เมื่อหลายวันที่ผ่านมาชีวิตของหนูเล็กและพี่ใหญ่มีแต่น้ำกับฟ้า แล้ววันหนึ่งเราก็มาบุกตะลุยบนถนนลูกรังท่ามกลางป่าเขา จนมานอนกันอยู่ในป่าที่ไม่มีทั้งเสียงคลื่นและลมทะเล การผจญภัยของเราสองคนยังไม่จบ แต่กำลังเริ่มบทใหม่บนเส้นทางที่ไม่มีทะเล.....
ย้อนไปอ่านบทเริ่มต้นของการเดินทางของหนูเล็กและพี่ใหญ่ได้ที่นี่
ตอนที่ 1 จัดกระเป๋า
http://ppantip.com/topic/34121625
ตอนที่ 2 ไปทะเลกันดีกว่า
http://ppantip.com/topic/34130710
ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่ Twelve Apostles
http://ppantip.com/topic/34138588
ตอนที่ 4 Great Ocean Road - Hall Gaps
http://ppantip.com/topic/34154949
ที่พักอันแสนอบอุ่นของมิสเตอร์ทิมกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางอันแสนเครียด ทำให้หนูเล็กหลับรวดเดียวถึงเช้าเลย พอรู้สึกตัวความทรงจำตอนที่เช็คอินกับมิสเตอร์ทิมเกิดกลับมาปัจจุบันทันด่วนว่า ด้านหลังที่พักเรามีจิงโจ้มากระโดดโลดเต้นให้ได้เห็นอย่างใกล้ชิดก็ผุดขึ้นมา แม้ว่าความเย็นยะเยือกของอากาศภายนอกจะรออยู่ แต่ความอยากเจอสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีกระเป๋าหน้าท้องหรือที่เรียกว่ามาซูเพียล (Marsupial) ทำให้หนูเล็กจึงคว้าเสื้อหนาวออกไปอย่างรีบร้อน ซึ่งเป็นจริงตามนั้น เพราะเพียงแค่ชะโงกหน้าออกไปหลังบ้าน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็อย่างที่เห็นค่ะ
แม่ลูกยืนเล็มหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย
และเมื่อค่อยๆ เดินออกไป หนูเล็กสามารถเดินดูความเป็นอยู่ของพวกมันได้อย่างใกล้ชิด พวกมันเพียงแค่หันหน้ามามองสิ่งแปลกปลอมที่เดินผ่านเข้ามาในพื้นที่ของพวกมันเท่านั้นเอง มาดูพฤติกรรมน่ารักๆ ของมันกันค่ะ
กำลังประลองกำลังกัน
Magpie นกที่พบเจอได้ง่ายที่ออสเตรเลีย
นกแก้วสีสวยๆ ก็มีให้เห็น
เมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้ว หลังจากตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย เราสองคนก็ขอไปใช้เวลากับ Grampians National Park ตามที่มิสเตอร์ทิมแนะนำว่าเมื่อมาถึงแล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เส้นทางท่องเที่ยวก็มีป้ายบอกตลอดทางไม่ได้ยากเย็นอะไร
Tim's Place Backpackers Hostel
จากที่พักเราย้อนกลับทางเก่าเล็กน้อย จะมีทางแยกขวาเพื่อไปยัง Grampians National Park เส้นทางจะพาเราค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นเขาไป ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้มสมกับที่เป็นอุทยานแห่งชาติจริงๆ แต่เขาบอกว่าป่าแถบนี้เป็น Bush Fire Area ลำต้นจะเป็นสีดำๆ
ป้ายบอกทางให้ไปจอดรถที่บริเวณ Wonderland Park ซึ่งบริเวณนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่พอจะเดินเท้าไปไม่ทันเหนื่อย พี่ใหญ่กับหนูเล็กเดินไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ตกลงกันไว้ว่าถ้าไปไหวแค่ไหนก็แค่นั้น เพราะเราไม่ได้มีเวลามากนัก ถ้าหนทางลำบากลำบนต้องใช้เวลามากก็คงขอบาย
เลือกเดินกันไปแค่ Grand Canyon
มีนักท่องเที่ยวนิยมทำกิจกรรมไต่เขากันด้วย
บริเวณ Grand Canyon
สีสันเล็กๆ บนเส้นทาง
ดอกนี้ก็น่ารัก
ลูกศรสีเหลืองบนหิน ตัวช่วยในการเดินทาง ไม่ต้องกลัวหลง
เราสองคนเดินไปได้เพียงเลยบริเวณที่ชม Grand Canyon อีกไม่ไกล ก็พากันหันหัวกลับ เพราะดูๆ ไปแล้วก็เหมือนพวกลานหินแตก ลานหินปุ่มแถบเพชรบูรณ์บ้านเราเหมือนกัน ไปที่อื่นกันต่อดีกว่า
