(บทความการเมือง) ย้อนรอยจอมเผด็จการคนแรกของเมืองไทย

.....หากเอ่ยคำว่าจอมเผด็จการ หลายๆชื่อของจอมเผด็จการ อย่าง สตาลิน โรนิน ฮิตเลอร์ ก็ปรากฏขึ้นในหัว แต่หากถามถึงจอมเผด็จการของเมืองไทย มีชื่อหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวผมเป็นชื่อแรก ชื่อนั้นคือ จอมพล ป. พิบูลสงคาม และวันนี้ก็เลยถือโอกาสมาเขียนบทความเล่าถึงอดีตของผู้นำคลั่งอำนาจผู้นี้กันสักหน่อยนะครับ เพราะคนผู้นี้เป็นต้นแบบของจอมเผด็จการเมืองไทย ที่มีวงจรชีวิตและจุดจบแตกต่างจากชาวโลก กลายเป็นอีกอย่าง ที่เรียกว่า แบบ ไทย..ไทย

     จอมพล ป. เป็นหนึ่งในคณะนายทหารผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 โดยเป็นนายทหารปืนใหญ่ รุ่นน้องของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา 2 ปี ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกและเป็นสมาชิกคณะราษฎรยุคก่อตั้งซึ่งมีทั้งหมด 7 คน ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส โดยถือเป็นผู้นำของคณะทหารบกยศชั้นผู้น้อย ต่อมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว จอมพล ป. เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ จากเป็นแกนนำในการรัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 และเป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสมในการปราบกบฏบวรเดชเมื่อปี พ.ศ. 2476 จนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

นับแต่จอมพล ป. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2481 ได้มีนโยบายในการสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลัทธิชาตินิยม เช่น

ออกกฎหมายคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ
     มีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้เฉพาะคนไทย
     ปลูกฝังให้ประชาชนนิยมใช้สินค้าไทย ด้วยคำขวัญว่า “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ”

รัฐบาลจอมพล ป. ได้เปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับการการเปลี่ยนแปลงการปกครองและให้เกิดความทันสมัย เช่น
     ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เลิกสวมเสื้อราชปะแตน และให้นุ่งกางเกงขายาวแทน
     ยกเลิกบรรดาศักดิ์และยศข้าราชการพลเรือน
     มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482
     เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยเริ่มเปลี่ยนในปี พ.ศ. 2484 ทำให้ ปี พ.ศ. 2483 มีเพียง 9 เดือน
     
มีการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมใหม่ โดยจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2485 เพื่อจัดระเบียบการดำเนินชีวิตของคนไทยให้เป็นแบบอารยประเทศ โดยประกาศรัฐนิยมฉบับต่างๆ อาทิ
     สั่งห้ามประชาชนกินหมากโดยเด็ดขาด
     ให้ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน เปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงแทน
     ให้สวมหมวก สวมรองเท้า
     ไม่ส่งเสริมศิลปะและดนตรีไทยเดิมแต่ส่งเสริมดนตรีสากล ฯลฯ
     โดยมีคำขวัญในสมัยนั้นว่า “มาลานำไทยสู่มหาอำนาจ” หากผู้หญิงคนใดไม่ใส่หมวกจะถูกตำรวจจับและปรับ
     วางระเบียบการใช้คำแทนชื่อเป็นมาตรฐาน เช่น ฉัน ท่าน เรา
     มีคำสั่งให้ข้าราชการกล่าวคำว่า “สวัสดี” ในโอกาสแรกที่พบกัน
     มีการตัดตัวอักษรที่ออกเสียงซ้ำกัน จึงมีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย เช่น “กระทรวงศึกษาธิการ” เขียนเป็น “กระซวงสึกสาธิการ” เป็นต้น

     คำถามคือ แนวคิดเหล่านี้ จอมพล ป. เอามาจากไหน ซึ่งผมเองวิเคราะห์โดยส่วนตัวในฐานะที่เคยศึกษาและอ่านประวัติศาสตร์ช่วงนั้นมาพอสมควร ผมบอกได้คำเดียวว่า “ลอกมาจากญี่ปุ่น” เพราะเห็นว่าญี่ปุ่นเป็นชาติเอเชียเดียวที่มีความหวังจะกว่าหน้าทันพวกฝรั่งมังค่า ที่กำลังจะครอบครองโลกด้วยการล่า อาณานิคม  เพียงแต่ญี่ปุ่นก็ยัง อหังการไม่เท่าจอมพลผู้นี้ เพราะจอมพล ป.คิดว่าตนเองเพียงผุ้เดียวที่ยิ่งใหญ่ในประเทศนี้ คิดว่าอำนาจปืนที่ตนเองควบคุมและใช้ในการเปลี่ยนแปลงประเทศใน พ.ศ.2475 ยิ่งใหญ่เหนือใครๆ และความคิดเช่นนี้เอง จึงเกิดกระทบกับฝ่ายเชื้อพระวงค์และสถาบัน ดังที่ผมจะเล่าต่อไปนี้

