ฝากเพจไปเรื่อยครับ
https://www.facebook.com/PaiRoey
เห็นไปเรื่อยแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่เราจะเดินทางท่องเที่ยว เราจะทำทริปเตรียมไว้ให้พร้อมเสมอ เพราะสำหรับเราการทำทริปถือเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญต่อเพื่อนร่วมเดินทาง เราตั้งใจไปยังสถานที่ไหน1 เราก็มักจะมีสถานที่ยิบย่อยในใจติดไปด้วย2 ใช่มั้ยครับ และยังมีที่ๆเพิ่งค้นพบในอินเตอร์เน็ต3 ที่ๆเพื่อนแนะนำว่าพลาดไม่ได้4 แปลว่าของดีมันมีอยู่อย่างมากมายรอให้เราไปเจอกับมัน ดังนั้นแค่เราวางแผนการท่องเที่ยวทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายครับเชื่อไปเรื่อย...
ครั้งนี้ขอเล่าถึงการเดินทางไปพนมเปญของเราละกันครับ พนมเปญอาจดูเป็นชื่อที่เราคุ้นเคย และก็ดูไม่ค่อยเป็นที่น่าสนใจเท่าไหร่สำหรับเราใช่มั้ยครับ เป็นเมืองหลวงที่ดูไม่น่าจะมีอะไรให้ค้นหา เพราะเมืองโบราณอย่างเสียมเรียบก็ค่อนข้างจะแย่งซีนทุกจังหวัดที่มีของกัมพูชาไปหมดแล้วในความคิดเรา แต่เอาเข้าจริงพอเราเริ่มค้นหาข้อมูลว่า "ไปพนมเปญกันดีกว่า" ก็ได้ค้นพบว่า ในความไม่มีอะไรมันก็มีอะไรที่สอดแทรกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว...
ก่อนหน้านี้เราเคยไปเสียมเรียบด้วยเครื่องบินและทดลองนั่งรถทัวร์กลับ โดยรถมาส่งเราถึงข้าวสารเลยนะครับ พอตั้งใจว่าจะไปครั้งนี้เราเลยเลือกนั่งรถทัวร์ไปแล้วค่อยนั่งเครื่องกลับดีกว่า โดยเราขึ้นรถบัสที่หมอชิตเวลา 01.30น. นอนหลับไปเลยครับยาวๆ ประมาณ 06.00น. ก็จะถึงตลาดโรงเกลือ ด่านอรัญประเทศ เราก็เดินลงมาทำเรื่องราวของหนังสือเดินทางซักเล็กน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงเองครับ อาจเพราะตอนเช้าด้วยมั้งครับ เลยทำให้ผู้คนยังไม่มากมายจนทำให้รู้สึกรำคาญใจ อีกทั้งยังได้แวะพักเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย
ปล. หลังจากขึ้นรถเตรียมตัวออกเดินทาง พี่ๆเค้ามีข้าวกล่องอีซี่โก น้ำแร่ออร่า และน้ำผลไม้ทิปโก้ให้ทานเป็นมื้อเช้าด้วยนะครับ ดีงามเหลือเกิน
ข้อดีของการนั่งรถบัสบขส.ในครั้งนี้คือ เราได้นั่งรถบัสคันเดิมไปจนถึงที่หมายคือพนมเปญเลยครับ ไม่ต้องอารมณ์เสียทำการย้ายสัมภาระไปมาให้รำคาญใจ และอีกข้อดีที่เรารู้สึกได้กับการนั่งรถบัสไปพนมเปญคือ นอกจากเรื่องความประหยัดมากแล้ว เรายังได้ถือโอกาสชมบ้านเมืองเค้าอย่างถึงอกถึงใจ เป็นประสบการณ์ที่ชอบมากเพราะเราได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เห็นความจริงของบ้านเมืองเค้าที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งใดๆ เราถือว่าเราได้เห็นกัมพูชาอย่างคุ้มค่าและน่าจดจำ
