"กว่าลูกจะได้ทุนเรียนฟรีจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาทั้ง 3 คน" ตอนที่ 1 เส้นทางการเป็นนักเรียนทุนของลูกทั้ง 3 คน

คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการได้มีโอกาสศึกษาต่อในต่างประเทศนั้นเป็นความฝันอันสูงสุดของหลาย ๆ คน
เพราะนั่นหมายถึงโอกาสของความสำเร็จและความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่รออยู่ข้างหน้า
ซึ่งความต้องการศึกษาต่อเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถของเยาวชนโดยเฉพาะทางด้านภาษาอังกฤษ
ที่นับวันจะมีมากขึ้นเพื่อก้าวให้ทันโลกยุค Globalization ที่มีการแข่งขันสูงและรวดเร็วมาก
โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ประชากรมีความจำเป็นต้องตื่นตัวเพื่อเตรียมความพร้อม
สำหรับการก้าวย่างสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปีพ.ศ. 2559 ที่กำลังจะมาถึงนี้
เพื่อสร้างโอกาสที่ดีกว่าในการประกอบอาชีพที่ดีมีรายได้สูงผ่านความรู้ความสามารถ
ในการติดต่อสื่อสารภาษาอังกฤษที่มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นทุกวัน

แน่นอนว่าสำหรับครอบครัวที่มีฐานะที่ดีนั้นการส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อเป็นเรื่องที่น่าจะทำได้ไม่ยาก
เพียงแค่ขอให้บุตรหลานมีความต้องการที่อยากจะเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนจริง ๆ
และมีผลการเรียนเป็นที่ยอมรับของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้เท่านั้น
ก็สามารถทำเรื่องเพื่อขอศึกษาต่อได้อย่างง่าย ๆ โดยอาจจะติดต่อเองหรือผ่านบริษัทตัวแทนที่ปรึกษาก็ได้

แต่สำหรับครอบครัวที่มีฐานะปานกลางถึงไม่ดีแน่นอนว่าคงเป็นเรื่องที่เอื้อมไม่ถึงสำหรับหลาย ๆ คน
คนที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ก็คงไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
เพราะแค่ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนต่อภายในประเทศก็เป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว
ส่วนตัวลูก ๆ เองก็คงไม่กล้าฝันที่จะศึกษาต่อในต่างประเทศแน่ ๆ เพราะคงเข้าใจฐานะของครอบครัวดี
เพราะค่าใช้จ่ายในแต่ละปีสำหรับการศึกษาต่อในต่างประเทศนั้นสูงมากเป็นหลัก 2-3 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
แค่คิดถึงตัวเลขค่าใช้จ่ายก็ไม่มีสิทธิ์แม้จะคิดต่อสำหรับครอบครัวส่วนใหญ่เสียแล้ว

ถึงแม้ค่าใช้จ่ายด้านค่าเล่าเรียน ค่าอาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ระหว่างการศึกษาในต่างประเทศในบางประเทศจะไม่สูงมากนัก
แต่อย่างน้อยก็คงต้องมีเงินสำรองหลักหลาย ๆ แสนถึงหลักล้านบาทต่อปีขึ้นไปจึงจะสามารถไปเรียนต่อได้
ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องที่เคยส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ
ส่วนใหญ่พบว่าค่าใช้จ่ายระหว่างการเรียนในมหาวิทยาลัยในอเมริกาสูงถึงประมาณปีละ 2 ล้านบาท
หรือปีละเกือบ 3 ล้านบาทสำหรับการศึกษาต่อในประเทศอังกฤษเลยทีเดียว

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงจะท้อและหมดหวังกันแล้วซินะ
แต่เดี๋ยวก่อน....
โอกาสดี ๆ ยังมีให้กับผู้ที่มีความฝันแล้วเพียรพยายามสานฝันนั้นให้เป็นจริงเสมอ ^^

ปัจจุบันมีทุนการศึกษาเป็นจำนวนมากให้กับผู้ที่สนใจและมีความฝันจะศึกษาต่อต่างประเทศมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นทุนการศึกษาจากภาครัฐของประเทศไทยเองหรือรัฐบาลของประเทศอื่น ๆ ผ่านสถานทูตต่าง ๆ
แต่การสมัครขอทุนในส่วนนี้ค่อนข้างยากและมีการแข่งขันสูงเพราะต้องผ่านการทดสอบความรู้ความสามารถ
ด้วยข้อสอบวัดความรู้ทั้งด้านภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ ที่ยากและหินมาก
ซึ่งผู้ที่สอบได้จะต้องมีสมองใสไอคิวสูงเป็นเด็กเทพจริง ๆ จึงจะสามารถผ่านด่าน 18 อรหันต์นี้ไปได้