อีกสักดอก
เราจึงออกรถเดินทางขึ้นเขาต่อไป เพราะภารกิจวันนี้ เราต้องไปแตะขอบฟ้ากันให้ได้
เป้าหมายแรกคือ Boroka Lookout
จากจุดชมวิวที่เขาทำไว้ให้ เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของ Victoria Valley และ Lake Wartook บนนี้แม้ว่าแดดจะค่อนข้างแรง แต่อากาศดี ลมพัดมาชื่นใจ เมื่อยืนตรงนี้และยื่นมือออกไป ยังกับว่าเราจะแตะขอบฟ้าได้จริงๆ อย่างนั้นเลย
จากนั้นก็ขับรถขึ้นเขาไปอีกเล็กน้อยก็ถึงลานจอดรถ ตรงข้ามกับลานจอดรถก็คือ Reed Lookout เป็นมุมที่มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างแบบพาโนรามาเลยทีเดียว
แต่ที่เป็น a must ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องไม่พลาด ก็คือจุดชมวิวจุดที่สาม Balconies Lookout
จากลานจอดรถจะมีป้ายบอกทางให้เดินไป ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรเป็นทางราบ
[CR] Driving in Down Under : Melbourne and Great Ocean Road ตอนที่ 5 ออกไปแตะขอบฟ้าที่ Grampians
ย้อนไปอ่านบทเริ่มต้นของการเดินทางของหนูเล็กและพี่ใหญ่ได้ที่นี่
ตอนที่ 1 จัดกระเป๋า http://ppantip.com/topic/34121625
ตอนที่ 2 ไปทะเลกันดีกว่า http://ppantip.com/topic/34130710
ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่ Twelve Apostles http://ppantip.com/topic/34138588
ตอนที่ 4 Great Ocean Road - Hall Gaps http://ppantip.com/topic/34154949
ที่พักอันแสนอบอุ่นของมิสเตอร์ทิมกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางอันแสนเครียด ทำให้หนูเล็กหลับรวดเดียวถึงเช้าเลย พอรู้สึกตัวความทรงจำตอนที่เช็คอินกับมิสเตอร์ทิมเกิดกลับมาปัจจุบันทันด่วนว่า ด้านหลังที่พักเรามีจิงโจ้มากระโดดโลดเต้นให้ได้เห็นอย่างใกล้ชิดก็ผุดขึ้นมา แม้ว่าความเย็นยะเยือกของอากาศภายนอกจะรออยู่ แต่ความอยากเจอสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีกระเป๋าหน้าท้องหรือที่เรียกว่ามาซูเพียล (Marsupial) ทำให้หนูเล็กจึงคว้าเสื้อหนาวออกไปอย่างรีบร้อน ซึ่งเป็นจริงตามนั้น เพราะเพียงแค่ชะโงกหน้าออกไปหลังบ้าน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็อย่างที่เห็นค่ะ
และเมื่อค่อยๆ เดินออกไป หนูเล็กสามารถเดินดูความเป็นอยู่ของพวกมันได้อย่างใกล้ชิด พวกมันเพียงแค่หันหน้ามามองสิ่งแปลกปลอมที่เดินผ่านเข้ามาในพื้นที่ของพวกมันเท่านั้นเอง มาดูพฤติกรรมน่ารักๆ ของมันกันค่ะ
เมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้ว หลังจากตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย เราสองคนก็ขอไปใช้เวลากับ Grampians National Park ตามที่มิสเตอร์ทิมแนะนำว่าเมื่อมาถึงแล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เส้นทางท่องเที่ยวก็มีป้ายบอกตลอดทางไม่ได้ยากเย็นอะไร
จากที่พักเราย้อนกลับทางเก่าเล็กน้อย จะมีทางแยกขวาเพื่อไปยัง Grampians National Park เส้นทางจะพาเราค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นเขาไป ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้มสมกับที่เป็นอุทยานแห่งชาติจริงๆ แต่เขาบอกว่าป่าแถบนี้เป็น Bush Fire Area ลำต้นจะเป็นสีดำๆ
ป้ายบอกทางให้ไปจอดรถที่บริเวณ Wonderland Park ซึ่งบริเวณนี้จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่พอจะเดินเท้าไปไม่ทันเหนื่อย พี่ใหญ่กับหนูเล็กเดินไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ตกลงกันไว้ว่าถ้าไปไหวแค่ไหนก็แค่นั้น เพราะเราไม่ได้มีเวลามากนัก ถ้าหนทางลำบากลำบนต้องใช้เวลามากก็คงขอบาย
เราสองคนเดินไปได้เพียงเลยบริเวณที่ชม Grand Canyon อีกไม่ไกล ก็พากันหันหัวกลับ เพราะดูๆ ไปแล้วก็เหมือนพวกลานหินแตก ลานหินปุ่มแถบเพชรบูรณ์บ้านเราเหมือนกัน ไปที่อื่นกันต่อดีกว่า
เราจึงออกรถเดินทางขึ้นเขาต่อไป เพราะภารกิจวันนี้ เราต้องไปแตะขอบฟ้ากันให้ได้
จากจุดชมวิวที่เขาทำไว้ให้ เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันสวยงามของ Victoria Valley และ Lake Wartook บนนี้แม้ว่าแดดจะค่อนข้างแรง แต่อากาศดี ลมพัดมาชื่นใจ เมื่อยืนตรงนี้และยื่นมือออกไป ยังกับว่าเราจะแตะขอบฟ้าได้จริงๆ อย่างนั้นเลย
จากนั้นก็ขับรถขึ้นเขาไปอีกเล็กน้อยก็ถึงลานจอดรถ ตรงข้ามกับลานจอดรถก็คือ Reed Lookout เป็นมุมที่มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างแบบพาโนรามาเลยทีเดียว
แต่ที่เป็น a must ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องไม่พลาด ก็คือจุดชมวิวจุดที่สาม Balconies Lookout
บริเวณนี้เขาติดป้ายเตือนห้ามปีนไปบริเวณปากมัน เพราะเคยมีคนไปยืนถ่ายรูปแล้วตกลงไปตาย แต่เชื่อเลยว่าต้องมีนักท่องเที่ยวแผลงๆ ยังทำกันอยู่ เพราะขนาดมีราวเหล็กทุกจุดที่ไปชมมา ยังมีสาวฝรั่งบางคนปีนออกไปนอกราวเหล็กเพื่อให้ได้รูปที่สวยที่สุดประมาณนั้น
เมื่อกินวิวกันจนอิ่ม ก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อแล้ว จาก Grampians National Park ใช้เส้นทาง C222
ระหว่างที่กำลังขับรถเพลินๆ สิ่งที่ทำให้เราต้องหยุดรถในฉับพลันก็คือทุ่งดอกเรพซีดส์ (Rapeseeds) ที่เหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา
หลังจากชมกันจนเต็มอิ่ม ก็ออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายของวันนี้อยู่ที่เมือง Ballarat แต่ระหว่างทางจะต้องผ่านเมืองใหญ่อีกเมืองคือ Ararat
Ararat ถือเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในยุคตื่นทอง อาคารบ้านเรือนบางส่วนเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีต
ถนน C222 ไปเชื่อมต่อกับถนนหมายเลข A8 ผ่านเมือง Beaufort จากนั้นก็เข้าสู่ Ballarat
เส้นทางนี้ขับรถค่อนข้างง่าย ทิวทัศน์สองข้างทางเป็นทุ่งดอกเรพซีดส์ไปตลอด
เส้นทางสู่ Ballarat ทำให้หนูเล็กพบว่า เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่มากและก็น่าสนใจมากเมืองหนึ่ง ผิดจากที่คิดเอาไว้มากมาย เพราะก่อนเดินทางมาอ่านรีวิวท่องเที่ยวต่างๆ มักจะไม่แนะนำบอกว่าไม่ควรมาเพราะเมืองนี้ไม่มีอะไร
มีสิ่งปลูกสร้าง ประติมากรรมต่างๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ไว้ตามริมทาง
ชื่อเมืองมาจากภาษาอะบอริจิน คือ balla arat มีความหมายว่า สถานที่สำหรับการพักผ่อน ว่ากันว่าที่นี่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่โด่งดังมากในยุคตื่นทองจากเดิมเป็นเมืองเล็กๆ ไม่มีความสำคัญอะไร เมื่อมีการขุดพบทอง มีการทำเหมืองทองเกิดขึ้นบริเวณนี้ เมืองนี้ได้กลายเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากเมืองหนึ่งของรัฐวิคตอเรีย ผู้คนพากันหลั่งไหลมาเพื่อแสวงหาความร่ำรวยทั้งนั้น
และแล้ว GPS ก็นำเราถึงที่พักในที่สุด......
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น