นั่งไปอย่างยาวนาน... ประมาณ 15.00น. เราจะเริ่มเห็นความเป็นเมืองกลับมาเข้าในวิวทิวทัศน์ของหน้าต่างรถบัสอีกครั้ง คราวนี้เราก็รับรู้ได้ละครับว่าน่าจะใกล้ถึงตัวเมืองหลวงของเค้าเสียที เพราะก็เริ่มรู้สึกเมื่อยไปหมดแล้วเหมือนกัน ได้เห็นร้าน Café Amazon และร้านกาแฟเฟรนส์ไชส์เจ้าอื่นๆที่เราคุ้นเคยก็ทำให้เราเปรี้ยวปากอยากกาแฟไปหมด ชั่วอึดใจเดียวครับ รถบัสที่ขับเลาะริมน้ำสายใหญ่ก็จะมาหยุดอยู่ที่ซอยเล็กๆ ด้านหน้าที่สายตามองเห็นคือร้านกาแฟ Gloria Jean's Coffees ที่อยู่ติดริมน้ำ ด้านหลังของเราคืออาคารไปรษณีย์กลางพนมเปญครับ สีเหลืองใหญ่โตสวยงาม เป็นภาพแรกที่น่าประทับใจสำหรับการมาถึงของเรามาก ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของทีมงานการเดินรถรึเปล่า แต่ดีมากเลยครับ **เพราะความประทับใจแรกสำคัญมากนะครับสำหรับการท่องเที่ยว**
ช่วงที่เราไปถึงนั้นฝนพรำพอดีครับ เราจึงได้เข้าไปหลบฝนรอคุณพ่อมารับ (คุณพ่อทำงานอยู่ที่พนมเปญครับ) เราใช้สัญญาณไวไฟที่อาคารไปรษณีย์ในการติดต่อกับคุณพ่อว่ามาถึงแล้ว รออยู่ตรงนี้นะ แต่เหมือนกับว่าไม่ขึ้น read ซักที เราเลยพยายามเดินหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ จนแล้วจนเล่าก็หาไม่เจอครับ เลยพยายามขอความช่วยเหลือจากพนักงานในอาคาร พนักงานก็ยื่นโทรศัพท์ให้เราโทรหาคุณพ่ออย่างเข้าอกเข้าใจ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในความประทับใจของการมาเยือนพนมเปญ ทำให้เรารู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก
เข้าอพาร์ทเมนต์ที่พัก มื้อเย็นคืนนี้ได้ทานอาหารไทยจากร้านอาหารไทยฝีมือแม่ครัวชาวสุรินทร์ครับ หลังอิ่มมื้อเย็นเสร็จก็เดินไปมินิมาร์ทที่ปั๊มน้ำมันซื้อเบียร์ของเค้ามาลองดื่มซักหน่อย สองครั้งที่ได้ทดลองก็ขอยืนยันว่ายี่ห้อ Angkor Beer อร่อยที่สุดของเค้าครับ มีรสชาติที่ใกล้เคียงกับเบียร์บ้านเรามากกว่าเจ้าอื่นๆ เพราะที่เหลือค่อนข้างจะออกแนวจืดๆ ไม่จัดจ้าน และทุกยี่ห้อของเค้ามักมีเบียร์ดำร่วมอยู่ด้วย เป็นตัวแทนของความจัดจ้านเลยล่ะครับ เราขอโบกมือบ๊ายบาย ขวดเดียวก็เสียวสันหลังวาบๆ ไปหมด
เริ่มต้นออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้ครับ...
เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็เริ่มต้นที่วัดพนมครับ ที่มาของชื่อเมืองพนมเปญเกิดจากที่นี่เลยครับ ลองหาข้อมูลอ่านได้ทั่วไปเลยครับผม วัดนี้มีลักษณะเป็นภูเขาเล็กๆ ซึ่งภาษากัมพูชาพนมแปลว่าภูเขา ส่วนคำว่าเปญมาจากผู้หญิงที่ชื่อเพ็ญ เรื่องราวเกิดเมื่อซักประมาณ 600 ปีที่แล้ว นอกเหนือจากตัววัดแล้วยังมีสิ่งปลูกสร้างอย่างเช่นนาฬิกาแดดและอนุสาวรีย์ที่มาของการคืนจังหวัดต่างๆนานาในอดีต ลองเดินดูเรื่อยๆครับ วัดมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก ใช้เวลาในการเดินชมนั่นโน่นนี่ไม่นาน อันที่จริงเราเพิ่งมาทราบตอนเช้าของวันนี้ว่าวัดนี้อยู่หลังอาคารไปรษณีย์ที่มาถึงเมื่อวาน ถ้าไม่อย่างงั้นเราคงพุ่งตัวมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เอาเป็นว่าถ้าใครใช้ทางนี้ แนะนำว่าลงรถแล้วให้เดินไปวัดสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเค้าเป็นอย่างแรกเพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นได้เลยครับเราแนะนำ...
สถานที่สำคัญของบ้านเมืองเค้าทั้งหมดจะอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงหรืออาจพูดได้ว่าอยู่ติดกันหมดเลยก็ได้ครับ ถ้าสะดวกที่จะเดินอยากให้เดินครับ จะได้ชื่นชมความเป็นบ้านเมืองอย่างเรียบง่ายที่สุด แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะเดินเนื่องด้วยอากาศหรือความเมื่อยก็เชิญตุ๊กตุ๊กของเค้าได้เลยครับ อย่างไรก็ตามขอให้ต่อราคาทุกครั้งที่จะใช้บริการนะครับ จะกี่มากน้อยยังไงก็ขอให้ต่อ ขอให้ได้ราคาที่สบายใจนะครับจะกี่ดอลลาร์ก็ว่ากันไป
ข้อแนะนำ
กรุณาแลกเงินดอลลาร์เป็นแบงค์ไม่ใหญ่นะครับ ยิบย่อยได้ยิ่งดี เป็นคำแนะนำจากคุณพ่อครับ เนื่องจากที่นี่ยังมีความไม่มั่นใจในการใช้ธนบัตรอยู่บ้าง ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายแบงค์ 100 ดอลล่าร์ แนะนำให้จำเลขสี่ตัวสุดท้ายของธนบัตรนั้นไว้ บางทีพนักงานก็จะชี้ให้เราจดจำเดี๋ยวนั้นเลย แต่เราเลือกถ่ายรูปจากมือถือแทนครับ ง่าย สะดวก กันพลาดได้อย่างแน่นอน และที่นี่การทอนเงินยังใช้สกุลเงินควบคู่กันระหว่างดอลล่าร์และเรียลนะครับ มีสติทุกครั้งที่ใช้จ่ายแล้วกันครับ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แค่ต้องมีสติ 555
ต่อเลยนะครับ ถนนริมน้ำที่นี่มีชื่อว่า Sisowath Quay เป็นถนนที่รวบรวมเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้หมดละครับ อันที่จริงก็คงคล้ายคลึงกับริมแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา บ้านเมืองไหนๆก็ต้องอยากอยู่ใกล้แม่น้ำจริงมั้ยครับ เราสามารถใช้ชีวิตทั้งวันกับถนนเส้นนี้ได้เลยครับ เพราะปราสาทราชวังวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนานา อยู่รายรอบถนนเส้นนี้แหละครับ ใครเป็นคนทานยาก ให้อาศัยอยู่ใกล้เส้นนี้เป็นหลักเลยครับ เพราะมีร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่างเช่น KFC, PIZZA COMPANY, DAIRY QUEENS และอื่นๆอีกมากมายรวมทั้งร้านกาแฟเรียงรายให้เลือกนั่งพักตากแอร์ชาร์จแบตได้เต็มที่ครับ
