บทนำ
http://ppantip.com/topic/34142434
บทที่ 1
http://ppantip.com/topic/34163211
บุหลันลายโศก บทที่ 2
แม้จะอยู่ห่างจากโรงแรมชั้นนำของภูเก็ตแค่รั้วกั้น หากบรรยากาศโดยรอบบ้านชมบุหลันกลับเงียบเหงา แห้งแล้ง ด้วยเพราะไม่เคยได้รับการดูแล บำรุงรักษา ประดู่ต้นใหญ่ยืนต้นเคียงคู่ตึกโบราณอย่างน่าเกรงขามดอกสีเหลืองสดใสทำให้ตึกใหญ่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก นอกจากต้นประดู่แล้วบริเวณรอบๆตึกใหญ่แทบจะไม่มีต้นไม้ชนิดอื่นเลยแม้แต่ต้นหญ้าก็เป็นเพียงหญ้าแห้งๆ เหี่ยวเฉา
ชลัลนาเดินวกจากด้านซ้ายของตึกมายังด้านขวาเพิ่งสังเกตว่าตรงริมรั้วมีต้นไม้ชนิดหนึ่งส่วนที่โผล่พ้นดินออกมาเป็นก้านใบยาว ชูกาบใบเป็นลำต้นออกดอกชูช่อตรงปลายยอดสีขาวนวลบริสุทธิ์ ขึ้นเรียงรายอยู่หลายต้นตรงบริเวณริมรั้วเก่าๆ กลีบดอกสีขาวละออตาที่ชลัลนาลงความเห็นว่าคล้ายปีกผีเสื้อดูงดงามชวนลงใหลจนหญิงสาวต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ กลิ่นหอมละมุนของมันทำให้ชลัลนาเผลอก้มลงสูดดมเบาๆ นึกชื่นชอบดอกไม้ชนิดนี้ขึ้นมาจับจิต มองซ้ายมองขวาเห็นกระป๋องโลหะที่ถูกตัดออกจนปากเปิดกว้าง
ชลัลนาจึงไม่รอช้าคว้าเศษไม้เล็กๆที่พอจะนำมาขุดเขี่ยดินได้ ค่อยๆขุดๆทิ่มๆให้ดินอ่อนตัวก่อนจะออกแรงดึงลำต้นที่มีเหง้าเล็กๆติดมาด้วยใส่ในกระป๋องโลหะแล้วจึงกอบดินแถวนั้นเติมจนเต็มแน่นกระป๋อง
หญิงสาวมองดูผลงานของตัวเองก็ยิ้มขบขันอยู่คนเดียว ใครรู้เข้าก็คงนึกตลกที่เห็นผู้หญิงบุคลิกมาดมั่นอย่างชลัลนายอมลงทุนถอนต้นไม้ชนิดนี้เพื่อไปปลูก หญิงสาวมัวแต่ชื่นชมผลงานจนรู้ตัวอีกทีก็เย็นมากแล้ว ความมืดเริ่มโรยตัวแทนที่แสงสว่าง ลมเย็นที่พัดโชยมาชวนให้รู้สึกเย็นวาบ
หญิงสาวจึงรีบสาวเท้าออกจากบริเวณนั้นทันที ก้าวเท้าเดินด้วยความเร็วสม่ำเสมอหากสายตาก็ไม่หยุดชื่นชมเจ้าดอกสีขาวนวลที่ถือมา จึงไม่ทันสังเกตคนที่กำลังก้มหน้างุดรื้อๆค้นๆอะไรสักอย่างอยู่ในกระเป๋าเป้ของตัวเอง หญิงสาวชนกระแทกร่างใหญ่นั้นอย่างจังก่อนที่กระป๋องโลหะในมือเธอจะหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นทั้งต้นไม้และเศษดินกระเด็นออกกระจัดกระจาย ไม่ต่างจากข้าวของในกระเป๋าเป้ของชายหนุ่ม ชลัลนารีบ กล่าวขอโทษละล่ำละลักเช่นเดียวกับอีกฝ่าย
“ขอโทษด้วยค่ะ” กล่าวเสร็จหญิงสาวรีบเก็บข้าวของทั้งของตัวเองและของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นอะไรมากรึเปล่า” ชายหนุ่มมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของที่พื้นตรงหน้า
ชลัลนาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินประโยคนั้นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มมองตอบมาพอดี เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเห็นหน้ากันชัดเจน ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆอย่างเป็นมิตรให้หญิงสาว ชลัลนาก้มลงกอบดินที่พื้นใส่กระป๋องโลหะเหมือนเดิมอย่างเร่งรีบ รู้สึกไม่อยากไว้ใจผู้ชายตรงหน้าขึ้นมาทันที แม้สายตาที่ส่งให้เธอจะดูเป็นมิตร แต่สำเนียงการพูดภาษาไทยแบบแปร่งๆทำให้ชลัลนาเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตนเอง คนตรงหน้าอาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพที่หวังสร้างสถานการณ์ตบทรัพย์เธอก็เป็นได้
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ทันสังเกต” พูดจบชลัลนาก็ลุกขึ้นพรวดพราดในมือถือกระป๋องโลหะรีบหันหลังกลับทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ” ชายหนุ่มรีบร้องขึ้นรั้งหญิงสาวไว้ เขาเก็บข้าวของของตัวเองเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากไม่หันไปเห็นผ้าขาวว่างเปล่าที่ก่อนหน้านี้มัน
เคยบรรจุบางอย่างไว้เต็ม ชลัลนาชะงักเท้าไว้หากยังไม่ยอมหันไปหาคนต้นเสียงตั้งใจว่าหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลเธอพร้อมจะใส่เกียร์หมาออกวิ่งในทันที
“ผมขอดูต้นไม้ในมือคุณได้มั้ย” เมื่อได้ยินประโยคนั้นชลัลนาลืมความกังวลที่ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นมิจฉาชีพไปทันที เปลี่ยนเป็นความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงที่อีกฝ่ายถือวิสาสะขอดูต้นไม้ในมือเธอ
“ก็แค่ต้นไม้ธรรมดาคุณจะดูไปทำไม”
“ผมสงสัยว่าดินที่คุณใช้ปลูกต้นไม้ต้นนั้นจะเป็นดินของผม”
“หะ! คุณว่าอะไรนะ” ถึงตอนนี้อารมณ์ที่เริ่มกรุ่นๆมานานของชลัลนาเดือดพล่านขึ้นมาทันที ผู้ชายตรงหน้ากำลังกล่าวหาว่าเธอขโมยดินของเขามาปลูกต้นไม้ต้นนี้ ตลกเสียยิ่งกว่าคณะตลกในร้านหมูกะทะเป็นไหนๆก็ดินที่เธอเอามาคือดินในบริเวณบ้านชมบุหลันซึ่งเธอมีสิทธิจะทำอะไรกับสิ่งของในบ้านชมบุหลันได้ทุกอย่าง หรือตอนที่ชนกับผู้ชายตรงหน้าแล้วกระป๋องดินเกิดตกกระจายเธอก็เพียงโกยดินส่วนที่กระเด็นออกไปกลับคืนมาถ้ามันจะติดเศษดินบนพื้นถนนนี้ไปบ้างก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ชายตรงหน้าจะมาทึกทักเอาว่าเธอเป็นคนขโมยดินเขาไป
“ดินในกระป๋องใบนั้นเป็นดินของผม” สำเนียงการพูดแปร่งปร่าผิดไปจากคนไทยทั่วไป ผิวขาวผ่องสว่างไสวและดวงตาชั้นเดียวรีเล็กนั้นทำให้ชลัลนาเริ่มมั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พลเมืองไทยเป็นแน่
“ดินในกระป๋องใบนี้เป็นดินของฉันค่ะ ฉันเป็นคนขุดมันมาจากบริเวณบ้านของฉันเอง” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดว่า
“แต่มันมีดินของผมปนอยู่ในนั้นด้วย”
“ดินนี่เป็นของฉันค่ะ” หญิงสาวพ่นคำพูดอย่างเหลืออด มันน่าตลกสิ้นดีที่ต้องมาถกเถียงกับใครที่ไหนไม่รู้เรื่องดินแค่กำมือเดียว ชลัลนาสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงอย่างอดกลั้นก่อนจะพูดต่อ
“ฉันไปเอาดินของคุณมาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ...ค่ะ” ชลัลนาเกือบจะลืมต่อท้ายหางเสียงนั้นไปแล้วหากไม่นึกถึงมารยาทในการพูดขึ้นมาได้เสียก่อน
“เมื่อกี้นี้ตอนที่คุณก้มลงกวาดดินที่กระเด็นออกมาจากกระป๋องเพื่อใส่กลับไปใหม่คุณกวาดติดดินของผมไปด้วย”
“เฮ้ย! นี่คุณต้องการอะไรกันแน่” ความอดทนของหญิงสาวขาดผึง ผู้ชายตรงหน้าเธอคงบ้าไปแล้วแน่ที่คิดว่าเธอขโมยดินของเขาบนพื้นถนนนี้ไป
“ถนนนี้เป็นถนนสาธารณะถ้าฉันจะกวาดดินบนถนนนี้ไปบ้างสักเม็ดสองเม็ดก็คงไม่ถึงขั้นเป็นขโมยหรอกมั่ง ถ้าฉันมาตักไปเป็นรถๆก็ว่าไปอย่าง”
“รกๆ” ชายหนุ่มทวนคำนั้นอย่างนึกสงสัย ก่อนจะพูดต่อพลางยิ้มขบขัน
“คุณไม่ได้ทำอะไรรก เพียงแต่คุณเอาดินของผมไป” แน่แล้วชายตรงหน้าไม่ใช่คนไทยพันเปอร์เซ็นต์ แต่จะเป็นคนจีน
มาเลเซีย หรือที่ไหนนั้นชลัลนาไม่แน่ใจ
“แอ๊ะ! คุณนี่ท่าจะสติไม่ดีน่ะ ฉันพูดไม่รู้เรื่องรึไงว่าฉันไม่ได้เอาดินของคุณไป”
“ดินของผมในห่อผ้านี้” เขายกห่อผ้าสีขาวขนาดเท่ากำหมัดขึ้นโชว์ให้หญิงสาวดูก่อนจะพูดต่อ
“มันหล่นออกจากกระเป๋าของผมตอนที่เราชนกันแล้วมันก็กระจัดกระจายไปบนพื้นตอนที่คุณก้มลงกวาดดินของคุณใส่กลับไปในกระป๋องใบนั้นเพื่อปลูกต้นไม้ของคุณมันติดดินของผมไปด้วย” คราวนี้ชลัลนาเริ่มมองเห็นที่มาที่ไปของปัญหาที่ติดค้างใจมาตลอดการสนทนา
“ถ้าเป็นไปได้ผมขอดินในกระป๋องนั้นได้มั้ย หรือถ้าคุณจะกรุณาผมขอทั้งกระป๋องนั่นเลย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวรีบตอบทันทีทันควัน เธออุตสาห์ขุดต้นไม้และดินนี้มาหวังจะเอาไปปลูกไว้ชื่นชมที่บ้านจะให้ยกให้เขาไปง่ายๆได้ยังไง
“แม้ว่าดินในกระป๋องนี้จะมีดินของคุณปะปนอยู่ด้วยแต่มันก็มีดินของฉันอยู่มากกว่า และต้นไม้นี้ก็เป็นของฉันด้วย ฉันคงยกให้คุณไม่ได้หรอกค่ะ” ชายหนุ่มเริ่มปั้นหน้ายากเมื่อได้ยินประโยคที่ชลัลนาพูดอย่างรวดเร็วยาวเหยียดนั้น
“ได้โปรดเถอะ ผมขอซื้อก็ได้”
“เสียใจค่ะ ฉันคงขายให้คุณไม่ได้” นานเกินความจำเป็นไปแล้วที่ต้องเสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระอย่างนี้ ความมืดเริ่มปกคลุมจนนึกหวาดหวั่นต่อความปลอดภัยอีกครั้ง คงต้องยอมทิ้งปัญหาไว้ให้มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้หากไม่สามารถตกลงกันได้ ชลัลนาหันหลังกลับจะเดินจากไปอีกครั้งหากไม่ได้ยินที่สิ่งชายหนุ่มพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ดินนั่นเป็นดินจากหลุมฝังศพของยายผมเอง” ชลัลนาคล้ายใจหายวาบเมื่อได้ยินประโยคนั้น ใช่ว่าหญิงสาวนึกหวาดหวั่นต่อที่มาของดินนั่น หากแต่เป็นความสำคัญของดินเพียงไม่กี่หยิบมือที่มีต่อชายหนุ่มต่างหาก มันคงมีความสำคัญในทางใดทางหนึ่งต่อเขาอย่างมาก เขาเลยยอมหอบเศษดินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงแผ่นดินนี้ได้