ข้อด้อยของทุนการศึกษาลักษณะนี้ก็คือหลาย ๆ ทุนการศึกษาที่มอบให้กับนักเรียนทุน
กำหนดเงื่อนไขให้นักศึกษาที่เรียนจบแล้วกลับมาทำงานใช้ทุนเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน
จึงจะสามารถออกไปทำงานในองค์กรห้างร้านภาคเอกชนที่ตนเองชอบและถนัดได้
ถึงกระนั้นในแต่ละปีก็มีเด็กไทยที่มีผลการเรียนดีมีความรู้ความสามารถสูงสอบผ่าน
ได้รับทุนการศึกษาจากองค์กรและสถาบันต่าง ๆ เป็นจำนวนไม่น้อยเลย

อย่างไรก็ตามยังมีทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกจำนวนมหาศาล
ที่พร้อมมอบให้กับเด็กนักเรียนที่มีพื้นฐานความรู้ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีถึงดีมากเป็นประจำทุกปีด้วยเช่นกัน
ทุนการศึกษาดังกล่าวมาจากมหาวิทยาลัยทั้งที่เป็นของภาครัฐและเอกชน
มีทั้งมหาวิทยาลัยระดับ TOP ที่เป็นที่ใฝ่ฝันของหลาย ๆ คน และระดับปานกลางจนถึง No Name
แน่นอนว่าถ้าเลือกได้ใคร ๆ ก็คงอยากที่จะมีโอกาสสอบเข้า
หรือได้ทุนเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงกันแทบทั้งนั้น
ซึ่งข้อดีของทุนการศึกษาที่จะกล่าวถึงต่อไปคือเมื่อเรียนจบแล้วจบเลยไม่มีพันธะผูกพันธ์
เปรียบเสมือนจบด้วยทุนตัวเองหรือทุนของพ่อแม่ที่ไม่ต้องใช้ทุนคืนมหาวิทยาลัยไม่ว่าในรูปแบบใด

แต่สำหรับลูก ๆ ทั้ง 3 ของ จขกท เป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปที่มีผลการเรียนระดับดีปานกลาง
ไม่ได้โดดเด่นระดับแถวหน้าของเด็กนักเรียนหัวกะทิที่เก่ง ๆ แต่ทั้ง 3 คนมีความตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
และมีความเข้าใจถึงระดับความสามารถของตนเองจึงมีความฝันและได้เดินตามฝันของพวกเขา
เพียงแค่ให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ตนเองสามารถเลือกเรียนในคณะและวิชาที่ชอบได้
ซึ่งถึงแม้จะเป็นมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องมี Ranking ระดับ TOP TEN
แต่แค่ระดับร้อยก็พึงพอใจอย่างมากแล้วกับโอกาสที่ได้ในการรับทุนให้ศึกษาต่อ
โดยใช้ทุนจากทางบ้านให้น้อยที่สุดดีกว่าการทะเยอทะยานเน้นเลือกในมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้า
แต่ความรู้ความสามารถไม่ถึงก็จะเสียโอกาสในการได้ศึกษาต่อต่างประเทศ
และก็อาจจะไม่สามารถสานความฝันให้ไปถึงดวงดาวได้ในที่สุด

ดังนั้นในปี ค.ศ. 2010 ลูกสาวของ จขกท น้อง Sandy จึงสมัครขอทุนกับมหาวิทยาลัยระดับปานกลาง
ตามความสามารถและศักยภาพของตนเองนับสิบแห่งและได้รับการเสนอให้ทุนจากหลายแห่ง
สุดท้ายได้เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยและคณะที่ชอบที่สุดที่ให้ทุนการศึกษามากกว่าที่อื่น ๆ

น้อง Sandy จบการศึกษาระดับมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.95
ลูกคนนี้ถูกปลูกฝังให้เลือกเดินสายการแพทย์ตั้งแต่เด็กจนเป็นที่มาของการเขียน Essay
เล่าความฝันและเหตุผลที่อยากเป็นหมอประกอบในการส่งพร้อมใบสมัครเพื่อขอทุน
จนได้รับทุนการศึกษาคณะเตรียมแพทย์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐ Ohio
ซึ่งหวังว่าจะได้นำ Essay ของน้อง Sandy มาให้อ่านในตอนท้ายของบันทึกทั้งหมดนี้