ข้อดีที่ดีมากของกัมพูชาคือ คนที่นี่ไม่หวงสัญญาณไวไฟแบบบ้านเราครับ มีทุกที่ ขอได้หมด เต็มใจให้เสมอ ร้านมินิมาร์ทตามปั๊มที่มีเก้าอี้นั่งพักก็มีให้เราใช้ได้อย่างเต็มที่ครับ แถมสัญญาณก็ดีงามด้วยครับ ไม่ให้ความรู้สึกแย่งชิงกันใช้เหมือนร้านกาแฟบ้านเรา
หลังจากไหว้พระเสร็จจากวัดพนม เราก็เดินไปเรื่อยตามถนน Sisowath Quay มาจนถึงบริเวณสนามหญ้าหน้าพระราชวัง แต่เราจะเข้าเยี่ยมชมพระราชวังในช่วงบ่ายครับ (เปิดให้เยี่ยมชม 2 ช่วงเวลา) เราเลยแวะไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพนมเปญของเค้าก่อน ด้านในก็มีวัตถุโบราณศิลปะเขมรในยุคต่างๆ จัดแสดงอยู่ทั่วไปครับ สิ่งที่เรารู้สึกได้คือทำไมวัตถุโบราณมันน้อยจัง เราควรจะรู้สึกอื้อหือถึงความยิ่งใหญ่ในอาณาจักรโบราณแห่งนี้ แต่ที่นี่กลับไม่ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นครับ เพราะอาจจะอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเสียมเรียบมั้งครับ แต่ขนาดของหินแกะสลักแต่ละอันก็มีขนาดใหญ่โตมากทีเดียวครับ พอทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดน่าจะเป็นสถาปัตยกรรมตึกสีแดงของเค้าทั้งหมดที่สวยจริงครับ
ปล. ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ
เดินออกมาด้านหน้าจะเห็นซอยเยื้องๆ กับถนนด้านหน้านี้นะครับ แนะนำให้ทุกคนเดินไปแวะดูของ มีสองร้านที่เราตกหลุมรักและอยากแนะนำให้ทุกคนที่ไปได้ไปลองดู เชื่อว่าน่าจะถูกใจใครหลายๆคนนะครับ
ร้านแรกชื่อร้านว่า TRUNKH. (เป็น Concept Store ที่มีกลิ่นอายซื่อๆ น่ารักมากครับ)
https://www.facebook.com/trunkh?fref=ts
ร้านที่สองชื่อว่า Friends 'N' Stuff ( ร้านแฮนด์เมดทำจากนักเรียนซึ่งโรงเรียนก็อยู่ข้างๆนั่นแหละครับ รายได้ช่วยบริจาคเป็นค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียนด้วยครับ ได้ของได้บุญด้วย )
https://www.facebook.com/FriendsNStuff?fref=ts
เอาล่ะครับ บ่ายสองโมงได้เวลาเข้าสู่ราชวังของเค้าแล้วล่ะครับ ลักษณะสถาปัตยกรรมโดยรวมของราชวังมีความใกล้เคียงกับบ้านเรามากเลยครับ รู้สึกเหมือนเดินอยู่ที่พระบรมมหาราชวังกับวัดพระแก้วบ้านเรา แต่โดยรายละเอียดก็ทำให้แหล่ะครับว่าไม่ใช่ ได้กลิ่นอายขลังๆ ไปอีกแบบ
โดยความคิดเห็นของเราเองนะครับ ถ้าจะบอกว่าบ้านไหนคือบ้านพี่เมืองน้องกับบ้านเรา ผมว่าเขมรนี่แหละครับที่น่าจะใกล้เคียงกับบ้านเรามากที่สุด ทั้งรูปร่างหน้าตา ภาษาและการออกเสียง อาหาร อากาศ สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบ้านเรากับบ้านเค้าดูออกจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาเสียมากกว่าใช่มั้ยครับ ก็เลือกที่เราสบายใจดีกว่าครับ เรารู้สึกสะดวกใจสบายกาย เท่านั้นทุกอย่างจบปึ้ง...
ขอเล่าเรื่องผ่านรูปไปเรื่อยๆละกันนะครับ ตามมาสิครับ...