“ชลัลนา” เสียงเรียกแข็งกระด้าง ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง รับรู้ได้ทันทีว่าคนพูดคงมีอาการไม่พอใจเธออยู่มากทีเดียว
“มืดค่ำป่านนี้แล้วทำไมไม่กลับที่พัก รู้มั้ยคนอื่นเขาเดือดร้อนกันแค่ไหนแล้ว” ไม่เพียงพูดทั้งสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเดือดร้อนที่ว่าได้อย่างชัดเจน
“อ้าว! ชาร์ล มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงค่ะ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร ทำไมไม่บอกให้แพมรู้ก่อน จะได้ไปรับที่สนามบิน” ทั้งๆที่เพิ่งจะเสียงเขียวกับน้องสาวไป หากเมื่อพูดกับชายหนุ่มพริมาเปลี่ยนอารมณ์ น้ำเสียงได้อย่างรวดเร็ว ชลัลนาแทบไม่อยากเชื่อว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันมาก่อน
“ผมมาถึงหลายวันแล้วล่ะ คิดว่าจะมาเที่ยวภูเก็ตก่อน เลยไม่ได้บอกแพม”
“เจอตัวพร้อมกันพอดีเลย ปลอดภัยกันก็ดีแล้ว มืดค่ำมากแล้วผมว่าเรารีบกลับโรงแรมกันก่อนดีกว่ามีอะไรค่อยไปคุยกันต่อที่นู้น” ชายหนุ่มที่มาถึงพร้อมกับพริมาคุ้นหน้าชลัลนาเป็นอย่างมาก หญิงสาวจึงไม่รอช้าที่จะกล่าวทักด้วยความมั่นใจ
“พี่พลัชใช่มั้ยค่ะ”
“ใช่แล้วครับลัลนา ไม่ได้เจอสะนานพี่เกือบจำไม่ได้”
“ลัลนาก็เกือบจำพี่พลัชไม่ได้เหมือนกันค่ะ”
“แล้วนั่นไปเอาต้นสเลเตมาจากที่ไหนกัน” ต้นไม้ที่มีดอกสีขานวลในมือชลัลนาสะดุดตาพลัชจนต้องเอ่ยถาม
“สเลเต” ชลัลนาทวนชื่อนั้นพร้อมใบหน้าที่มองไปที่พลัชคล้ายมีคำถาม
“ครับสเลเต หรือมหาหงส์ ลัลนาไปเอามาจากที่ไหน”
“ตรงริมรั้วบ้านชมบุหลันนั่นแหละค่ะ ลัลนาเห็นว่าดอกมันสวยดีกลิ่นหอมด้วย เลยอยากแยกเอาไปปลูกสักต้นหนึ่ง”
“กลิ่นหอมมากเลยล่ะดอกสเลเตเนี่ยพี่ยังชอบเลย อ่อ! ลืมแนะนำไป” สายตาของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนฟังคนทั้งสองยิ้มแฉ่งทำให้พลัชรีบพูดต่อ
“นี่คือคุณ ชาร์ล จางลี ไมลล์ ลัลนาคงไม่เคยรู้จัก คุณชาร์ลเป็นคนสิงคโปร์จะร่วมลงทุนทำธุรกิจกับเรา อีกหน่อยก็คงได้เจอกันบ่อยขึ้น คุณชาร์ลครับ
ผู้หญิงคนนี้ชื่อชลัลนาเป็นน้องสาวของพี่แพม ลัลนาเพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกัน” พลัชไม่รอช้ารีบแนะนำให้คนทั้งสองรู้จักกัน เพราะจับสีหน้าของชลัลนาได้ตั้งแต่เห็นพริมาทักทายกับชายหนุ่มแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับ” ชายหนุ่มยื่นมือทักทายให้หญิงสาว หากชลัลนายังไม่ยอมจับมือนั้นตอบแม้คนตรงหน้าจะแสดงออกด้วยท่าทางสุภาพ แต่สายตาของพริมาที่มองมาต่างหากคือสิ่งที่ทำให้หญิงสาวต้องชะงักและเปลี่ยนเป็นการพนมมือไหว้แบบไทยๆแทน
“รู้จักกันหมดแล้วก็ดี งั้นเรากลับโรงแรมกันเถอะค่ะ” พูดจบพริมาก็เดินตรงไปหาชาร์ล ก่อนจะพูดคุยอะไรกันอีกสองสามคำแล้วออกเดินนำหน้าพลัชและชลัลนาไป พลัชส่งยิ้มให้ชลัลนาอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินไปพร้อมๆกัน