วิชาที่น้อง Sandy เลือกเรียนใน Pre.Medicine หรือเตรียมการแพทย์ในมหาวิทยาลัย
คือ Double major in Biochemistry & Philosophy

จำนวนทุนการศึกษาที่ได้รับเป็น Full Tuition Fee Awards หรือค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน
คิดเป็นเงินทุนการศึกษาที่ได้รับปีละ US$35,500 รวม 4 ปีเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น US$142,000
แต่ค่าหอพัก ค่าอาหาร ค่าประกันสุขภาพ ค่ากิจกรรมการศึกษา และอื่น ๆ
ที่ต้องจ่ายเองให้กับมหาวิทยาลัยโดยตรงคิดเป็นปีละประมาณ US$10,000
รวม 4 ปีเป็นเงินทั้งสิ้น US$40,000

ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่นค่าเดินทางไปกลับ และเยี่ยมบ้านระหว่างเรียน
รวมค่าใช้จ่ายการเดินทางไปทำงานและกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะได้กล่าวในตอนต่อ ๆ ไป
เป็นเงินประมาณ US$8,000 รวมเป็นเงินค่าใช้จ่ายทั้งที่เป็นทุนของมหาวิทยาลัย
และทุนทางบ้านสำหรับการศึกษา 4 ปีเป็นเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ US$190,000
สำหรับช่วงปีการศึกษาระหว่าง 2010-2014

ปัจจุบันน้อง Sandy เรียนจบแล้วช่วง Summer ปี 2014 ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสอง
และกำลังทำงานวิจัยเรื่องอาการแทรกซ้อนจากการเปลี่ยนถ่ายเลือดในผู้ป่วยลูคีเมีย
ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐ Pennsylvania เพื่อหารายได้พิเศษสำหรับเป็นทุนการศึกษา
ส่งตัวเองเข้า Medical School ซึ่งต้องใช้เวลาศึกษาต่ออีก 4 ปีจึงจะจบเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้

แต่โอกาสได้รับทุนสำหรับเรียนแพทย์อาจจะน้อยหรือแทบไม่มีเลย
เนื่องจากหลาย ๆ มหาวิทยาลัยด้านการแพทย์ทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดา
ไม่มีนโยบายให้ทุนแก่นีกศึกษาต่างชาติแต่อาจจะมีข้อยกเว้นกรณีนักศึกษาที่เป็นหัวกะทิจริง ๆ
ส่วนน้อง Sandy ได้ทำข้อสอบ MCat ซึ่งเป็นข้อสอบหลักนอกเหนือจากการเขียน Essay
ที่ใช้สำหรับนำไปประกอบการสมัครเข้า Medical School โดยได้คะแนนเพียง 91%
หากได้เต็ม 100% หรือใกล้ ๆ ร้อย ก็อาจจะมีโอกาสได้รับคัดเลือกเข้าเรียนและได้รับทุนง่ายขึ้น
หรือถ้าโชคดีได้รับคัดเลือกเข้าเรียนใน Medical School จริง ๆ ก็น่าจะทำเรื่องขอกู้เรียนได้

ตอนนี้ก็กำลังช่วยกันลุ้นกันตัวโก่งว่าจะสามารถสอบเข้า Medical School ในปีนี้ได้หรือไม่
ซึ่งเมื่อทราบผลการสมัครเรียนเข้าโรงแรียนแพทย์ในปลายปีนี้ก็จะได้นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไป

ต่อมาเป็นลูกชายคนโต ชื่อเล่น Doctor (เป็นชื่อที่เรียกเล่น ๆ ตั้งแต่เล็กจนติดมาถึงปัจจุบัน
เนื่องจากคุณแม่เคยไปหาหมอดูซึ่งทักว่าเด็กคนนี้จะได้เรียนถึงขั้นด๊อกเตอร์เลยทีเดียว
แต่ถ้าอีก 5-10 ปีไม่สามารถเรียนถึงขั้นด๊อกเตอร์ตามหมอดูว่าก็คงต้องเปลี่ยนชื่อเล่นใหม่แล้ว อิอิ)