[CR] พนมเปญไปเรื่อย
https://www.facebook.com/PaiRoey
เห็นไปเรื่อยแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่เราจะเดินทางท่องเที่ยว เราจะทำทริปเตรียมไว้ให้พร้อมเสมอ เพราะสำหรับเราการทำทริปถือเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญต่อเพื่อนร่วมเดินทาง เราตั้งใจไปยังสถานที่ไหน1 เราก็มักจะมีสถานที่ยิบย่อยในใจติดไปด้วย2 ใช่มั้ยครับ และยังมีที่ๆเพิ่งค้นพบในอินเตอร์เน็ต3 ที่ๆเพื่อนแนะนำว่าพลาดไม่ได้4 แปลว่าของดีมันมีอยู่อย่างมากมายรอให้เราไปเจอกับมัน ดังนั้นแค่เราวางแผนการท่องเที่ยวทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายครับเชื่อไปเรื่อย...
ครั้งนี้ขอเล่าถึงการเดินทางไปพนมเปญของเราละกันครับ พนมเปญอาจดูเป็นชื่อที่เราคุ้นเคย และก็ดูไม่ค่อยเป็นที่น่าสนใจเท่าไหร่สำหรับเราใช่มั้ยครับ เป็นเมืองหลวงที่ดูไม่น่าจะมีอะไรให้ค้นหา เพราะเมืองโบราณอย่างเสียมเรียบก็ค่อนข้างจะแย่งซีนทุกจังหวัดที่มีของกัมพูชาไปหมดแล้วในความคิดเรา แต่เอาเข้าจริงพอเราเริ่มค้นหาข้อมูลว่า "ไปพนมเปญกันดีกว่า" ก็ได้ค้นพบว่า ในความไม่มีอะไรมันก็มีอะไรที่สอดแทรกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว...
ก่อนหน้านี้เราเคยไปเสียมเรียบด้วยเครื่องบินและทดลองนั่งรถทัวร์กลับ โดยรถมาส่งเราถึงข้าวสารเลยนะครับ พอตั้งใจว่าจะไปครั้งนี้เราเลยเลือกนั่งรถทัวร์ไปแล้วค่อยนั่งเครื่องกลับดีกว่า โดยเราขึ้นรถบัสที่หมอชิตเวลา 01.30น. นอนหลับไปเลยครับยาวๆ ประมาณ 06.00น. ก็จะถึงตลาดโรงเกลือ ด่านอรัญประเทศ เราก็เดินลงมาทำเรื่องราวของหนังสือเดินทางซักเล็กน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงเองครับ อาจเพราะตอนเช้าด้วยมั้งครับ เลยทำให้ผู้คนยังไม่มากมายจนทำให้รู้สึกรำคาญใจ อีกทั้งยังได้แวะพักเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย
ปล. หลังจากขึ้นรถเตรียมตัวออกเดินทาง พี่ๆเค้ามีข้าวกล่องอีซี่โก น้ำแร่ออร่า และน้ำผลไม้ทิปโก้ให้ทานเป็นมื้อเช้าด้วยนะครับ ดีงามเหลือเกิน
ข้อดีของการนั่งรถบัสบขส.ในครั้งนี้คือ เราได้นั่งรถบัสคันเดิมไปจนถึงที่หมายคือพนมเปญเลยครับ ไม่ต้องอารมณ์เสียทำการย้ายสัมภาระไปมาให้รำคาญใจ และอีกข้อดีที่เรารู้สึกได้กับการนั่งรถบัสไปพนมเปญคือ นอกจากเรื่องความประหยัดมากแล้ว เรายังได้ถือโอกาสชมบ้านเมืองเค้าอย่างถึงอกถึงใจ เป็นประสบการณ์ที่ชอบมากเพราะเราได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เห็นความจริงของบ้านเมืองเค้าที่ยังไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งใดๆ เราถือว่าเราได้เห็นกัมพูชาอย่างคุ้มค่าและน่าจดจำ