บุหลันลายโศก บทที่ 2
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/34163211
บุหลันลายโศก บทที่ 2
แม้จะอยู่ห่างจากโรงแรมชั้นนำของภูเก็ตแค่รั้วกั้น หากบรรยากาศโดยรอบบ้านชมบุหลันกลับเงียบเหงา แห้งแล้ง ด้วยเพราะไม่เคยได้รับการดูแล บำรุงรักษา ประดู่ต้นใหญ่ยืนต้นเคียงคู่ตึกโบราณอย่างน่าเกรงขามดอกสีเหลืองสดใสทำให้ตึกใหญ่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก นอกจากต้นประดู่แล้วบริเวณรอบๆตึกใหญ่แทบจะไม่มีต้นไม้ชนิดอื่นเลยแม้แต่ต้นหญ้าก็เป็นเพียงหญ้าแห้งๆ เหี่ยวเฉา
ชลัลนาเดินวกจากด้านซ้ายของตึกมายังด้านขวาเพิ่งสังเกตว่าตรงริมรั้วมีต้นไม้ชนิดหนึ่งส่วนที่โผล่พ้นดินออกมาเป็นก้านใบยาว ชูกาบใบเป็นลำต้นออกดอกชูช่อตรงปลายยอดสีขาวนวลบริสุทธิ์ ขึ้นเรียงรายอยู่หลายต้นตรงบริเวณริมรั้วเก่าๆ กลีบดอกสีขาวละออตาที่ชลัลนาลงความเห็นว่าคล้ายปีกผีเสื้อดูงดงามชวนลงใหลจนหญิงสาวต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ กลิ่นหอมละมุนของมันทำให้ชลัลนาเผลอก้มลงสูดดมเบาๆ นึกชื่นชอบดอกไม้ชนิดนี้ขึ้นมาจับจิต มองซ้ายมองขวาเห็นกระป๋องโลหะที่ถูกตัดออกจนปากเปิดกว้าง
ชลัลนาจึงไม่รอช้าคว้าเศษไม้เล็กๆที่พอจะนำมาขุดเขี่ยดินได้ ค่อยๆขุดๆทิ่มๆให้ดินอ่อนตัวก่อนจะออกแรงดึงลำต้นที่มีเหง้าเล็กๆติดมาด้วยใส่ในกระป๋องโลหะแล้วจึงกอบดินแถวนั้นเติมจนเต็มแน่นกระป๋อง
หญิงสาวมองดูผลงานของตัวเองก็ยิ้มขบขันอยู่คนเดียว ใครรู้เข้าก็คงนึกตลกที่เห็นผู้หญิงบุคลิกมาดมั่นอย่างชลัลนายอมลงทุนถอนต้นไม้ชนิดนี้เพื่อไปปลูก หญิงสาวมัวแต่ชื่นชมผลงานจนรู้ตัวอีกทีก็เย็นมากแล้ว ความมืดเริ่มโรยตัวแทนที่แสงสว่าง ลมเย็นที่พัดโชยมาชวนให้รู้สึกเย็นวาบ
หญิงสาวจึงรีบสาวเท้าออกจากบริเวณนั้นทันที ก้าวเท้าเดินด้วยความเร็วสม่ำเสมอหากสายตาก็ไม่หยุดชื่นชมเจ้าดอกสีขาวนวลที่ถือมา จึงไม่ทันสังเกตคนที่กำลังก้มหน้างุดรื้อๆค้นๆอะไรสักอย่างอยู่ในกระเป๋าเป้ของตัวเอง หญิงสาวชนกระแทกร่างใหญ่นั้นอย่างจังก่อนที่กระป๋องโลหะในมือเธอจะหล่นลงไปกองอยู่กับพื้นทั้งต้นไม้และเศษดินกระเด็นออกกระจัดกระจาย ไม่ต่างจากข้าวของในกระเป๋าเป้ของชายหนุ่ม ชลัลนารีบ กล่าวขอโทษละล่ำละลักเช่นเดียวกับอีกฝ่าย
“ขอโทษด้วยค่ะ” กล่าวเสร็จหญิงสาวรีบเก็บข้าวของทั้งของตัวเองและของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นอะไรมากรึเปล่า” ชายหนุ่มมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของที่พื้นตรงหน้า
ชลัลนาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินประโยคนั้นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มมองตอบมาพอดี เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเห็นหน้ากันชัดเจน ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆอย่างเป็นมิตรให้หญิงสาว ชลัลนาก้มลงกอบดินที่พื้นใส่กระป๋องโลหะเหมือนเดิมอย่างเร่งรีบ รู้สึกไม่อยากไว้ใจผู้ชายตรงหน้าขึ้นมาทันที แม้สายตาที่ส่งให้เธอจะดูเป็นมิตร แต่สำเนียงการพูดภาษาไทยแบบแปร่งๆทำให้ชลัลนาเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตนเอง คนตรงหน้าอาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพที่หวังสร้างสถานการณ์ตบทรัพย์เธอก็เป็นได้
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ทันสังเกต” พูดจบชลัลนาก็ลุกขึ้นพรวดพราดในมือถือกระป๋องโลหะรีบหันหลังกลับทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ” ชายหนุ่มรีบร้องขึ้นรั้งหญิงสาวไว้ เขาเก็บข้าวของของตัวเองเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากไม่หันไปเห็นผ้าขาวว่างเปล่าที่ก่อนหน้านี้มัน
เคยบรรจุบางอย่างไว้เต็ม ชลัลนาชะงักเท้าไว้หากยังไม่ยอมหันไปหาคนต้นเสียงตั้งใจว่าหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลเธอพร้อมจะใส่เกียร์หมาออกวิ่งในทันที
“ผมขอดูต้นไม้ในมือคุณได้มั้ย” เมื่อได้ยินประโยคนั้นชลัลนาลืมความกังวลที่ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นมิจฉาชีพไปทันที เปลี่ยนเป็นความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงที่อีกฝ่ายถือวิสาสะขอดูต้นไม้ในมือเธอ
“ก็แค่ต้นไม้ธรรมดาคุณจะดูไปทำไม”
“ผมสงสัยว่าดินที่คุณใช้ปลูกต้นไม้ต้นนั้นจะเป็นดินของผม”
“หะ! คุณว่าอะไรนะ” ถึงตอนนี้อารมณ์ที่เริ่มกรุ่นๆมานานของชลัลนาเดือดพล่านขึ้นมาทันที ผู้ชายตรงหน้ากำลังกล่าวหาว่าเธอขโมยดินของเขามาปลูกต้นไม้ต้นนี้ ตลกเสียยิ่งกว่าคณะตลกในร้านหมูกะทะเป็นไหนๆก็ดินที่เธอเอามาคือดินในบริเวณบ้านชมบุหลันซึ่งเธอมีสิทธิจะทำอะไรกับสิ่งของในบ้านชมบุหลันได้ทุกอย่าง หรือตอนที่ชนกับผู้ชายตรงหน้าแล้วกระป๋องดินเกิดตกกระจายเธอก็เพียงโกยดินส่วนที่กระเด็นออกไปกลับคืนมาถ้ามันจะติดเศษดินบนพื้นถนนนี้ไปบ้างก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ชายตรงหน้าจะมาทึกทักเอาว่าเธอเป็นคนขโมยดินเขาไป
“ดินในกระป๋องใบนั้นเป็นดินของผม” สำเนียงการพูดแปร่งปร่าผิดไปจากคนไทยทั่วไป ผิวขาวผ่องสว่างไสวและดวงตาชั้นเดียวรีเล็กนั้นทำให้ชลัลนาเริ่มมั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พลเมืองไทยเป็นแน่
“ดินในกระป๋องใบนี้เป็นดินของฉันค่ะ ฉันเป็นคนขุดมันมาจากบริเวณบ้านของฉันเอง” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดว่า
“แต่มันมีดินของผมปนอยู่ในนั้นด้วย”
“ดินนี่เป็นของฉันค่ะ” หญิงสาวพ่นคำพูดอย่างเหลืออด มันน่าตลกสิ้นดีที่ต้องมาถกเถียงกับใครที่ไหนไม่รู้เรื่องดินแค่กำมือเดียว ชลัลนาสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงอย่างอดกลั้นก่อนจะพูดต่อ
“ฉันไปเอาดินของคุณมาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ...ค่ะ” ชลัลนาเกือบจะลืมต่อท้ายหางเสียงนั้นไปแล้วหากไม่นึกถึงมารยาทในการพูดขึ้นมาได้เสียก่อน
“เมื่อกี้นี้ตอนที่คุณก้มลงกวาดดินที่กระเด็นออกมาจากกระป๋องเพื่อใส่กลับไปใหม่คุณกวาดติดดินของผมไปด้วย”
“เฮ้ย! นี่คุณต้องการอะไรกันแน่” ความอดทนของหญิงสาวขาดผึง ผู้ชายตรงหน้าเธอคงบ้าไปแล้วแน่ที่คิดว่าเธอขโมยดินของเขาบนพื้นถนนนี้ไป
“ถนนนี้เป็นถนนสาธารณะถ้าฉันจะกวาดดินบนถนนนี้ไปบ้างสักเม็ดสองเม็ดก็คงไม่ถึงขั้นเป็นขโมยหรอกมั่ง ถ้าฉันมาตักไปเป็นรถๆก็ว่าไปอย่าง”
“รกๆ” ชายหนุ่มทวนคำนั้นอย่างนึกสงสัย ก่อนจะพูดต่อพลางยิ้มขบขัน
“คุณไม่ได้ทำอะไรรก เพียงแต่คุณเอาดินของผมไป” แน่แล้วชายตรงหน้าไม่ใช่คนไทยพันเปอร์เซ็นต์ แต่จะเป็นคนจีน
มาเลเซีย หรือที่ไหนนั้นชลัลนาไม่แน่ใจ
“แอ๊ะ! คุณนี่ท่าจะสติไม่ดีน่ะ ฉันพูดไม่รู้เรื่องรึไงว่าฉันไม่ได้เอาดินของคุณไป”
“ดินของผมในห่อผ้านี้” เขายกห่อผ้าสีขาวขนาดเท่ากำหมัดขึ้นโชว์ให้หญิงสาวดูก่อนจะพูดต่อ
“มันหล่นออกจากกระเป๋าของผมตอนที่เราชนกันแล้วมันก็กระจัดกระจายไปบนพื้นตอนที่คุณก้มลงกวาดดินของคุณใส่กลับไปในกระป๋องใบนั้นเพื่อปลูกต้นไม้ของคุณมันติดดินของผมไปด้วย” คราวนี้ชลัลนาเริ่มมองเห็นที่มาที่ไปของปัญหาที่ติดค้างใจมาตลอดการสนทนา
“ถ้าเป็นไปได้ผมขอดินในกระป๋องนั้นได้มั้ย หรือถ้าคุณจะกรุณาผมขอทั้งกระป๋องนั่นเลย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวรีบตอบทันทีทันควัน เธออุตสาห์ขุดต้นไม้และดินนี้มาหวังจะเอาไปปลูกไว้ชื่นชมที่บ้านจะให้ยกให้เขาไปง่ายๆได้ยังไง
“แม้ว่าดินในกระป๋องนี้จะมีดินของคุณปะปนอยู่ด้วยแต่มันก็มีดินของฉันอยู่มากกว่า และต้นไม้นี้ก็เป็นของฉันด้วย ฉันคงยกให้คุณไม่ได้หรอกค่ะ” ชายหนุ่มเริ่มปั้นหน้ายากเมื่อได้ยินประโยคที่ชลัลนาพูดอย่างรวดเร็วยาวเหยียดนั้น
“ได้โปรดเถอะ ผมขอซื้อก็ได้”
“เสียใจค่ะ ฉันคงขายให้คุณไม่ได้” นานเกินความจำเป็นไปแล้วที่ต้องเสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระอย่างนี้ ความมืดเริ่มปกคลุมจนนึกหวาดหวั่นต่อความปลอดภัยอีกครั้ง คงต้องยอมทิ้งปัญหาไว้ให้มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้หากไม่สามารถตกลงกันได้ ชลัลนาหันหลังกลับจะเดินจากไปอีกครั้งหากไม่ได้ยินที่สิ่งชายหนุ่มพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ดินนั่นเป็นดินจากหลุมฝังศพของยายผมเอง” ชลัลนาคล้ายใจหายวาบเมื่อได้ยินประโยคนั้น ใช่ว่าหญิงสาวนึกหวาดหวั่นต่อที่มาของดินนั่น หากแต่เป็นความสำคัญของดินเพียงไม่กี่หยิบมือที่มีต่อชายหนุ่มต่างหาก มันคงมีความสำคัญในทางใดทางหนึ่งต่อเขาอย่างมาก เขาเลยยอมหอบเศษดินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงแผ่นดินนี้ได้
“ชลัลนา” เสียงเรียกแข็งกระด้าง ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง รับรู้ได้ทันทีว่าคนพูดคงมีอาการไม่พอใจเธออยู่มากทีเดียว
“มืดค่ำป่านนี้แล้วทำไมไม่กลับที่พัก รู้มั้ยคนอื่นเขาเดือดร้อนกันแค่ไหนแล้ว” ไม่เพียงพูดทั้งสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความเดือดร้อนที่ว่าได้อย่างชัดเจน
“อ้าว! ชาร์ล มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงค่ะ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร ทำไมไม่บอกให้แพมรู้ก่อน จะได้ไปรับที่สนามบิน” ทั้งๆที่เพิ่งจะเสียงเขียวกับน้องสาวไป หากเมื่อพูดกับชายหนุ่มพริมาเปลี่ยนอารมณ์ น้ำเสียงได้อย่างรวดเร็ว ชลัลนาแทบไม่อยากเชื่อว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันมาก่อน
“ผมมาถึงหลายวันแล้วล่ะ คิดว่าจะมาเที่ยวภูเก็ตก่อน เลยไม่ได้บอกแพม”
“เจอตัวพร้อมกันพอดีเลย ปลอดภัยกันก็ดีแล้ว มืดค่ำมากแล้วผมว่าเรารีบกลับโรงแรมกันก่อนดีกว่ามีอะไรค่อยไปคุยกันต่อที่นู้น” ชายหนุ่มที่มาถึงพร้อมกับพริมาคุ้นหน้าชลัลนาเป็นอย่างมาก หญิงสาวจึงไม่รอช้าที่จะกล่าวทักด้วยความมั่นใจ
“พี่พลัชใช่มั้ยค่ะ”
“ใช่แล้วครับลัลนา ไม่ได้เจอสะนานพี่เกือบจำไม่ได้”
“ลัลนาก็เกือบจำพี่พลัชไม่ได้เหมือนกันค่ะ”
“แล้วนั่นไปเอาต้นสเลเตมาจากที่ไหนกัน” ต้นไม้ที่มีดอกสีขานวลในมือชลัลนาสะดุดตาพลัชจนต้องเอ่ยถาม
“สเลเต” ชลัลนาทวนชื่อนั้นพร้อมใบหน้าที่มองไปที่พลัชคล้ายมีคำถาม
“ครับสเลเต หรือมหาหงส์ ลัลนาไปเอามาจากที่ไหน”
“ตรงริมรั้วบ้านชมบุหลันนั่นแหละค่ะ ลัลนาเห็นว่าดอกมันสวยดีกลิ่นหอมด้วย เลยอยากแยกเอาไปปลูกสักต้นหนึ่ง”
“กลิ่นหอมมากเลยล่ะดอกสเลเตเนี่ยพี่ยังชอบเลย อ่อ! ลืมแนะนำไป” สายตาของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนฟังคนทั้งสองยิ้มแฉ่งทำให้พลัชรีบพูดต่อ
“นี่คือคุณ ชาร์ล จางลี ไมลล์ ลัลนาคงไม่เคยรู้จัก คุณชาร์ลเป็นคนสิงคโปร์จะร่วมลงทุนทำธุรกิจกับเรา อีกหน่อยก็คงได้เจอกันบ่อยขึ้น คุณชาร์ลครับ
ผู้หญิงคนนี้ชื่อชลัลนาเป็นน้องสาวของพี่แพม ลัลนาเพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกัน” พลัชไม่รอช้ารีบแนะนำให้คนทั้งสองรู้จักกัน เพราะจับสีหน้าของชลัลนาได้ตั้งแต่เห็นพริมาทักทายกับชายหนุ่มแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการครับ” ชายหนุ่มยื่นมือทักทายให้หญิงสาว หากชลัลนายังไม่ยอมจับมือนั้นตอบแม้คนตรงหน้าจะแสดงออกด้วยท่าทางสุภาพ แต่สายตาของพริมาที่มองมาต่างหากคือสิ่งที่ทำให้หญิงสาวต้องชะงักและเปลี่ยนเป็นการพนมมือไหว้แบบไทยๆแทน
“รู้จักกันหมดแล้วก็ดี งั้นเรากลับโรงแรมกันเถอะค่ะ” พูดจบพริมาก็เดินตรงไปหาชาร์ล ก่อนจะพูดคุยอะไรกันอีกสองสามคำแล้วออกเดินนำหน้าพลัชและชลัลนาไป พลัชส่งยิ้มให้ชลัลนาอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินไปพร้อมๆกัน