น้อง Doctor ก็ได้เดินตามรอยเท้าพี่สาวในเรื่องเส้นทางการขอทุนเกือบทุกประการ
น้อง Doctor จบการศึกษาระดับมัธยมปลายสายศิลป์ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.36
และได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐ New Mexico เมื่อปีค.ศ. 2012
โดยมหาวิทยลัยแห่งนี้สอนหลักสูตรเดียวสำหรับนักศึกษาทุกคนให้เรียน The Great Books
ซึ่งอยู่ในรูปแบบเหมือน Liberal Arts, majoring in Philosophy/History of Mathematics
and a double minor in Comparative Literature/Classics
หลักสูตรชื่อฝรั่ง ๆ แบบนี้คุณแม่อ่านไม่รู้เรื่องหรอกได้แต่คัดลอกมาให้ดูเท่ห์ ๆ งั้นแหละ ^^

ลูกคนนี้มีลักษณะแปลกกว่าพี่น้องคนอื่นที่มีความชื่นชอบในการศึกษาด้านปรัชญา
และภาษาศาสตร์ซึ่งมีความสามารถพิเศษด้านการเขียนโคลงฉันท์ กาพย์ กลอน เป็นภาษาอังกฤษ
โดยเคยได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันการแต่งกลอนในระดับมหาวิทยาลัยมาแล้ว

น้อง Doctor มีความใฝ่ฝันอยากท่องโลกกว้างและประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนหนังสือ
เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพแบบพอเพียงและมีค่าเดินทางเล็กน้อยแบบติดดินค่ำไหนนอนนั่น
จนคุณแม่จะเป็นโรคประสาทรับประทานอยู่ทุกวันนี้แล้ว 555

น้อง Doctor มีผลการเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ยในระดับมัธยมน้อยสุดที่ 3.36 เนื่องจาก
ถูกคุณแม่บังคับให้เรียนภาษาจีนแต่เรียนได้แค่ 2 ปีก็เลิกเพราะใจไม่รักและทำได้ไม่ดี
จึงได้เกรดต่ำเพียง C และ D รวมทั้งอ่อนภาษาไทยที่ได้เกรดต่ำด้วยเช่นกัน
ซึ่งต่อมาภายหลังจึงได้เปลี่ยนม้ากลางศึกหันมาเลือกวิชาเลือกอื่นแทนระหว่างทาง
แต่กว่าจะรู้ตัวก็เสียเวลาและสายเสียแล้วเพราะคะแนนที่ได้จากทั้ง 2 วิชานี้
ได้ฉุดเกรดเฉลี่ยของคะแนนในช่วงมัธยมปลายให้ตกต่ำลงไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว
โชคยังดีที่คะแนนในวิชาอื่น ๆ ไม่ขี้เหร่นักจึงทำให้ได้รับการพิจารณาได้รับทุนการศึกษาข้างต้น

จำนวนทุนการศึกษาที่น้อง Doctor ได้รับเป็น Full Tuition Fees หรือค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนเช่นกัน
คิดเป็นเงินทุนการศึกษาที่ได้รับปีละ US$47,806 รวม 4 ปีเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น US$191,224
ส่วนค่าหอพัก ค่าอาหาร ค่าประกันสุขภาพ ค่ากิจกรรมการศึกษา และอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายเองให้กับมหาวิทยาลัย
คิดเป็นปีละประมาณ US$12,000 รวม 4 ปีเป็นเงินทั้งสิ้น US$48,000
เงินทุนการศึกษาที่ได้รับและค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเองที่มากกว่าของน้อง Sandy คิดเป็นเงินสูงพอสมควร
คาดว่ามาจาก 2 เหตุผลหลักคือเป็นมหาวิทยาลัยที่คิดค่าเรียนแพงกว่าที่อื่น ๆ มาก
เนื่องจากอยู่ในรัฐที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประกอบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในช่วง 2 ปีหลัง
ต่อจากปีที่น้อง Sandy ได้รับทุนการศึกษา

ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่นค่าเดินทางไปกลับ และเยี่ยมบ้านระหว่างเรียน
รวมค่าใช้จ่ายการเดินทางทำงานและกิจกรรมอื่น ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ประมาณ US$10,000
รวมเป็นเงินค่าใช้จ่ายทั้งที่เป็นทุนของมหาวิทยาและทุนทางบ้านสำหรับการศึกษา 4 ปี
เป็นเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ US$249,224 สำหรับช่วงปีการศึกษาระหว่าง 2012-2017

แต่ในปีการศึกษา 2014 ที่ผ่านมาน้อง Doctor ได้ทำ Gap Year 1 ปีและปีนี้ได้กลับเข้าไปเรียนต่อแล้ว
ซึ่งรายละเอียดเหตุผลการทำ Gap Year หรือซิ่วและกิจกรรมที่ทำในปีที่ผ่านมาจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่