แชร์ประสบการณ์เข้าห้อง ตม. ที่สิงคโปร์ค่ะ

สวัสดีค่ะ เราเพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์หมาดๆ ซึ่งการไปสิงคโปร์ครั้งนี้ถือว่าเป็นการไปครั้งที่ 5 แล้ว ทุกครั้งที่ผ่านมาเราไม่เคยโดนเรียกค่ะ แต่ครั้งนี้เราไปทำพาสปอร์ตมาใหม่ เนื่องจากว่าเราเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล ก่อนไปก็เตรียมเอาเอกสารการเปลี่ยนชื่อไปแปลเป็นภาษาอังกฤษพร้อมทั้งให้กงสุลรับรอง (มีร้านรับแปล+รับรองเยอะแยะเลยค่ะ)

พอเครื่องแลนด์ดิ้งปุ๊บ ก้อรีบๆเดินมาเพื่อมาต่อแถว ตม. ซึ่งในใบ ตม. ของสิงคโปร์จะมีช่องที่ถามว่า คุณเคยเข้าสิงคโปร์ด้วยชื่ออื่นรึเปล่า ก้อกรอกๆไป เพราะเคยใช้ชื่อเก่าเข้าสิงคโปร์ ตอนต่อคิวก็เฉยๆ ทำตัวปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร เพราะเราบริสุทธิ์ใจค่ะ พอถึงคิวก็เดินเข้าไปหา ตม. ยื่นพาสปอร์ตเล่มใหม่ให้ แล้วก็เตรียมเล่มเก่าไว้ด้วย ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเลย ปั๊มให้แล้วค่ะ ซึ่งถ้าเรารับพาสปอร์ตแล้วก็เดินจากไปเฉยๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่ !!!! ด้วยความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็นค่ะ เลยถามเจ้าหน้าที่ไปว่า ถ้าชั้นมาที่นี่อีกรอบ ชั้นยังคงต้องพกพาสปอร์ตเล่มเก่าที่เป็นชื่อเก่ามามั้ย ??? เท่านั้นแหละค่ะ นางขอพาสปอร์ตคืน เอากลับไปดูๆ ขอดูเล่มเก่าด้วย ทั้งๆที่ตอนแรกไม่ได้อะไรเลย ตอนนี้ในใจเริ่มคิดละว่าปากพาซวยจริงๆ เจ้าหน้าที่ก็ตะโกนถามเจ้าหน้าที่ช่องข้างๆ พูดภาษาอะไรกันไม่รุ้ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แต่คิดว่าน่าจะถามว่าต้องทำยังไง นางก็ VOID หรือยกเลิดไอ้ที่ปั๊มไปมะกี้ค่ะ ละก็บอกว่าเดี๋ยวยูต้องเข้าไปที่ออฟฟิศนะ ขอบคุณมากที่ยูซื่อสัตย์แล้วบอกชั้น นี่แปลว่ายูเข้าใจ process การทำงานของเรา (คือกรูป่าวเข้าใจ กรูป่าวซื่อสัตย์ กรูปากพร่อยเฉยๆ)

ก่อนจะเข้าไปในออฟฟิศ เจ้าหน้าที่ก็บอกให้เอา ID ไปด้วย แล้วเอากระเป๋าฝากเพื่อนไว้ก่อน (แฟนย่ะ ไม่ใช่เพื่อน) เรามีกระเป๋าลากใบนึง และกระเป๋าสะพายอีกใบ ตอนนั้นเลยหยิบแค่ใบเปลี่ยนชื่อ กับกระเป๋าตังค์ไป ที่เหลือฝากคุณแฟนไว้หมดเลย ละนัดกันให้ไปเจอที่สายพานรับกระเป๋า (พอดีเราโหลดมาอีกใบนึง)

พอเข้ามาในห้อง ก็แอบร้อนนะคะ แอร์ไม่ค่อยเย็น ทำไมใครๆก็เรียกห้องเย็น เหมือนจะบ้านะแต่ตอนนั้นรู้สึกสนุก แบบเห้ยย เรามาสิงคโปร์ตั้งหลายรอบ นี่เป็นประสบการณ์ใหม่ ไม่งั้นก็ได้ไปแต่ที่เดิมๆ 555 แต่บรรยากาศในนั้นคนอื่นคงไม่สนุกแบบเรา ข้างในจะเป็นห้องสี่เหลี่ยม ที่มีเก้าอี้ให้นั่งเป็นแถวๆ คล้ายๆกับเกทตรงทางขึ้นเครื่อง แต่ว่าห้องสี่เหลี่ยมนั้นจะมีห้องย่อยๆอีก 3 ห้อง ห้องนึงไว้ถ่ายรูป ปั๊มลายนิ้วมือ ส่วนอีก 2 ห้องไว้สอบสวน เอ๊ย สัมภาษณ์

ตอนนั้นมีผู้หญิงไทยคนนึง นั่งหน้าแบบเศร้ามากเหมือนจะร้องไห้ กับสาวจีนคนนึงที่ตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่านางร้องไห้หรือแพ้อากาศ เราก็นั่งรอที่เก้าอี้ค่ะ คิดว่าแป้บเดียว เดี๋ยวก็เสร็จ แต่อยู่ๆป้าที่ประจำการห้องถ่ายรูปก้อโวยวายว่ากล้องพัง เรียกคนนู้นคนนี้มาช่วยดู ตอนนั้นในใจคิดละว่าถ้ามันเจ๊งยาว ชั้นไม่ต้องนั่งรอจนกว่ามันจะซ่อมได้หรา !!! ประมาณ 10 นาทีก็มีเจ้าหน้าที่ผู้ชายมาดูๆให้แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี และคุณเจ้าหน้าที่คนนั้นก็เรียกเราเข้าไปคุยอีกห้องนึง (ห้องที่เป็นห้องย่อยๆ) ยังแอบดีใจ อ้าว นึกว่าต้องเรียงคิว

เข้าห้องมา เค้าก็เหมือนจะมีฟอร์มอะไรซักอย่าง เตรียมปากกา จด

(สนทนาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด)
จนท: เปลี่ยนชื่อมาเหรอ ทำไมถึงเปลี่ยน
เรา: ใช่ เปลี่ยนเพราะความเชื่อเกี่ยวกับดวงชะตา
จนท: เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วถามว่ามันจะช่วยยังไง
เรา: (ไม่คิดว่าจะถามนะ เรื่องส่วนตัว) เลยอธิบายว่าตัวอักษรแต่ละตัวมีตัวเลขกำหนด พอเรารวมตัวเลขแล้วของเก่ามันได้ความหมายไม่ดี คุณแม่เราไม่สบายใจเลยให้เปลี่ยน
จนท: จดทุกอย่างที่เราอธิบาย แล้วถามว่ามากี่วัน / กลับวันไหน / มาครั้งแรกรึเปล่า / มากับใคร / พักที่ไหน / จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง (เราคุยกันแบบถาม-ตอบ ทีละคำถามนะ แต่เราขอรวบยอด)
เรา: มา 4 วัน / กลับวันที่ ..  / มาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้ว แต่ 4 ครั้งแรกใช้ชื่อเก่า / มากับแฟนและเพื่อนๆ (เรามากัน 8 คนค่ะ) / พักที่ V hotel จองแล้วจ่ายหมดแล้ว / จะไปที่ .... สาธยายกันไป
จนท: มีตั๋วเครื่องบินมั้ย ขอดู ขอดูใบจองโรงแรมด้วย
เรา: (อ้าวซวยละ ฝากไว้กะแฟนหมดเลย) เราเลยบอกไปว่าอยู่ที่แฟนเราหมดเลย เพราะเจ้าหน้าที่อีกคนบอกให้ฝากกระเป๋าไว้กะเพื่อน เอามาแค่ ID ชั้นเลยหยิบมาแต่ประเป๋าตังค์
จนท: ทำงานที่ไหน
เรา: ......... (บริษัทเราเป็นบริษัทอเมริกา ค่อนข้างเป็นที่รู้จัก และมีสำนักงานที่สิงคโปร์ด้วย)
จนท: ทำอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่
เรา: .......... (บอกตำแหน่งและเงินเดือน)
จนท: คุณเอาเงินมาเท่าไหร่
เรา: 1,000 เหรียญ และเครดิตการ์ด (พร้อมทั้งเปิดกระเป๋าตังค์แต่เค้าก็ไม่ได้ให้เอาออกมานับ แค่ชำเลืองมองดูผ่านๆ)

แล้ว จนท.ก็วางปากกา ละก็ชวนคุย เค้าบอกว่าเค้าก็มีเพื่อนทำงานที่นี่เหมือนกัน ยูได้โบนัสเท่าไหร่ ได้ส่วนลด.....มั้ย
เราก็ หูยยยย ที่ไทยได้โบนัสน้อยกว่า ส่วนลด..... ก็ไม่มี (ตอนนี้เราว่าอารมณ์เม้ามอยแล้วล่ะ) ละนางก็ให้เราออกไปนั่งรอตรงเก้าอี้มะกี้ นางบอกว่ารอตรงนี้ก่อน ละเค้าก็เอาพาสปอร์ตเราทั้งเก่าและใหม่ กับขอถ่ายเอกสารใบเปลี่ยนชื่อ เราเลยบอกว่าไม่ต้องเราเอามาทั้งตัวจริงตัว copy (พร้อมมาก!!! รู้สึกสวยเลยย แต่ดั๊นไม่พกใบจองโรงแรมกับตั๋วเครื่องบินไป)

แล้วป้าห้องถ่ายรูปก็เรียกเราเข้าไปปั๊มลายนิ้วมือ แต่ไม่ถ่ายรูปแฮะ ไม่ได้เซ็นอะไรด้วย

รอซักพัก พี่เจ้าหน้าที่คนที่คุยกะเรามะกี้ก็เข้ามาบอกว่ารอแป้บนึง เค้าเช็คข้อมูลในระบบอยู่ เค้ากำลังให้เพื่อนทำเรื่องผ่านเข้าเมืองให้ (ตอนนั้นดีใจละ ห่วย กรูเสียเวลาตั้งนาน หิวข้าวด้วย แถมโทรศัพท์ก็ไม่ได้หยิบมา ยังคิดเลยว่าก่อนออกจะไปยืมโทรศัพท์เค้าดีมั้ย แฟนเราคงเปิดเครื่องแล้วล่ะป่านนี้)

แล้วเค้าก็เรียกผู้หญิงคนไทยที่มาก่อนหน้าเราเข้าไปคุย เค้าบอกให้ยกกระเป๋าเข้าไปด้วย แต่เหมือนผู้หญิงคนนั้นฟังไม่ออกเราเลยบอกเค้าว่าเจ้าหน้าที่บอกว่าให้เอากระเป๋าเข้าไปด้วยค่ะ ปิดประตูห้องไปไม่ถึง 1 นาที ประตูก็เปิดออก (เห้ย ทำไมไวกว่าเราอีก) พี่เจ้าหน้าที่เดินมากวักมือเรียกเราเข้าไปด้วย

แปลให้เค้าฟังซิ ..... หลังจากนั้นก็ทำหน้าที่ล่ามค่าาาา เซ็ทคำถามเหมือนเดิมเป๊ะๆ แต่มาสะดุดตรงที่มางานวันเกิดเพื่อน นัดเพื่อนไว้แต่ทำไมบอกว่าเดี๋ยวกำลังจะไปโรงแรม (เราแปลไปเรายังไม่ฉุกคิดเลย) เจ้าหน้าที่ก็ถาม นางบอกว่านางมาคนเดียว มาสิงคโปร์ครั้งแรก เอาเงินมา 200 เหรียญ (ยังไม่ได้จ่ายค่าที่พัก) มา 7 วัน แต่ที่เอาเงินมาน้อยเพราะเพื่อนจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ส่วนประเด็นที่เจ้าหน้าที่สงสัย นางก็ตอบว่าบ้านเพื่อนไปลำบาก นางมาครั้งแรกไปไม่เป็นเลยไปโรงแรมก่อน เดี๋ยวเพื่อนจะมารับที่โรงแรมเอง เงินก็เอามาแค่พอค่ารถไปโรงแรมกับค่าซื้อซิม

อืมมมมม เราเชื่อนะ ฟังดูก็ make sense แต่เราไม่รู้เจ้าหน้าที่เค้าคิดยังไง ซักพักเค้าก็ให้เราออกไปรอที่เดิม แล้วก็ขอค้นประเป๋าเสื้อผ้าผู้หญิงคนนั้น