นั่งไปอย่างยาวนาน... ประมาณ 15.00น. เราจะเริ่มเห็นความเป็นเมืองกลับมาเข้าในวิวทิวทัศน์ของหน้าต่างรถบัสอีกครั้ง คราวนี้เราก็รับรู้ได้ละครับว่าน่าจะใกล้ถึงตัวเมืองหลวงของเค้าเสียที เพราะก็เริ่มรู้สึกเมื่อยไปหมดแล้วเหมือนกัน ได้เห็นร้าน Café Amazon และร้านกาแฟเฟรนส์ไชส์เจ้าอื่นๆที่เราคุ้นเคยก็ทำให้เราเปรี้ยวปากอยากกาแฟไปหมด ชั่วอึดใจเดียวครับ รถบัสที่ขับเลาะริมน้ำสายใหญ่ก็จะมาหยุดอยู่ที่ซอยเล็กๆ ด้านหน้าที่สายตามองเห็นคือร้านกาแฟ Gloria Jean's Coffees ที่อยู่ติดริมน้ำ ด้านหลังของเราคืออาคารไปรษณีย์กลางพนมเปญครับ สีเหลืองใหญ่โตสวยงาม เป็นภาพแรกที่น่าประทับใจสำหรับการมาถึงของเรามาก ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของทีมงานการเดินรถรึเปล่า แต่ดีมากเลยครับ **เพราะความประทับใจแรกสำคัญมากนะครับสำหรับการท่องเที่ยว**
ช่วงที่เราไปถึงนั้นฝนพรำพอดีครับ เราจึงได้เข้าไปหลบฝนรอคุณพ่อมารับ (คุณพ่อทำงานอยู่ที่พนมเปญครับ) เราใช้สัญญาณไวไฟที่อาคารไปรษณีย์ในการติดต่อกับคุณพ่อว่ามาถึงแล้ว รออยู่ตรงนี้นะ แต่เหมือนกับว่าไม่ขึ้น read ซักที เราเลยพยายามเดินหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ จนแล้วจนเล่าก็หาไม่เจอครับ เลยพยายามขอความช่วยเหลือจากพนักงานในอาคาร พนักงานก็ยื่นโทรศัพท์ให้เราโทรหาคุณพ่ออย่างเข้าอกเข้าใจ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในความประทับใจของการมาเยือนพนมเปญ ทำให้เรารู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก
เข้าอพาร์ทเมนต์ที่พัก มื้อเย็นคืนนี้ได้ทานอาหารไทยจากร้านอาหารไทยฝีมือแม่ครัวชาวสุรินทร์ครับ หลังอิ่มมื้อเย็นเสร็จก็เดินไปมินิมาร์ทที่ปั๊มน้ำมันซื้อเบียร์ของเค้ามาลองดื่มซักหน่อย สองครั้งที่ได้ทดลองก็ขอยืนยันว่ายี่ห้อ Angkor Beer อร่อยที่สุดของเค้าครับ มีรสชาติที่ใกล้เคียงกับเบียร์บ้านเรามากกว่าเจ้าอื่นๆ เพราะที่เหลือค่อนข้างจะออกแนวจืดๆ ไม่จัดจ้าน และทุกยี่ห้อของเค้ามักมีเบียร์ดำร่วมอยู่ด้วย เป็นตัวแทนของความจัดจ้านเลยล่ะครับ เราขอโบกมือบ๊ายบาย ขวดเดียวก็เสียวสันหลังวาบๆ ไปหมด
เริ่มต้นออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้ครับ...
เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็เริ่มต้นที่วัดพนมครับ ที่มาของชื่อเมืองพนมเปญเกิดจากที่นี่เลยครับ ลองหาข้อมูลอ่านได้ทั่วไปเลยครับผม วัดนี้มีลักษณะเป็นภูเขาเล็กๆ ซึ่งภาษากัมพูชาพนมแปลว่าภูเขา ส่วนคำว่าเปญมาจากผู้หญิงที่ชื่อเพ็ญ เรื่องราวเกิดเมื่อซักประมาณ 600 ปีที่แล้ว นอกเหนือจากตัววัดแล้วยังมีสิ่งปลูกสร้างอย่างเช่นนาฬิกาแดดและอนุสาวรีย์ที่มาของการคืนจังหวัดต่างๆนานาในอดีต ลองเดินดูเรื่อยๆครับ วัดมีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก ใช้เวลาในการเดินชมนั่นโน่นนี่ไม่นาน อันที่จริงเราเพิ่งมาทราบตอนเช้าของวันนี้ว่าวัดนี้อยู่หลังอาคารไปรษณีย์ที่มาถึงเมื่อวาน ถ้าไม่อย่างงั้นเราคงพุ่งตัวมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เอาเป็นว่าถ้าใครใช้ทางนี้ แนะนำว่าลงรถแล้วให้เดินไปวัดสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเค้าเป็นอย่างแรกเพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นได้เลยครับเราแนะนำ...
สถานที่สำคัญของบ้านเมืองเค้าทั้งหมดจะอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงหรืออาจพูดได้ว่าอยู่ติดกันหมดเลยก็ได้ครับ ถ้าสะดวกที่จะเดินอยากให้เดินครับ จะได้ชื่นชมความเป็นบ้านเมืองอย่างเรียบง่ายที่สุด แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะเดินเนื่องด้วยอากาศหรือความเมื่อยก็เชิญตุ๊กตุ๊กของเค้าได้เลยครับ อย่างไรก็ตามขอให้ต่อราคาทุกครั้งที่จะใช้บริการนะครับ จะกี่มากน้อยยังไงก็ขอให้ต่อ ขอให้ได้ราคาที่สบายใจนะครับจะกี่ดอลลาร์ก็ว่ากันไป
ข้อแนะนำ
กรุณาแลกเงินดอลลาร์เป็นแบงค์ไม่ใหญ่นะครับ ยิบย่อยได้ยิ่งดี เป็นคำแนะนำจากคุณพ่อครับ เนื่องจากที่นี่ยังมีความไม่มั่นใจในการใช้ธนบัตรอยู่บ้าง ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายแบงค์ 100 ดอลล่าร์ แนะนำให้จำเลขสี่ตัวสุดท้ายของธนบัตรนั้นไว้ บางทีพนักงานก็จะชี้ให้เราจดจำเดี๋ยวนั้นเลย แต่เราเลือกถ่ายรูปจากมือถือแทนครับ ง่าย สะดวก กันพลาดได้อย่างแน่นอน และที่นี่การทอนเงินยังใช้สกุลเงินควบคู่กันระหว่างดอลล่าร์และเรียลนะครับ มีสติทุกครั้งที่ใช้จ่ายแล้วกันครับ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แค่ต้องมีสติ 555
ต่อเลยนะครับ ถนนริมน้ำที่นี่มีชื่อว่า Sisowath Quay เป็นถนนที่รวบรวมเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้หมดละครับ อันที่จริงก็คงคล้ายคลึงกับริมแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา บ้านเมืองไหนๆก็ต้องอยากอยู่ใกล้แม่น้ำจริงมั้ยครับ เราสามารถใช้ชีวิตทั้งวันกับถนนเส้นนี้ได้เลยครับ เพราะปราสาทราชวังวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนานา อยู่รายรอบถนนเส้นนี้แหละครับ ใครเป็นคนทานยาก ให้อาศัยอยู่ใกล้เส้นนี้เป็นหลักเลยครับ เพราะมีร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังอย่างเช่น KFC, PIZZA COMPANY, DAIRY QUEENS และอื่นๆอีกมากมายรวมทั้งร้านกาแฟเรียงรายให้เลือกนั่งพักตากแอร์ชาร์จแบตได้เต็มที่ครับ
