตไม๊

สุดท้าย ใครจะทำประกัน ทำกับคนที่ไว้ใจได้เท่านั้นนะคะ กับตัวแทนมืออาชีพ ที่คุณแน่ใจว่าจะช่วยรักษาผลประโยชน์และเป็นปากเสียงให้คุณได้ ,กรณีทำให้ลูก ก็ขอให้คุณเป็นคนที่ติดต่อได้ง่ายๆ ค่ะ อย่าทำแบบสามีเรา คือปิดมือถือนอนหลับในเวลาทำการ ,เงินค่าเบี้ย อย่าเอาไปหมุนอะไรนะคะ ถึงเวลาจ่ายก็ต้องจ่าย ติดต่อตัวแทนมาเอาไม่ได้ ก็ไปจ่ายเองนะ  

ยาวมากเลย ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่