     ในสมัยนั้นรัฐบาลเอาจริงเอาจังเรื่องการแต่งกาย เช่นยกเลิกโจงกระเบนมานุ่งกางเกง (สำหรับผู้ชาย) และผ้าซิ่นหรือกระโปรงสำหรับผู้หญิง ออกจากบ้านต้องสวมหมวก แม้สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงอยู่ในวังสระปทุมอย่างสงบ จำกัดการติดต่อกับโลกภายนอกไว้น้อยที่สุด เว้นแต่พระราชกรณียกิจเช่นเรื่องสภากาชาดไทยที่ทรงไม่เคยละทิ้ง ยุค “วัธนธัม” ของรัฐบาลจอมพล ป. ก็ยังยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเข้าจนได้ เช่นมีเจ้าหน้าที่ตัวแทนไปเข้าเฝ้า ขอพระราชทานฉายพระบรมฉายาลักษณ์ให้ทรงพระมาลา เพื่อนำไปเผยแพร่ภายนอกว่า สมเด็จฯทรงต้องร่วมมือปฏิบัติตัวตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประชาชน

     สมเด็จพระพันวัสสาฯ กริ้ว ตรัสตอบว่า “ทุกวันนี้จนจะไม่เป็นตัวของตัวอยู่แล้ว นี่ยังจะมายุ่งกับหัวกับหูอีก ไม่ใส่ อยากจะให้ใส่ก็มาตัดเอาหัวไปตั้ง แล้วใส่เอาเองก็แล้วกัน” แต่ก็ยังไม่จบสิ้นอยู่ดี เมื่อจอมพล ป. ต้องการให้ชื่อของคนไทย ระบุชัดว่าเพศชาย หรือหญิง สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ท่านมีพระนามว่า “สว่างวัฒนา” จอมพล ป. บอกว่าพระนามท่านไม่ชัดเจนว่าเป็นชายหรือหญิง สมัยนั้นรัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนเปลี่ยนชื่อ ผู้ชายมีชื่อฟังรู้ว่าเป็นชาย ผู้หญิงมีชื่อฟังรู้ว่าเป็นหญิงรัฐบาลเกิดเห็นว่าพระนาม “สว่างวัฒนา” สมควรเป็นชื่อผู้ชาย ก็ส่งตัวแทนมาขอให้ทรงเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับ “รัฐนิยม” สมเด็จฯ ทรงกริ้วทันทีเมื่อทรงทราบ ตรัสด้วยความแค้นพระทัยว่า “ชื่อฉัน ทูลหม่อม (หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระราชทาน ท่านทรงทราบดีว่าฉันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”ผลก็คือ ทรงดำรงพระนามไว้ได้ตามเดิมจนกระทั่งหมดยุค ก็ไม่มีใครมาเซ้าซี้ให้เปลี่ยนพระนามอีก

     ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จากปัญหาเรื่องการใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทยกับอินโดจีน ซึ่งอยู่ในครอบครองฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงเรื่องการใช้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเมืองนครพนม การรบระหว่างฝรั่งเศสกับไทยจึงเริ่มขึ้น ฝรั่งเศสโจมตีไทยทางอรัญประเทศ รัฐบาล จอมพล ป. ส่งทหารไทยเข้าไปในอินโดจีนทางด้านเขมร

     แต่ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย จนมีการส่งผู้แทนไปลงนามอนุสัญญาโตเกียว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ในครั้งนั้นไทยได้ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคืน รวมทั้งทางใต้ตรงข้ามปากเซ คือ แขวงจำปาศักดิ์และดินแดนในเขมรที่เสียให้ฝรั่งเศสไปเมื่อปี พ.ศ. 2450 กลับคืนมาด้วย และในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2484 พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาได้เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงชัยชนะของไทยต่อฝรั่งเศส และหนึ่งปีต่อมา จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485

     ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการประคับประคองประเทศชาติ(หรือตัวเอง) ให้ผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้เนื่องจากตัดสินใจเข้าร่วมกับกองทัพญี่ปุ่น เป็นฝ่ายที่ทั้งโลกตราหน้าว่า เป็นพวกอักษะ โดยกระทำหลายประการ ทั้งนี้มีการบอกเล่ากันว่า ท่านขอพระราชทานยศจอมพลให้กับตนเองเพราะท่านต้องการทำสงครามจิตวิทยากับทางกองทัพญี่ปุ่น  บ่งบอกกับญี่ปุ่นว่า กองทัพไทยมีผู้นำคือเขาคนเดียว และอยู่ในฐานะกองทัพพันธมิตร มิได้เป็นลิ่วล้อของญี่ปุ่นแต่อย่างใด