ข้อดีที่ดีมากของกัมพูชาคือ คนที่นี่ไม่หวงสัญญาณไวไฟแบบบ้านเราครับ มีทุกที่ ขอได้หมด เต็มใจให้เสมอ ร้านมินิมาร์ทตามปั๊มที่มีเก้าอี้นั่งพักก็มีให้เราใช้ได้อย่างเต็มที่ครับ แถมสัญญาณก็ดีงามด้วยครับ ไม่ให้ความรู้สึกแย่งชิงกันใช้เหมือนร้านกาแฟบ้านเรา
หลังจากไหว้พระเสร็จจากวัดพนม เราก็เดินไปเรื่อยตามถนน Sisowath Quay มาจนถึงบริเวณสนามหญ้าหน้าพระราชวัง แต่เราจะเข้าเยี่ยมชมพระราชวังในช่วงบ่ายครับ (เปิดให้เยี่ยมชม 2 ช่วงเวลา) เราเลยแวะไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพนมเปญของเค้าก่อน ด้านในก็มีวัตถุโบราณศิลปะเขมรในยุคต่างๆ จัดแสดงอยู่ทั่วไปครับ สิ่งที่เรารู้สึกได้คือทำไมวัตถุโบราณมันน้อยจัง เราควรจะรู้สึกอื้อหือถึงความยิ่งใหญ่ในอาณาจักรโบราณแห่งนี้ แต่ที่นี่กลับไม่ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นครับ เพราะอาจจะอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเสียมเรียบมั้งครับ แต่ขนาดของหินแกะสลักแต่ละอันก็มีขนาดใหญ่โตมากทีเดียวครับ พอทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่ดีที่สุดน่าจะเป็นสถาปัตยกรรมตึกสีแดงของเค้าทั้งหมดที่สวยจริงครับ
ปล. ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ
เดินออกมาด้านหน้าจะเห็นซอยเยื้องๆ กับถนนด้านหน้านี้นะครับ แนะนำให้ทุกคนเดินไปแวะดูของ มีสองร้านที่เราตกหลุมรักและอยากแนะนำให้ทุกคนที่ไปได้ไปลองดู เชื่อว่าน่าจะถูกใจใครหลายๆคนนะครับ
ร้านแรกชื่อร้านว่า TRUNKH. (เป็น Concept Store ที่มีกลิ่นอายซื่อๆ น่ารักมากครับ)
https://www.facebook.com/trunkh?fref=ts
ร้านที่สองชื่อว่า Friends 'N' Stuff ( ร้านแฮนด์เมดทำจากนักเรียนซึ่งโรงเรียนก็อยู่ข้างๆนั่นแหละครับ รายได้ช่วยบริจาคเป็นค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียนด้วยครับ ได้ของได้บุญด้วย )
https://www.facebook.com/FriendsNStuff?fref=ts
เอาล่ะครับ บ่ายสองโมงได้เวลาเข้าสู่ราชวังของเค้าแล้วล่ะครับ ลักษณะสถาปัตยกรรมโดยรวมของราชวังมีความใกล้เคียงกับบ้านเรามากเลยครับ รู้สึกเหมือนเดินอยู่ที่พระบรมมหาราชวังกับวัดพระแก้วบ้านเรา แต่โดยรายละเอียดก็ทำให้แหล่ะครับว่าไม่ใช่ ได้กลิ่นอายขลังๆ ไปอีกแบบ
โดยความคิดเห็นของเราเองนะครับ ถ้าจะบอกว่าบ้านไหนคือบ้านพี่เมืองน้องกับบ้านเรา ผมว่าเขมรนี่แหละครับที่น่าจะใกล้เคียงกับบ้านเรามากที่สุด ทั้งรูปร่างหน้าตา ภาษาและการออกเสียง อาหาร อากาศ สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นบ้านเรากับบ้านเค้าดูออกจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาเสียมากกว่าใช่มั้ยครับ ก็เลือกที่เราสบายใจดีกว่าครับ เรารู้สึกสะดวกใจสบายกาย เท่านั้นทุกอย่างจบปึ้ง...
ขอเล่าเรื่องผ่านรูปไปเรื่อยๆละกันนะครับ ตามมาสิครับ...