คำเตือน... กระทู้นี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่โลกสวย และกระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะปลุกระดมปลุกปั่นให้มีการเกลียดชังแตกแยกเลยแม้แต่น้อย หากแต่อยากนำเสนอความคิดเห็นมุมมองจากประสบการณ์ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันของเจ้าของกระทู้เอง
คงพอทราบข่าวกันถ้วนหน้าแล้วเรื่องคลื่นผู้อพยพภัยสงครามจากซีเรียได้หลั่งไหลทะลักเข้ามาในยุโรปอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเยอรมันนีซึ่งเปรียบเสมือนจุดหมายปลายทางหลักของผู้อพยพ
ในฐานะที่ตัวเองอยู่อาศัยในยุโรปและทำงานเสียภาษีให้รัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและกำลังจะเกิดมากมาย โดยเฉพาะในด้านสังคมและวัฒนธรรม
- ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นศาสนาประจำทวีปก็ว่าได้ จะเคร่งมาเคร่งน้อยก็ขึ้นอยู่กับนิกายที่นับถือ
- ส่วนทางด้านผู้อพยพจากตะวันออกกลาง ไม่บอกก็รู้ว่านับถือศาสนาอะไร หลายประเทศในภูมิภาคนี้ใช้ศาสนาเขียนเป็นตัวบทกฏหมาย ทำให้กฏหมายบางบท รวมไปถึงขนบธรรมเนียบประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อบางอย่าง ล้าหลังและขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนมาก บางอันก็ขัดมากถึงมากที่สุดจนรับไม่ได้
ที่สำคัญคือ มุสลิมในแถบภูมิภาคนี้(ส่วนใหญ่) จะเคร่งครัดกับศาสนาและวัฒนธรรม คติความเชื่ออย่างสุดโต่ง ไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองให้เข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อมที่ต่างศาสนาต่างวัฒนธรรม ต้องให้คนนอกศาสนาปรับเปลี่ยนเข้าหาตนเองฝ่ายเดียวเท่านั้น
ซึ่งแตกต่างจากมุสลิมในเมืองไทยอย่างสิ้นเชิง โดยมุสลิมในเมืองไทย(ส่วนใหญ่)จะค่อนข้างชิวส์ๆ อลุ่มอล่วย ประนีประนอม เข้าใจเคารพกฏกติกาของสังคมและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมหมู่มากที่ต่างศาสนาต่างวัฒนธรรมได้
ความแตกต่างทางด้านศาสนานี้เอง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน หรือฝ่ายหนึ่งยอมแต่อีกฝ่ายไม่ยอมและพยายามเรียกร้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้(ฝ่ายไหนก็เดากันเองเน้อ) ทำให้เกิดชนวนความขัดแย้งความไม่เข้าใจกัน จนบานปลายกลางเป็นสงคราม ในอดีตก็มีบทเรียนให้เห็นชัดเจนคือ สงครามครูเสดที่รบกันเป็นร้อยๆปี
ในเมื่อคลื่นผู้อพยพหลั่งไหลทะลักเข้ามาในยุโรปมากมายมหาศาลเช่นนี้ ในภายภาคหน้าศาสนาประจำทวีปยุโรปอาจจะไม่ใช่ศาสนาคริสต์อีกต่อไป ตามหลักความเชื่อของศาสนาที่ติดตัวผู้อพยพมา ห้ามไม่ให้มีการคุมกำเนิดอย่างเด็ดขาด เพราะผิดหลักคำสั่งสอนของพระเจ้าและเป็นบาป จึงทำให้ผู้อพยพผลิตจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณ
เรื่องนี้จะโทษผู้อพยพฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษรัฐบาลสหภาพยุโรปและนักการเมืองของประเทศต่างๆในยุโรป ที่หน้าใหญ่ โลกสวย ไม่รู้จักวางแผนการจัดการ ก่อนที่จะช่วยเหลือรับผู้อพยพจากนอกบ้าน พวกรัฐบาลโลกสวยคงลืมคิดไปว่า ยังมีประชากรในบ้านตัวเองอีกตั้งมากมายก่ายกองที่ยังต้องการความช่วยเหลือด้านสวัสดิการจากรัฐบาลอย่างจริงจังและเร่งด่วนแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีประชากรในบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่ขี้เกียจสันหลังยาว ไม่ยอมทำงานทำการ วันๆนั่งๆนอนๆกินเงินเลี้ยงดูจากรัฐบาล ทั้งที่ตัวเองอยู่ในวัยทำงาน สุขภาพดีแข็งแรงทุกประการ ไม่ได้พิการหรือวิกลจริตแต่อย่างใด
รัฐบาลยังจะหาเหาใส่หัวรับผู้อพยพจำนวนมากมาเลี้ยงดูอีก แบบนี้ประชากรที่ทำงานเสียภาษีให้รัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพิ่มขึ้นหรอกเหรอ แถมรัฐบาลยังจะมีนโยบายเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นอีกด้วย เจอสองเด้งทั้งขึ้นทั้งล่อง (รู้งี้ไม่ต้องทำงานจนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ออกมาขอเงินเลี้ยงดูจากรัฐบาล อยู่บ้านสบายๆ เล่นเน็ตชิวส์ๆ ออกไปช้อปปิ้งให้เพลินอุรา ก็คงดีกว่าเนอะ)
นอกจากปัญหาผู้อพยพจากตะวันออกกลางแล้ว ก่อนหน้านี้จนถึงทุกวันนี้ประเทศโซนยุโรปตะวันตกยังต้องเผชิญกับปัญหาการเคลื่อนย้ายประชากรจากกลุ่มประเทศโซนยุโรปตะวันออก เนื่องจากการเปิดพรมแดนเสรีของสหภาพยุโรป(EU) ที่เป็นปัญหาหนักสุดก็คงไม่พ้นพวก"ยิปซี"ที่อพยพมาจากประเทศโรมาเนีย คนพวกนี้ส่วนใหญ่ จะไม่ยอมทำงานทำการที่สุจริต ชอบลักขโมยหรือไม่ก็เป็นพวก 18 มงกุฏหลอกลวงนักท่องเที่ยว นับวันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่าทวีคูณ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือที่ปารีส 10กว่าปีก่อน เมื่อพูดถึง"ปารีส" ผู้คนทั่วทุกมุมโลกต่างก็นึกถึง เมืองที่โรแมนติก เมืองที่สวยงามมีเสน่ห์ ในชีวิตนี้ต้องไปเยือนให้ได้ แต่ปัจจุบันกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อเอ่ยถึง"ปารีส" คงต้องมีคำว่ายิปซีผนวกเข้าไปด้วย สถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญต่างๆ รวมไปถึงสถานีรถไฟใต้ติน จะมีพวกยิปซีเป็นจำนวนมากเดินป่วนเปี้ยนสอดส่องหาเหยื่ออยู่เป็นประจำ เหยื่อชิ้นใหญ่แสนจะโอชาก็คือ บรรดานักท่องเที่ยวนั่นเอง(โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากทวีปเอเซีย) ทำให้ภาพลักษณ์และเสน่ห์ที่สวยงามของปารีส ต้องมัวหมอง ไม่สวยเลิศหรูอลังค์การสมคำล่ำลือ
สิ่งที่รัฐบาลสหภาพยุโรปต้องเร่งจัดการด่วนคือ เมื่อรับผู้อพยพเข้ามาแล้ว จะต้องอบรมสั่งสอนกฏระเบียบกฏเกณฑ์ต่างๆในประเทศนั้นๆให้กับผู้อพยพอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะความแตกต่างทางด้านศาสนา สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งผู้อพยพจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆที่ตนเองได้เข้ามาอยู่ ไม่ใช่ให้ประชากรในประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวเข้าหากลุ่มพวกตัวเอง และต้องออกกฏอย่างเข้มงวดให้ผู้อพยพเมื่ออยู่ในสถานะภาพที่พร้อมแล้ว ต้องทำงานเสียภาษีให้รัฐบาลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ยุโรปในวันที่กำลังเปลี่ยนไป