     หลังสงครามโลกสงบแล้ว จอมพลผู้นี้ต้องติดคุกระหว่างการถูกไต่สวนในฐานะอาชญากรสงครามอยู่ระยะหนึ่งตามพระราชบัญญัติอาชญากรรมสงครามที่รัฐบาลไทยประกาศใช้เป็นกฎหมายหลังสงครามโลก แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ด้วยการแลกเปลี่ยนบางประการกับกลุ่มรับสืบช่วงอำนาจ ด้วยการให้ศาลไทยชิงตัดสินคดีเอง แล้วได้พิจารณาเห็นว่า “กฎหมายย่อมไม่มีผลย้อนหลัง” จึงปล่อยตัวจอมพลผู้นี้เป็นอิสระ เล่นเอาทั้งโลกงงเป็นไก่ตาแตก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไทยในยุคสืบอำนาจจอมพลผู้นี้ ได้อิงแอบกับประเทศพี่เบิ้มรายใหม่ของโลก อย่างสหรัฐอเมริกา

     ซึ่งนับเป็นความชาญฉลาดของจอมเผด็จการผู้นี้ ที่ยอมสละอำนาจเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด และก็เป็นแบบอย่างให้จอมเผด็จการคนต่อๆมาของเมืองไทย ใช้ถือเป็นแม่แบบ คือยอมสละอำนาจที่ตนเองถือครองไว้แต่เพียงผู้เดียว เพื่อแลกกับความอยู่รอด จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็แล้วแต่ แต่ที่สุดแล้ว ไม่มีจอมเผด็จการคนไหนเลย ต้องชดใช้กรรมในสิ่งที่ตัวเองได้ใช้อำนาจนอกระบบช่วงชิงอำนาจของประชาชน...........ไม่มีเลยสักคนจริงๆ

     มีหลากหลายเรื่องราวในช่วงประวัติศาสตร์ยุคนี้  อย่างเรื่องการเลือกวิธีผิดๆในการนำชาติเป็นประชาธิปไตยของ ปรีดี  จนกลายเป็นชายผู้พ่ายแพ้ตลอดชีวิต หรือเรื่องขบวนการ “เสรีไทย” การประกาศชัยชนะของพวกผู้ดีจอมปลอม ใครที่อยากทราบเรื่องราวในเบื้องลึกของเรื่องราวเหล่านี้แล้วล่ะก็ วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังใหม่ หากว่าล็อคอินของผมยังอยู่รอดปลอดภัยนะครับ

     เขียนเรื่องนี้แล้ว อดนึกถึงมิตรท่านหนึ่งมิได้ ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ให้ความเมตตาต่อผมเสมอมาให้ห้องราชดำเนินแห่งนี้ ตั้งแต่สมัยผมเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ มีหลายครั้งที่ ที่คุยกันเรื่องเหตุการณ์ครั้งอดีต ท่านก็จะให้เกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์ที่ท่านทราบต้นสายปลายเหตุบางช่วงบางตอนดีกว่าผม ยิ่งในสมัยของ ธานินทร์ กรัยวิเชียร และ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ผมได้ความรู้จากมิตรผู้ใหญ่ท่านี้ค่อนข้างเยอะ แต่ปัจจุบัน ไม่เคยเห็นล็อคอินของท่านอีกเลย ผมจึงอยากบอกว่า ผมนายพระรองคนนี้ ยังระลึกถึง คุณลุงอัสดรอยู่เสมอนะครับ




    บทความของผมจบแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากสื่อออกไปยังไม่จบ ผมอยากชักชวนปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย มาร่วมกันเขียนบทความที่น่าอ่านกันอีกครั้งเถอะครับ เชื่อว่ายังมีหลายๆคนรออ่านบทความดีๆที่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันอยู่ ผมเองก็จะกลับมาเริ่มเขียนใหม่อีกครั้ง แม้จะมีคนอ่านน้อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงอย่างน้อยก็ได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ได้กระทำเรื่องดีๆให้สมกับความรู้และสติปัญญาของตนเอง

ขอบคุณครับ
นายพระรอง

ผมเขียนของผมจบแล้ว กำลังตั้งนะโม 3 จบ เพื่อหวังว่า
ข้อความของผมจะสามารถส่งผ่านไปให้คนที่ต้องการอ่านบทความได้อ่านกันนะครับ เพี้ยง..........

*แก้ไขคำผิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่