คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 34
ชีวิตและเรื่องราวสามเณรมีให้เล่าสู่กันฟังมากมายและหลากหลาย....นี่ก็คืออีกเสี่ยวหนึ่งที่ผมขอนำเสนอ
ร่วมแชร์กับคุณพี่สาวครับ ทางอีสาน สำหรับเณรสึกออกมาเขาจะเรียก "เซียง" ถ้าเป็นพระเขาจะเรียก "ทิด"
ภาพนี้ถ่ายหลายสิบปีมาแล้ว
ปี2525: เราสะพายย่ามออกจากหมู่บ้านไปหนองคาย เพื่อเล่าเรียนแผนกบาลี
เป็นวัดในหมู่บ้านที่เขตชานเมือง ติดริมน้ำโขง.....ตกเย็นมาเหน็บสบงเลื้องอังสะได้
ก็กระโจนลงน้ำโขงกับพี่เณรและน้องเณร...สรงน้ำสไตส์ง่ายๆ
ฉันเช้าเสร็จอาศัยโบกรถบรรทุกอ้อยเข้าในเมืองเรียนบาลีทุกวัน
ความที่เป็นสามเณรที่กำลังย่างสู่วัยรุ่น.....หัวนมกำลังแตกพาน ก็มีบ้าง....
มีบ้างที่ต้องคอยวิ่งตามจิตบางดวงที่ควบคุมได้ยากซึ่งเจ้าจิตที่ว่านี้เรียกว่า “จิตปฏิพัธ”
ไปเกิดปฏิพัธดรุณีน้อยนางหนึ่ง ที่ต้องเจอะเจอกันทุกรุ่งอรุณ......ด้วยเพราะหน้าที่
เธอจะสะพายกระติ๊บข้าวเหนียวมารอ....ส่วนเราก็อุ้มบาตรไปรับข้าวจากเธอ
เฝ้าสังเกตุมาระยะหนึ่ง.....เธอจะดูเป็นปรกติเวลาใส่บาตรพระและเณรรูปอื่น
แต่เมื่อมาถึงเรา...เธอจะก้มหน้าหลบเวลาใส่บาตร......
ใจเกิดปฏิพัธตอนไหน....ไม่รู้จริงๆ
รู้แต่ว่า....หลังจากเสร็จกิจจากกวาดวิหารลานเจดีย์ทุกๆ เช้าแล้ว....
เราจะกุลีกุจอครองจีวรรอพระเณรรูปอื่นที่จะออกบิณฑบาตรรอบหมู่บ้าน
เช้าวันนั้น.....หลังจากออกเดินบิณฑบาตรไม่กี่ก้าว ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ
พระเณรทุกรูปไม่มีใครมีร่มสักคัน........จำต้องเดินบิณฑบาตรทั้งๆ ที่ฝนตก
ญาติโยมส่วนใหญ่ก็จะกางร่มออกมาใส่บาตร
.
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
.
.เธอกางร่มออกมาคอยใส่บาตรที่หน้าบ้าน
มือซ้ายหนีบคันร่มและอุ้มกระติ๊บข้าว มือขวาก็หยิบข้าวเหนียวใส่บาตร
มาถึงคิวพี่เณร.....ดูเหมือนว่าคราวนี้เธอไม่ก้มหน้าหลบพี่เณรเหมือนทุกครั้ง
เธอมองจีวรของพี่เณรที่เปียกปอน....แล้วเผลอสบตากับพี่เณรเข้าอย่างจัง
เธอบรรจงหย่อนข้าวเหนียวลงบาตร....ลมกรรโชกมาวูบหนึ่ง
ร่มที่เธอหนีบไว้อย่างหลวมๆ ก็ปลิวโอนไปตามกระแสลม
ปลายก้านของร่มที่เป็นเส้นเหล็กก้านเล็กๆ ......ปักฉึกเข้าเหนือหน้าผากพี่เณร
เลือดสดๆ ผสมสายฝน......ไหลอาบลงบนหน้าพี่เณร
เธออุทานตกใจทิ้งคันร่ม.....ลืมตัวทำท่าจะโผเข้าประคองพี่เณร
และคงนึกตัวขึ้นได้ทัน....เธอรีบทรุดเข่าลงพื้นก้มกราบขอโทษพี่เณร
เพื่อนบ้านที่ใส่บาตรและพระเณรเห็นเหตการณ์รีบเข้ามาถาม
“เณรเป็นอะไรมากไหม?”
เรารู้สึกเฉยๆ....อาจจะด้วยความเคยชินกับแผลเล็กๆ บนหัวที่มักจะเกิดประจำ
เวลาโกนหัวทุกครั้งหรืออาจะความเย็นของสายฝน หรืออาจจะด้วยเพราะเธอ?
เราไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร......
เช้านั้น...เธอกับแม่มาที่วัด พร้อมนำยาแดงและพลาสเตอร์มาถวาย
เราก็บอกไปว่าไม่เจ็บอะไรเลย..............
ปีรุ่งขึ้น................เธอสอบติดมัธยมปลายที่โรงเรียนประจำจังหวัด
ไปอาศัยกับป้าในตัวเมือง นานๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมบ้าน
ส่วนพี่เณร....หลังกวาดวิหารลานเจดีย์ทุกเช้า
แทบจะไม่มีกะจิตกะใจจะออกบิณฑบาตตั้งแต่เธอย้ายไปอยู่ในเมือง.............
ร่วมแชร์กับคุณพี่สาวครับ ทางอีสาน สำหรับเณรสึกออกมาเขาจะเรียก "เซียง" ถ้าเป็นพระเขาจะเรียก "ทิด"
ภาพนี้ถ่ายหลายสิบปีมาแล้ว
ปี2525: เราสะพายย่ามออกจากหมู่บ้านไปหนองคาย เพื่อเล่าเรียนแผนกบาลี
เป็นวัดในหมู่บ้านที่เขตชานเมือง ติดริมน้ำโขง.....ตกเย็นมาเหน็บสบงเลื้องอังสะได้
ก็กระโจนลงน้ำโขงกับพี่เณรและน้องเณร...สรงน้ำสไตส์ง่ายๆ
ฉันเช้าเสร็จอาศัยโบกรถบรรทุกอ้อยเข้าในเมืองเรียนบาลีทุกวัน
ความที่เป็นสามเณรที่กำลังย่างสู่วัยรุ่น.....หัวนมกำลังแตกพาน ก็มีบ้าง....
มีบ้างที่ต้องคอยวิ่งตามจิตบางดวงที่ควบคุมได้ยากซึ่งเจ้าจิตที่ว่านี้เรียกว่า “จิตปฏิพัธ”
ไปเกิดปฏิพัธดรุณีน้อยนางหนึ่ง ที่ต้องเจอะเจอกันทุกรุ่งอรุณ......ด้วยเพราะหน้าที่
เธอจะสะพายกระติ๊บข้าวเหนียวมารอ....ส่วนเราก็อุ้มบาตรไปรับข้าวจากเธอ
เฝ้าสังเกตุมาระยะหนึ่ง.....เธอจะดูเป็นปรกติเวลาใส่บาตรพระและเณรรูปอื่น
แต่เมื่อมาถึงเรา...เธอจะก้มหน้าหลบเวลาใส่บาตร......
ใจเกิดปฏิพัธตอนไหน....ไม่รู้จริงๆ
รู้แต่ว่า....หลังจากเสร็จกิจจากกวาดวิหารลานเจดีย์ทุกๆ เช้าแล้ว....
เราจะกุลีกุจอครองจีวรรอพระเณรรูปอื่นที่จะออกบิณฑบาตรรอบหมู่บ้าน
เช้าวันนั้น.....หลังจากออกเดินบิณฑบาตรไม่กี่ก้าว ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ
พระเณรทุกรูปไม่มีใครมีร่มสักคัน........จำต้องเดินบิณฑบาตรทั้งๆ ที่ฝนตก
ญาติโยมส่วนใหญ่ก็จะกางร่มออกมาใส่บาตร
.
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
.
.เธอกางร่มออกมาคอยใส่บาตรที่หน้าบ้าน
มือซ้ายหนีบคันร่มและอุ้มกระติ๊บข้าว มือขวาก็หยิบข้าวเหนียวใส่บาตร
มาถึงคิวพี่เณร.....ดูเหมือนว่าคราวนี้เธอไม่ก้มหน้าหลบพี่เณรเหมือนทุกครั้ง
เธอมองจีวรของพี่เณรที่เปียกปอน....แล้วเผลอสบตากับพี่เณรเข้าอย่างจัง
เธอบรรจงหย่อนข้าวเหนียวลงบาตร....ลมกรรโชกมาวูบหนึ่ง
ร่มที่เธอหนีบไว้อย่างหลวมๆ ก็ปลิวโอนไปตามกระแสลม
ปลายก้านของร่มที่เป็นเส้นเหล็กก้านเล็กๆ ......ปักฉึกเข้าเหนือหน้าผากพี่เณร
เลือดสดๆ ผสมสายฝน......ไหลอาบลงบนหน้าพี่เณร
เธออุทานตกใจทิ้งคันร่ม.....ลืมตัวทำท่าจะโผเข้าประคองพี่เณร
และคงนึกตัวขึ้นได้ทัน....เธอรีบทรุดเข่าลงพื้นก้มกราบขอโทษพี่เณร
เพื่อนบ้านที่ใส่บาตรและพระเณรเห็นเหตการณ์รีบเข้ามาถาม
“เณรเป็นอะไรมากไหม?”
เรารู้สึกเฉยๆ....อาจจะด้วยความเคยชินกับแผลเล็กๆ บนหัวที่มักจะเกิดประจำ
เวลาโกนหัวทุกครั้งหรืออาจะความเย็นของสายฝน หรืออาจจะด้วยเพราะเธอ?
เราไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร......
เช้านั้น...เธอกับแม่มาที่วัด พร้อมนำยาแดงและพลาสเตอร์มาถวาย
เราก็บอกไปว่าไม่เจ็บอะไรเลย..............
ปีรุ่งขึ้น................เธอสอบติดมัธยมปลายที่โรงเรียนประจำจังหวัด
ไปอาศัยกับป้าในตัวเมือง นานๆ ทีจะกลับมาเยี่ยมบ้าน
ส่วนพี่เณร....หลังกวาดวิหารลานเจดีย์ทุกเช้า
แทบจะไม่มีกะจิตกะใจจะออกบิณฑบาตตั้งแต่เธอย้ายไปอยู่ในเมือง.............
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
"ชีวิตเหมือนการเดินทาง"
ใครบางคนเคยบอกไว้อย่างนั้น
จากก้าวแรกที่จุดเริ่มต้น จนถึงก้าวสุดท้ายที่จุดหมายปลายทาง
และก่อนที่แสงสุดท้ายจะดับไป พร้อมๆกับความทรงจำอันเลือนลาง ..........
เราผ่านอะไรมาบ้าง?
จดจำอะไรได้บ้าง?
หยุดพักกี่ครั้ง?
หลงทางกี่หน?
บางทีเราอาจนึกไม่ออก หรือเพราะจำไม่ไหว.... ค่าที่มันมากมายเหลือเกิน
สิ่งสำคัญสำหรับการเดินทาง ที่หลายๆคนมองข้าม แต่ก็อยากให้มี
"เพื่อนร่วมทาง" แม้จะไม่ใช่คนที่ดีเลิศ แต่ก็ทำให้เราไม่รู้สึกอ้างว้างจนเกินไป
คอยชี้ชวนให้เราแลมองทิวทัศน์ข้างทาง ได้ดูสรรพสิ่งต่างๆที่ผ่านไปบ้าง
คอยพูดคุยในยามที่เราง่วงเหงา หรือเบื่อหน่ายกับการพาชีวิตไปข้างหน้าบ้าง
หรือบางที เขาอาจจะรู้จักเส้นทางที่เราจะไปมากกว่าเราก็เป็นได้
"เพื่อนร่วมทาง"ถึงแม้อาจจะไม่สามารถพยุงเราให้ลุกขึ้น ในยามที่เราล้มได้
ถึงแม้จะเผลอม่อยหลับ ในยามที่เราต้องการการพูดคุยให้กำลังใจบ้าง
แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจลึกๆ ว่าเราไม่ได้เดินทางอย่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงาอยู่ลำพัง
..................
Travelling Boy เป็นเพลงที่ Paul Williams และ Roger Nihcols แต่งไว้เมื่อปี 1972
Art Garfunkel บันทึกเพลงนี้ในปี 1973 ซึ่งถือเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
เพลงของ Paul Williams ที่แต่งให้ผู้อื่น มักจะเป็นเพลงหวานปนเศร้า
อย่างเช่น หลายๆเพลงที่แต่งให้สองพี่น้อง The Carpenters
"We've Only Just Begun" และ "Rainy Days and Mondays"
แต่งให้ Barbra Streisand ร้องประกอบภาพยนต์ A Star Is Born
"Evergreen"..............
และ "You and Me Against the World"แต่งให้ Helen Reddy
Travelling Boy
Artist : Art Garfunkel
Written : Paul Williams & Roger Nihcols
Special Thanks to : Youtube chanel, named Ruth Gutierrez
ปล.ชอบเนื้อเพลงครับ ฟังแล้วรู้สึกเหงาๆแปลกๆ
ใครบางคนเคยบอกไว้อย่างนั้น
จากก้าวแรกที่จุดเริ่มต้น จนถึงก้าวสุดท้ายที่จุดหมายปลายทาง
และก่อนที่แสงสุดท้ายจะดับไป พร้อมๆกับความทรงจำอันเลือนลาง ..........
เราผ่านอะไรมาบ้าง?
จดจำอะไรได้บ้าง?
หยุดพักกี่ครั้ง?
หลงทางกี่หน?
บางทีเราอาจนึกไม่ออก หรือเพราะจำไม่ไหว.... ค่าที่มันมากมายเหลือเกิน
สิ่งสำคัญสำหรับการเดินทาง ที่หลายๆคนมองข้าม แต่ก็อยากให้มี
"เพื่อนร่วมทาง" แม้จะไม่ใช่คนที่ดีเลิศ แต่ก็ทำให้เราไม่รู้สึกอ้างว้างจนเกินไป
คอยชี้ชวนให้เราแลมองทิวทัศน์ข้างทาง ได้ดูสรรพสิ่งต่างๆที่ผ่านไปบ้าง
คอยพูดคุยในยามที่เราง่วงเหงา หรือเบื่อหน่ายกับการพาชีวิตไปข้างหน้าบ้าง
หรือบางที เขาอาจจะรู้จักเส้นทางที่เราจะไปมากกว่าเราก็เป็นได้
"เพื่อนร่วมทาง"ถึงแม้อาจจะไม่สามารถพยุงเราให้ลุกขึ้น ในยามที่เราล้มได้
ถึงแม้จะเผลอม่อยหลับ ในยามที่เราต้องการการพูดคุยให้กำลังใจบ้าง
แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจลึกๆ ว่าเราไม่ได้เดินทางอย่างโดดเดี่ยวและเงียบเหงาอยู่ลำพัง
..................
Travelling Boy เป็นเพลงที่ Paul Williams และ Roger Nihcols แต่งไว้เมื่อปี 1972
Art Garfunkel บันทึกเพลงนี้ในปี 1973 ซึ่งถือเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
เพลงของ Paul Williams ที่แต่งให้ผู้อื่น มักจะเป็นเพลงหวานปนเศร้า
อย่างเช่น หลายๆเพลงที่แต่งให้สองพี่น้อง The Carpenters
"We've Only Just Begun" และ "Rainy Days and Mondays"
แต่งให้ Barbra Streisand ร้องประกอบภาพยนต์ A Star Is Born
"Evergreen"..............
และ "You and Me Against the World"แต่งให้ Helen Reddy
Travelling Boy
Artist : Art Garfunkel
Written : Paul Williams & Roger Nihcols
Special Thanks to : Youtube chanel, named Ruth Gutierrez
ปล.ชอบเนื้อเพลงครับ ฟังแล้วรู้สึกเหงาๆแปลกๆ
ความคิดเห็นที่ 46
ตามหัวกระทู้ อีกสักเพลงนะคะ...