พอเราออกมานั่งที่เดิม ก็เห็นห้องสัมภาษณ์อีกห้องนึงมีเจ้าหน้าที่พูดว่า Send her back home เราเลยหันไปมอง อ้าวคนไทย !!! แล้วอยู่ๆก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนไปสมทบในห้องนั้น ภาพเหตุการณ์เดิมค่ะ ประตูปิด 1 นาทีแล้วก็เปิดออก มาชี้เราถามว่าคนไทยใช่มั้ย พูดอังกฤษได้รึเปล่า มานี่หน่อย (ตอนนั้นนี่แบบเห้ยยย ขอเงินเดือนด้วยได้ป่ะ เราแอบเห็นคนที่มาเรียกเราถือพาสปอร์ตเราในมือด้วย ที่จำได้เพราะเราใส่ซองพาสปอร์ต นั่นลายนี้ของเราแน่ๆ)

ทีนี้พอเข้ามาในห้อง เค้าให้เราช่วยถามว่ามากับใคร น้องเค้าก็ตอบว่ามากับเจ้านาย เจ้าหน้าที่เลยถามว่าเจ้านายชื่ออะไร นางตอบว่าจำไม่ได้ (เห้ย อันนี้เราว่าไม่ใช่ละ) ละเค้าก็ยื่นตั๋วเครื่องบิน เป็นบุ๊คกิ้งแบบมีหลายๆคน เจ้าหน้าที่ก็เรยถามว่ามีใครเดินทางมาด้วย ให้บอกชื่อมา ซึ่งชื่อที่นางบอกมาไม่มีซักคนในตั๋ว คนนี้แบบชัวร์เลย หนีแน่ๆ (เราคิดว่านะ) แต่กับคนมะกี้ยังดูน่าเชื่อกว่า ภาพตัดที่ชื่อเพื่อนร่วมทริปไม่ตรงกับตั๋ว พี่จนท. คนที่คุยกะเรามาเรียกเราออกไปพร้อมทั้งเอาพาสปอร์ตจาก จนท. อีกคนที่ถืออยู่ให้ (นั่นไง ของเราจริงๆด้วย จำได้)

ก่อนออกเราเจอผู้หญิงไทยคนแรก เลยถามเค้าว่าโอเคมั้ย เค้าบอกไม่รู้ (ยังไงก็ขอเอาใจช่วยนะคะ) แล้วเค้าก็ยื่นพาสปอร์ตให้เรา แล้วพาเดินออกตรงประตูด้านหลังที่มันทะลุมาตรงทางที่จะเดินไปรับกระเป๋า (คือไม่ต้องไปผ่าน ตม อีกรอบอ่ะ ประตูมันเปิดมาก็เป็นโซนสำหรับคนผ่าน ตม แล้ว) ประตูเป็นกระจกค่ะ ต้องใช้บัตรตื๊ด พี่เจ้าหน้าที่ต้องเดินมากะเราด้วยเพื่อจะเปิดประตูให้ ว่าจะยืมโทรศัพท์ซะหน่อย แต่พอมองออกไป เจอคุณแฟนยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าประตู อิอิ

จากเหตุการณ์นี้ เราได้ข้อสังเกตนะคะว่าถ้าเราไม่มีอะไรเราบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องไปกลัวค่ะ ทำตัวตามปกติ
เตรียมเอกสารให้พร้อมก็จะดีนะคะ พวกตั๋วเครื่องบิน ใบจองโรงแรม บัตรพนักงาน นามบัตร (เราแค่บอกเฉยๆนะว่าทำงานที่นี่ ไม่ได้โชว์อะไรเลย เค้าไม่ขอดู แต่ถึงขอก็ไม่มี ไม่ได้พกไปอ่ะ) และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตอบคำถาม ถ้าเราจะมาเที่ยวจริงๆ ขอให้ตอบตามความจริงค่ะ ดูเคสเราสิ่ ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานยืนยันเลย มีแต่คำพูดเรา แต่เราว่าเค้าน่าจะดูออกว่าเราพูดจริง และส่วนมากถ้าคนจะมาเที่ยวมักจะตอบได้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง เรามีโปรแกรมยังไง บอกเค้าไปเลยค่ะ เราว่าเค้าดูออก

WELCOME TO SINGAPORE !!!! เย้ มาเที่ยวครั้งนี้สนุกกว่าครั้งอื่นจริงๆด้วย ประสบการณ์ใหม่แบบหาที่ไหนไม่ได้เลยนะเนี่ย ^_^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่