คงพอทราบข่าวกันถ้วนหน้าแล้วเรื่องคลื่นผู้อพยพภัยสงครามจากซีเรียได้หลั่งไหลทะลักเข้ามาในยุโรปอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเยอรมันนีซึ่งเปรียบเสมือนจุดหมายปลายทางหลักของผู้อพยพ
ในฐานะที่ตัวเองอยู่อาศัยในยุโรปและทำงานเสียภาษีให้รัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและกำลังจะเกิดมากมาย โดยเฉพาะในด้านสังคมและวัฒนธรรม
- ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นศาสนาประจำทวีปก็ว่าได้ จะเคร่งมาเคร่งน้อยก็ขึ้นอยู่กับนิกายที่นับถือ
- ส่วนทางด้านผู้อพยพจากตะวันออกกลาง ไม่บอกก็รู้ว่านับถือศาสนาอะไร หลายประเทศในภูมิภาคนี้ใช้ศาสนาเขียนเป็นตัวบทกฏหมาย ทำให้กฏหมายบางบท รวมไปถึงขนบธรรมเนียบประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อบางอย่าง ล้าหลังและขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนมาก บางอันก็ขัดมากถึงมากที่สุดจนรับไม่ได้
ที่สำคัญคือ มุสลิมในแถบภูมิภาคนี้(ส่วนใหญ่) จะเคร่งครัดกับศาสนาและวัฒนธรรม คติความเชื่ออย่างสุดโต่ง ไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองให้เข้ากับสังคมสิ่งแวดล้อมที่ต่างศาสนาต่างวัฒนธรรม ต้องให้คนนอกศาสนาปรับเปลี่ยนเข้าหาตนเองฝ่ายเดียวเท่านั้น
ซึ่งแตกต่างจากมุสลิมในเมืองไทยอย่างสิ้นเชิง โดยมุสลิมในเมืองไทย(ส่วนใหญ่)จะค่อนข้างชิวส์ๆ อลุ่มอล่วย ประนีประนอม เข้าใจเคารพกฏกติกาของสังคมและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมหมู่มากที่ต่างศาสนาต่างวัฒนธรรมได้
ความแตกต่างทางด้านศาสนานี้เอง ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน หรือฝ่ายหนึ่งยอมแต่อีกฝ่ายไม่ยอมและพยายามเรียกร้องให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้(ฝ่ายไหนก็เดากันเองเน้อ) ทำให้เกิดชนวนความขัดแย้งความไม่เข้าใจกัน จนบานปลายกลางเป็นสงคราม ในอดีตก็มีบทเรียนให้เห็นชัดเจนคือ สงครามครูเสดที่รบกันเป็นร้อยๆปี
ในเมื่อคลื่นผู้อพยพหลั่งไหลทะลักเข้ามาในยุโรปมากมายมหาศาลเช่นนี้ ในภายภาคหน้าศาสนาประจำทวีปยุโรปอาจจะไม่ใช่ศาสนาคริสต์อีกต่อไป ตามหลักความเชื่อของศาสนาที่ติดตัวผู้อพยพมา ห้ามไม่ให้มีการคุมกำเนิดอย่างเด็ดขาด เพราะผิดหลักคำสั่งสอนของพระเจ้าและเป็นบาป จึงทำให้ผู้อพยพผลิตจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นหลายเท่าทวีคูณ
เรื่องนี้จะโทษผู้อพยพฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษรัฐบาลสหภาพยุโรปและนักการเมืองของประเทศต่างๆในยุโรป ที่หน้าใหญ่ โลกสวย ไม่รู้จักวางแผนการจัดการ ก่อนที่จะช่วยเหลือรับผู้อพยพจากนอกบ้าน พวกรัฐบาลโลกสวยคงลืมคิดไปว่า ยังมีประชากรในบ้านตัวเองอีกตั้งมากมายก่ายกองที่ยังต้องการความช่วยเหลือด้านสวัสดิการจากรัฐบาลอย่างจริงจังและเร่งด่วนแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีประชากรในบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่ขี้เกียจสันหลังยาว ไม่ยอมทำงานทำการ วันๆนั่งๆนอนๆกินเงินเลี้ยงดูจากรัฐบาล ทั้งที่ตัวเองอยู่ในวัยทำงาน สุขภาพดีแข็งแรงทุกประการ ไม่ได้พิการหรือวิกลจริตแต่อย่างใด