ของกิ๋นคนเมือง - จรัล มโนเพ็ชร-สุนทรี เวชานนท์
https://www.youtube.com/watch?v=OMUMrqm9AQU
ไหนๆ ก็ว่ากันด้วยเรื่องของกินแล้ว ขอเสนอ 10 เมนูสุขภาพ แถมให้ด้วยก็แล้วกัน
น่าจะถูกใจเพื่อนหลายคน นะคะ
10 สุดยอด "เมนูสุขภาพ" คุณค่าอาหารล้น-ต้านชรา
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์
โดยศูนย์เวช ศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติแนะนำ 10 เมนูสุขภาพ
รับปี 2556 สไตล์อายุรวัฒน์
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า
อาหาร 10 เมนู มีผลต้านชราและบำรุงสุขภาพ ได้แก่
1.ส้มตำไก่ย่าง ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง "มะเขือเทศ" ที่ช่วยป้องกัน
มะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม ส่วนมะละกอนั้นช่วย "ล้างพิษ" ให้กับลำไส้
ทั้งน้อยและใหญ่ ในมะละกอยังมีน้ำย่อย "ปาเปน" ช่วยเป็นน้ำยาล้างห้องน้ำ
ทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับ
ไก่ย่างมีข้อดีทำให้ไม่ขาดโปรตีน
2.แกงเขียวหวานไก่ ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ที่อุดมไปด้วย
วิตามินเอ, ดี, อี และเค ที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่ก็มีวิตามินบีที่
ช่วยบำรุงสมอง อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงก็มี "กรดแคปไซซิน"
กับ "เบต้าแคโรทีน" ที่ช่วยบำรุงสายตา
3.เมี่ยงปลาทู หยิบกินง่ายๆ ได้ทั้ง "ซัลโฟราเฟน" เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็งจาก
ใบคะน้าห่อเมี่ยง ยิ่งหั่น "มะเขือเทศราชินี" ใส่เข้าไปด้วยจะช่วยให้ผิวพรรณสวย
ส่วนในเนื้อปลาทูทอดมีทั้งกรดไขมันดีและ "แอสตาแซน ทิน" ที่กินเข้ากัน
4.ผัดไทย มีทั้งถั่วงอก อุดมด้วย "วิตามินซี" อยู่มากด้วย นอกจากนั้นถั่วและ
เต้าหู้ในผัดไทยยังอุดมไปด้วยวิตามินอี, แคลเซียม และสาร "พฤกษฮอร์โมน"
ที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน
5.ข้าวหอมนิล อุดมด้วยสาร "พฤกษเคมี" มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน
6.ข้าวตอกน้ำกะทิ มีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกเองที่มี "เส้นใย"
ช่วยในเรื่อง ไขมันและน้ำตาลได้ ส่วนวิตามินข้างในเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์
7.ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้ ได้วิตามินทั้งเอ, บี, ซี ในกล้วยยังมีเส้นใยกับ
สารกลุ่มฟีนอล "กรดเอลลาจิก" ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย
8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ ใส่เครื่องเคราทั้งเผือก, ลำไย, ลูกเดือย และธัญพืชอื่นๆ
เป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูงเพราะช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่
ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองก็มี "วิตามินอี" และ "ธาตุเหล็ก" สูงมาก รวมถึง "ธาตุม่วง
ต้านร่วงโรย (OPCs)"
9.ข้าวโพดม่วง มีทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน"และ
10.น้ำสมุนไพร เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก เป็นน้ำวิตามิน
ชั้นดี เริ่มตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ ส่วนน้ำกระเจี๊ยบ
มีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไต น้ำใบย่านางกับใบบัวบก ประกอบด้วย "คลอโรฟิลล์"
และยังมี "กลูต้าไทโอน" ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:ข่าวสดรายวัน 29 ม.ค.2556
ใครทานอาหารเหล่านี้ประจำบ้าง ...พี่สาวว่าจะกินส้มตำนะ พรุ่งนี้
แต่ฟันมันชราตามเจ้าของ ไปแล้ว เลยจะเปลี่ยนจากมะละกอเป็นแอปเปิล
หั่นให้เป็นเส้นๆ เหมือนมะละกอเลย ลองทำหลายครั้งแล้ว อร่อยเชียวละ
ของกิ๋นคนเมือง - จรัล มโนเพ็ชร-สุนทรี เวชานนท์
https://www.youtube.com/watch?v=OMUMrqm9AQU
ไหนๆ ก็ว่ากันด้วยเรื่องของกินแล้ว ขอเสนอ 10 เมนูสุขภาพ แถมให้ด้วยก็แล้วกัน
น่าจะถูกใจเพื่อนหลายคน นะคะ
10 สุดยอด "เมนูสุขภาพ" คุณค่าอาหารล้น-ต้านชรา
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์
โดยศูนย์เวช ศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติแนะนำ 10 เมนูสุขภาพ
รับปี 2556 สไตล์อายุรวัฒน์
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า
อาหาร 10 เมนู มีผลต้านชราและบำรุงสุขภาพ ได้แก่
1.ส้มตำไก่ย่าง ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง "มะเขือเทศ" ที่ช่วยป้องกัน
มะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม ส่วนมะละกอนั้นช่วย "ล้างพิษ" ให้กับลำไส้
ทั้งน้อยและใหญ่ ในมะละกอยังมีน้ำย่อย "ปาเปน" ช่วยเป็นน้ำยาล้างห้องน้ำ
ทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับ
ไก่ย่างมีข้อดีทำให้ไม่ขาดโปรตีน
2.แกงเขียวหวานไก่ ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ที่อุดมไปด้วย
วิตามินเอ, ดี, อี และเค ที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่ก็มีวิตามินบีที่
ช่วยบำรุงสมอง อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงก็มี "กรดแคปไซซิน"
กับ "เบต้าแคโรทีน" ที่ช่วยบำรุงสายตา
3.เมี่ยงปลาทู หยิบกินง่ายๆ ได้ทั้ง "ซัลโฟราเฟน" เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็งจาก
ใบคะน้าห่อเมี่ยง ยิ่งหั่น "มะเขือเทศราชินี" ใส่เข้าไปด้วยจะช่วยให้ผิวพรรณสวย
ส่วนในเนื้อปลาทูทอดมีทั้งกรดไขมันดีและ "แอสตาแซน ทิน" ที่กินเข้ากัน
4.ผัดไทย มีทั้งถั่วงอก อุดมด้วย "วิตามินซี" อยู่มากด้วย นอกจากนั้นถั่วและ
เต้าหู้ในผัดไทยยังอุดมไปด้วยวิตามินอี, แคลเซียม และสาร "พฤกษฮอร์โมน"
ที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน
5.ข้าวหอมนิล อุดมด้วยสาร "พฤกษเคมี" มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน
6.ข้าวตอกน้ำกะทิ มีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกเองที่มี "เส้นใย"
ช่วยในเรื่อง ไขมันและน้ำตาลได้ ส่วนวิตามินข้างในเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์
7.ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้ ได้วิตามินทั้งเอ, บี, ซี ในกล้วยยังมีเส้นใยกับ
สารกลุ่มฟีนอล "กรดเอลลาจิก" ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย
8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ ใส่เครื่องเคราทั้งเผือก, ลำไย, ลูกเดือย และธัญพืชอื่นๆ
เป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูงเพราะช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่
ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองก็มี "วิตามินอี" และ "ธาตุเหล็ก" สูงมาก รวมถึง "ธาตุม่วง
ต้านร่วงโรย (OPCs)"
9.ข้าวโพดม่วง มีทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน"และ
10.น้ำสมุนไพร เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก เป็นน้ำวิตามิน
ชั้นดี เริ่มตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ ส่วนน้ำกระเจี๊ยบ
มีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไต น้ำใบย่านางกับใบบัวบก ประกอบด้วย "คลอโรฟิลล์"
และยังมี "กลูต้าไทโอน" ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:ข่าวสดรายวัน 29 ม.ค.2556
ใครทานอาหารเหล่านี้ประจำบ้าง ...พี่สาวว่าจะกินส้มตำนะ พรุ่งนี้
แต่ฟันมันชราตามเจ้าของ ไปแล้ว เลยจะเปลี่ยนจากมะละกอเป็นแอปเปิล
หั่นให้เป็นเส้นๆ เหมือนมะละกอเลย ลองทำหลายครั้งแล้ว อร่อยเชียวละ
ความคิดเห็นที่ 17
นกเขาไฟ : พงษ์เทพ
ขอแจมหัวทู้ด้วยเพลงที่มีสำเนียงดนตรีของชนชาติลั๊วะ ชาวเขาเผ่าหนึ่ง ที่ถูกปราชญ์กวีชาวบ้านอย่างพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ จับเอาเรื่องราววิถีชีวิตประจำวันของชาวลั๊วะ มาขับกล่อมบรรเลงด้วย ดนตรีที่มีสเน่ห์ และเนื้อร้องที่สะท้อนปรัญญาชีวิตชาวเขา ที่ขอเพียง ชีวิตเรียบง่ายตามวิถีของตนเองเท่านั้น
ข้าพเจ้า นายพระรอง ขอคาราวะเจตจำนงค์ที่งดงามของชนชาวลั๊วะ
และขอคาราวะความงดงามของบทประพันธุ์เพชรน้ำงามของ กวีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง อย่างพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
ไว้ ณ.ที่นี้ ด้วยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอแจมหัวทู้ด้วยเพลงที่มีสำเนียงดนตรีของชนชาติลั๊วะ ชาวเขาเผ่าหนึ่ง ที่ถูกปราชญ์กวีชาวบ้านอย่างพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ จับเอาเรื่องราววิถีชีวิตประจำวันของชาวลั๊วะ มาขับกล่อมบรรเลงด้วย ดนตรีที่มีสเน่ห์ และเนื้อร้องที่สะท้อนปรัญญาชีวิตชาวเขา ที่ขอเพียง ชีวิตเรียบง่ายตามวิถีของตนเองเท่านั้น
ข้าพเจ้า นายพระรอง ขอคาราวะเจตจำนงค์ที่งดงามของชนชาวลั๊วะ
และขอคาราวะความงดงามของบทประพันธุ์เพชรน้ำงามของ กวีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง อย่างพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
ไว้ ณ.ที่นี้ ด้วยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม............มีแต่เสียง 14/9/2015
กระทู้นี้ เป็นมุมพักผ่อน มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม.........แต่มีเสียง...................
MC sao..เหลือ..noi อาสารับหน้าที่
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกัน
แล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
พี่สาวแอบมีเชื้อสาย เป็นคนเหนือ แบบ ครึ่งเสี้ยว เพราะ มีคุณย่า เป็นคนเหนือค่ะ
วันนี้ เลยขอเสนอ เพลงคำเมือง ของศิลปินล้านนา คนดัง .....
อุ้ยคำ - จรัล มโนเพ็ชร
https://www.youtube.com/watch?v=bwiiPl7EO0A
จรัล มโนเพ็ชร (1 มกราคม พ.ศ. 2498[1] — 3 กันยายน พ.ศ. 2544) เป็นศิลปินชาวไทย
ผู้เป็นทั้งนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง และนักแสดง ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่
แห่งยุคสมัย งานดนตรีของจรัลมีเอกลักษณ์จากการสร้างสรรค์ภาษาถิ่นเหนือ คำเมือง ของเขา
ซึ่งเรียกว่า “โฟล์คซองคำเมือง” ที่ก่อเกิดขึ้นนับแต่ปี พ.ศ. 2520 และได้รับความสนใจจนเป็นที่
ยอมรับ และกลายเป็นแบบอย่างบนแนวทางดนตรีท้องถิ่นร่วมสมัยในปัจจุบัน
โฟล์คซองคำเมืองของจรัลไม่เพียงได้รับความนิยมชมชอบจากชาวเหนือหรือชาวล้านนา ซึ่งเข้าใจ
ภาษาคำเมืองภาษาท้องถิ่นของตน แต่ยังเป็นที่ชื่นชอบของชาวไทยภาคอื่น ๆ ไปจนถึงชาวต่างชาติ
ที่สนใจในศิลปะการดนตรี เอกลักษณ์ของเขาทั้งในการแต่งเพลง ร้องเพลง และเล่นดนตรี ทำให้
จรัลได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชาโฟล์คซองคำเมือง” จรัลแต่งเพลงไว้กว่าสองร้อยเพลงในช่วงเวลา
ราวยี่สิบห้าปีของชีวิตศิลปินของเขา เป็นบทเพลงที่งดงามด้วยการใช้ภาษาเยี่ยงกวี จนทำให้เขาได้รับ
โล่ประกาศเกียรติคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี พ.ศ. 2537 ในฐานะ
“บุคคลดีเด่นทางด้านการใช้ภาษา”
แม้จรัลจะเสียชีวิตไปแล้วแต่บทเพลงของเขานับร้อยเพลงนั้นยังคงเป็นอมตะ ผู้คนยังคงฟังเพลง
ของเขาอยู่ไม่เสื่อมคลาย
ปี พ.ศ. 2520 เมื่อบทเพลงโฟล์คซองคำเมืองของเขาเผยแพร่ไปทั่วประเทศ เพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุด
คือเพลงที่ชื่อ อุ๊ยคำ ซึ่งเวลานั้นเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทเพลงของ ปีเตอร์ พอล แอนด์ แมรี
นอกจากนั้นยังมีศิลปินต่างชาติอีกหลายคนที่เป็นต้นแบบการเล่นดนตรีของจรัล เช่น บ็อบ ดีแลน,
จอห์น เดนเวอร์, นิตตี้ กริทที้ เดิร์ท แบนด์, วิลลี่ เนลสัน, จิม โครเชต์ และ พอล ไซมอน & อาร์ท การ์ฟังเกล
ซึ่งส่งผลไปถึงการทำงานโฟล์คซองคำเมืองอันเป็นดนตรีในรูปแบบของจรัลเอง
น้อยใจยา อ้ายจรัล-พี่สุนทรี.
https://www.youtube.com/watch?v=mO6nRsk0N-c
..น้อยใจยา แว่นแก้วเป็นใคร
รู้จักเพลงน้อยใจยาของจรัล มโนเพ็ชรไหม...น้อยใจยา แว่นแก้วเป็นใคร
เรื่องราวของ "น้อยใจยา - แว่นแก้ว" เป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มชาวบ้านชื่อ “น้อยใจยา”
(คนเมืองเวลาบวชเป็นเณร เมื่อสึกออกมาจะนำหน้าว่า “น้อย” นำหน้า ส่วนถ้าสึกจากพระ
จะเรียกว่า “หนาน”) ได้รักชอบพอกันกับ “นางแว่นแก้ว” ลูกสาวคหบดี แต่ว่าตางบ้านนางแว่นแก้ว
ได้หมั่นหมายนางแว่นแก้วไว้กับ “ส่างนันตา” พ่อค้าชาวปะหล่องตองสู (พม่า)
ข่าวนี้ก็ไปเข้าหูน้อยใจยา น้อยใจยาเลยนัดนางแว่นแก้วมาสอบถามความจริง พอซักถามความจริง
แล้วน้อยใจยาก็รู้ว่า แท้จริงแล้วนางแว่นแก้วได้รักน้อยใจยาอย่างแนบแน่น จึงตัดสินใจที่จะพากันหนี
แต่หนีได้ไม่นานเท่าไร พ่อของนางแว่นแก้วกับส่างนันตา ก็พาคนออกติดตาม จนพบทั้งสองในที่สุด
เรื่องราวก็เลยขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อให้ศาลตัดสินปัญหาความรักในครั้งนี้ ส่างนันตาหาว่าน้อยใจยา
ได้ลักคู่หมั้นหนีไป แต่พอซักถามไปมา ตัวน้อยใจยากับนางแว่นแก้วก็ชนะความ ทำให้ทั้งสองคนก็ได้
แต่งงานกันในที่สุด
("น้อยใจยา - แว่นแก้ว" เป็นบทละครที่ท้าวสุนทรพจนกิจ (ใหม่ บุญมา) กวีประจำราชสำนักของ
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ประพันธ์ขึ้นถวาย (ตามที่พระราชชายาทรงผู้เรื่อง) และประทานอนุญาต
แสดงในโอกาสคล้ายวันประสูติ (ครบ 60 พรรษา แสดงที่วัดสวนดอก) ซึ่งพระราชชายาทรงแกัไขบท
บางตอนให้เหมาะสม พร้อมกับทรงประพันธ์คำร้องประกอบทำนองเพลง พื้นเมืองเดิมของล้านนา
ข้อมูลทั้งหมดจาก วิกิพีเดีย
เกร็ดเล็กๆ: เพลงของ "จรัล" จะเป็นเพลงที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า ballad เป็นการเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลง
สังเกตุได้ ในหลายๆ เพลงของ "จรัล" ไม่ว่าจะเป็น อุ้ยคำ มิดะ ของ กิ้นคนเมือง ล้วนเป็นการเล่าเรื่อง
ป.ล.มือใหม่หัดขับ ผิดพลาดโปรดให้อภัยด้วยค่ะ