รัฐบาลยังจะหาเหาใส่หัวรับผู้อพยพจำนวนมากมาเลี้ยงดูอีก แบบนี้ประชากรที่ทำงานเสียภาษีให้รัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน๊อตเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพิ่มขึ้นหรอกเหรอ แถมรัฐบาลยังจะมีนโยบายเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นอีกด้วย เจอสองเด้งทั้งขึ้นทั้งล่อง (รู้งี้ไม่ต้องทำงานจนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ออกมาขอเงินเลี้ยงดูจากรัฐบาล อยู่บ้านสบายๆ เล่นเน็ตชิวส์ๆ ออกไปช้อปปิ้งให้เพลินอุรา ก็คงดีกว่าเนอะ)
นอกจากปัญหาผู้อพยพจากตะวันออกกลางแล้ว ก่อนหน้านี้จนถึงทุกวันนี้ประเทศโซนยุโรปตะวันตกยังต้องเผชิญกับปัญหาการเคลื่อนย้ายประชากรจากกลุ่มประเทศโซนยุโรปตะวันออก เนื่องจากการเปิดพรมแดนเสรีของสหภาพยุโรป(EU) ที่เป็นปัญหาหนักสุดก็คงไม่พ้นพวก"ยิปซี"ที่อพยพมาจากประเทศโรมาเนีย คนพวกนี้ส่วนใหญ่ จะไม่ยอมทำงานทำการที่สุจริต ชอบลักขโมยหรือไม่ก็เป็นพวก 18 มงกุฏหลอกลวงนักท่องเที่ยว นับวันก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่าทวีคูณ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือที่ปารีส 10กว่าปีก่อน เมื่อพูดถึง"ปารีส" ผู้คนทั่วทุกมุมโลกต่างก็นึกถึง เมืองที่โรแมนติก เมืองที่สวยงามมีเสน่ห์ ในชีวิตนี้ต้องไปเยือนให้ได้ แต่ปัจจุบันกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อเอ่ยถึง"ปารีส" คงต้องมีคำว่ายิปซีผนวกเข้าไปด้วย สถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญต่างๆ รวมไปถึงสถานีรถไฟใต้ติน จะมีพวกยิปซีเป็นจำนวนมากเดินป่วนเปี้ยนสอดส่องหาเหยื่ออยู่เป็นประจำ เหยื่อชิ้นใหญ่แสนจะโอชาก็คือ บรรดานักท่องเที่ยวนั่นเอง(โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากทวีปเอเซีย) ทำให้ภาพลักษณ์และเสน่ห์ที่สวยงามของปารีส ต้องมัวหมอง ไม่สวยเลิศหรูอลังค์การสมคำล่ำลือ
สิ่งที่รัฐบาลสหภาพยุโรปต้องเร่งจัดการด่วนคือ เมื่อรับผู้อพยพเข้ามาแล้ว จะต้องอบรมสั่งสอนกฏระเบียบกฏเกณฑ์ต่างๆในประเทศนั้นๆให้กับผู้อพยพอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะความแตกต่างทางด้านศาสนา สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งผู้อพยพจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆที่ตนเองได้เข้ามาอยู่ ไม่ใช่ให้ประชากรในประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวเข้าหากลุ่มพวกตัวเอง และต้องออกกฏอย่างเข้มงวดให้ผู้อพยพเมื่ออยู่ในสถานะภาพที่พร้อมแล้ว ต้องทำงานเสียภาษีให้รัฐบาลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย