ชัมบาลา (Shambhala) หรือ แชงกรีลา (Shangri-La) ในภาษา ทิเบต
หมายถึง ดินแดนอันบริสุทธิ์ เป็นตำนานลึกลับของโลกแห่งพุทธศาสนา
ในหนังสือประวัติศาสตร์ ทิเบต ได้มีการบันทึกเรื่องราวของ ชัมบาลา ไว้มากมาย
แต่นักวิชาการทางพุทธศาสนาก็ยังตั้งข้อกังขาว่าแท้จริงแล้ว ชัมบาลา
นั้นมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแดนสวรรค์ในนิยาย
ถือเป็นความลี้ลับที่ยังไม่มีบทสรุป
หลายๆท่านอาจเคยเดินทางไปยัง หลังคาโลก หรือาจจะเคยเห็น รูปภาพ และ VDO จาก สถานที่ต่างๆ แต่ครั้งนี้ ผมจะพาไปดู สถานที่หนึ่ง ในทางทิศเหนือของทิเบต ซึ่งจะสามารถมองเห็น วิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ และ สามารถมองเห็น ภูเขาที่สูงที่สุดบนโลกนี้ ยอดเขา Everest เพราะบางที สถานที่นั้นอาจจะพบ ซัมบาลา ก็อาจเป็นได้
ระหว่างทางการบินมายังทิเบตนี้ 2ข้างทาง สวยงามมากหากมองจากบนเครืองบิน
การมาทิเบต ครั้งนี้ ต้องไม่เหมือนทุกครั้งคือ เราจะ ไม่เที่ยวแค่ตัวเมืองทิเบต เราอยากไปสถานที่ น้อยคนนัก เคยไป อยากไปดูวิวที่น้อยคนนัก เคยดู แต่การมาครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก ของผมที่มายังทิเบตนี้ ดังนั้น การเที่ยวใน 5 วันแรก ผมจึงเที่ยวเหมือนคนทั่วไปก่อน นั้นคือพระราชวังโปตาลา
การมาที่นี้ในต้นเดือนธันวาคม นั้น มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ข้อดีนั้นก็คือ ไม่มีผู้คนเลย เพราะ อากาศที่หนาวมากกว่า -10 องศา จึงไม่มีนักท่องเที่ยว เท่าไหร่ แต่ข้อเสียนั้นก็คือ อากาศที่หนาวมากเช่นกัน
ในศตวรรษที่ 7 เจ้าเมืองทิเบตได้สร้างพระราชวังโปตาลาขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่ิอต้อนรับพระราชธิดาแห่งราชวงค์ถังและพระราชธิดาจากเนปาลที่จะมาสมรสด้วย แต่สิ่งที่พระราชธิดาทั้งสองพระองค์นำมาด้วย และเปลี่ยนแปลงชาวทิเบตจากความเชื่อที่หลากหลาย นั้นก็คือ"ศาสนาพุทธนิกายมหายาน" ต่อมาประมาณกลางศตวรรษที่ 9 ราชวงค์ทิเบตล้มสลาย มีการแย่งชิงบัลลังก์ ทำให้พระราชวังแห่งนี้ถูกทิ้งร้างกว่า 800 ปี
หลังจากถูกปล่อยร้างกว่า 800 ปี ในช่วงศตวรรษที่ 17 ดาไลลามะองค์ที่ 5 สามารถควบคุมอำนาจเหนือทิเบตได้ทั้งหมด และได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากพระเจ้าซุ่นจื่อ กษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1652 หลังจากนั้นดาไลลามะองค์ที่ 5 จึงได้ทำการสร้างและปรับปรุงพระราชวังโปตาลา เพื่อเป็นที่ประทับและเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของพระองค์รวมถึงคณะรัฐบาลด้วย และได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อยมาจนถึงยุคของดาไลลามะองค์ปัจจุบัน
พระราชวังโปตาลาแห่งนี้สร้างขึ้นบนเขามาโปรี (Marpo Ri) ที่มีความสูง 110 เมตร จึงสามารถมองเห็นเมืองลาซาได้ทั้วถึง 360 องศา ตัวพระราชวังใช้ก้อนหินธรรมชาติก่อตามลักษณะของยอดเขา กำแพงสร้างด้วยหินแกรนิตหนา 6 เมตร บางส่วนก่อด้วยต้นข้าวโพดผสมปูนขาวเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นประจำในบริเวณนี้
ค.ศ. 1951ประเทศจีนได้ทำการปลดแอกทิเบตโดยเสรีภาพและมีการเซ็นสัญญากับดาไลลามะ ปานเจียนลามะ และตัวแทนชนชั้นปกครองของทิเบตว่าจะยังคงไม่ทำการปรับปรุงการปกครองที่มีอยู่เดิมของทิเบต โดยให้ผู้นำของทิเบตมีความเข้าใจและพร้อมเสียก่อน ปี 1956 พระราชวัง Takten Migyur Podrang(ตั้งอยู่ในพระราชวังฤดูร้อน)ของดาไลลามะองค์ที่ 14 สร้างแล้วเสร็จ 3 ปีต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ Tibet Uprising พระองค์ได้หนีออกจากทิเบตพร้อมผู้ติดตามอีก 50,000 คน ทิ้งพระตำหนักใหม่ของพระองค์ให้อยู่ในพระราชวังฤดูร้อน ที่เป็นสิ่งก่อสร้างหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานพระราชวังโปตาลา ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก(ร่วม)ด้านวัฒนธรรมในปี 2001
เนื่องจากพระราชวัง ตั้งอยู่บนเขาสูงดังนั้นผมจึงมีความคิดที่ว่า เราก้ควร ไปหาเขาที่สูงๆ เพื่อได้เห้นมุมของพระราชวังที่ต่างออกไป ดังนั้นผมจึงจ้างรถ นั่งออกนอกเมืองไปประมาณ 30 นาที่ ก็พบเขาลูกหนึ่งจึงคิดว่าถ้าได้ขึ้นไปบนนั้น จะต้องได้เห็น มุมมองใหม่ที่ น้อยคนอาจจะไม่เคยเห็น ผมใช้เวลา ปีนเขาขึ้นไปประมาณ 30 นาที่ เพราะอากาศที่เบาบาง และ ความหนาวเย็น ทำให้ไต่ช้ามาก และนี้ คือภาพที่ผมได้
หลังจากที่เที่ยวในตัวเมืองครบหมดแล้ว ผม ก็ได้ให้คนท้องถิ่น พาไปตามหา สถานที่ผมคิดว่าอาจจะได้พบกับ ซัมบาลา เขาถามผมว่าใครต่อใครที่มาเที่ยวที่นี้ ก้ถามหา แต่ซัมบาลา แล้วรู้ไหม ว่า ซัมบาลาคือที่ใด ผมตอบไปว่าผม ไม่ทราบ แต่ถ้าผมได้ไปสถานที่ใจ บอกว่าที่นี้สวยจัง ผมว่าที่นั้นคงไม่ต่างจาก ซัมบาลาหรอก
ชาวท้องถิ่นบอกผมว่า ที่ๆเรียกว่าซัมบาลานั้น มัน ไม่ต้องไปไกลที่สุดหรอก มันไม่ต้องไปถึงยอดเขา Eererest หรอก มันอยู่ที่ใจเรา ใจเรานั้นร้อนหรือเย็น ยึดมั่นหรือปล่อยวาง ที่นั้นละคือซัมบาลา ดังคำที่ว่า สวรรณ์ หรือนรก มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าใจเราดี มันจะส่งมาที่ตาเรา แล้วเราจะเห็นแม้ภาพวิวธรรมดา มันก็สวยมากเลยที่เดียว
แล้วคนท้องถิ่นก็บอกผมว่า มีสถานที่อยู่ที่หนึ่ง อยากจะพาเดินทางไป แต่ที่นั้นค่อนข้างสูงมาก สูงกว่าระดับน้ำทะเล กว่า 5000 เมตร สามารถมองเห้นยอดเขาเอเวอเรสต์ ได้ และที่ๆจะไปนั้นเป็นที่หนาวมากๆ ลมแรง ห้องน้ำไม่มี ต้องนั่งรถ ออกจากเมืองไปประมาณ 4 ชัวโมง ผม รีบตกลงไปในทันที่ เพราะที่นั้นละที่ผมอาจจะพบ ซัมบาลา
การเดินทางเพื่อไปยังยอดเขากัมปาลากา ยอดเขาที่สูงที่สุดของทิเบตนั้น สองข้างทางสวยมากๆ เพราะ เป้นแนวเขาเรียงสลับกันไป
ก่อนจะไปถึงยังยอดเขาเราก็พบ ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของแถบเขาหิมาลัย ชื่อทะเลสาบ Yamzhong Yumco Lake ที่นี้ไกลจากตัวเมืองประมาณ 120 กม.
จากจุดนี้ เราจะนั่งรถขึ้นไป อีกประมาณ 500 เมตร เพื่อที่จะ อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 5000 เมตร ที่ตรงนั้นจะมองเห็นวิว ที่สวย มาก และ ยอดเขาเอเวอเรส ด้วยเช่นกัน
เมื่อถึงตรงที่รถสามารถพามาได้บนความสูง 4990 เมตร จากนี้เราจะต้อง เดินขึ้นเอง ระยะทางเดินเพื่อไปถึง 5010 เมตร นี้ผมใช้เวลาเดิน ประมาณ 30 นาที่ เพราะอากาสที่หนาวมากๆ และลมที่แรงมากๆ และสิ่งที่ผมค้นพบ นั้นก้คงไม่ต่างจากซัมบาลาที่ ใครหลายๆคนอยากพบ เพราะมันสวยเหลือเกิน
ทะเลสาบ ท้องฟ้า ภูเขา ทุกสิ่งจะสวยงามเมื่อระยะห่างกำลังดี
MUST BE THERE : มหัศจรรย์ชัมบาลา
หมายถึง ดินแดนอันบริสุทธิ์ เป็นตำนานลึกลับของโลกแห่งพุทธศาสนา
ในหนังสือประวัติศาสตร์ ทิเบต ได้มีการบันทึกเรื่องราวของ ชัมบาลา ไว้มากมาย
แต่นักวิชาการทางพุทธศาสนาก็ยังตั้งข้อกังขาว่าแท้จริงแล้ว ชัมบาลา
นั้นมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแดนสวรรค์ในนิยาย
ถือเป็นความลี้ลับที่ยังไม่มีบทสรุป
หลายๆท่านอาจเคยเดินทางไปยัง หลังคาโลก หรือาจจะเคยเห็น รูปภาพ และ VDO จาก สถานที่ต่างๆ แต่ครั้งนี้ ผมจะพาไปดู สถานที่หนึ่ง ในทางทิศเหนือของทิเบต ซึ่งจะสามารถมองเห็น วิวที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ และ สามารถมองเห็น ภูเขาที่สูงที่สุดบนโลกนี้ ยอดเขา Everest เพราะบางที สถานที่นั้นอาจจะพบ ซัมบาลา ก็อาจเป็นได้
ระหว่างทางการบินมายังทิเบตนี้ 2ข้างทาง สวยงามมากหากมองจากบนเครืองบิน
การมาทิเบต ครั้งนี้ ต้องไม่เหมือนทุกครั้งคือ เราจะ ไม่เที่ยวแค่ตัวเมืองทิเบต เราอยากไปสถานที่ น้อยคนนัก เคยไป อยากไปดูวิวที่น้อยคนนัก เคยดู แต่การมาครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรก ของผมที่มายังทิเบตนี้ ดังนั้น การเที่ยวใน 5 วันแรก ผมจึงเที่ยวเหมือนคนทั่วไปก่อน นั้นคือพระราชวังโปตาลา
การมาที่นี้ในต้นเดือนธันวาคม นั้น มีทั้งข้อดี และข้อเสีย ข้อดีนั้นก็คือ ไม่มีผู้คนเลย เพราะ อากาศที่หนาวมากกว่า -10 องศา จึงไม่มีนักท่องเที่ยว เท่าไหร่ แต่ข้อเสียนั้นก็คือ อากาศที่หนาวมากเช่นกัน
ในศตวรรษที่ 7 เจ้าเมืองทิเบตได้สร้างพระราชวังโปตาลาขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่ิอต้อนรับพระราชธิดาแห่งราชวงค์ถังและพระราชธิดาจากเนปาลที่จะมาสมรสด้วย แต่สิ่งที่พระราชธิดาทั้งสองพระองค์นำมาด้วย และเปลี่ยนแปลงชาวทิเบตจากความเชื่อที่หลากหลาย นั้นก็คือ"ศาสนาพุทธนิกายมหายาน" ต่อมาประมาณกลางศตวรรษที่ 9 ราชวงค์ทิเบตล้มสลาย มีการแย่งชิงบัลลังก์ ทำให้พระราชวังแห่งนี้ถูกทิ้งร้างกว่า 800 ปี
หลังจากถูกปล่อยร้างกว่า 800 ปี ในช่วงศตวรรษที่ 17 ดาไลลามะองค์ที่ 5 สามารถควบคุมอำนาจเหนือทิเบตได้ทั้งหมด และได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากพระเจ้าซุ่นจื่อ กษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์ชิงในปี ค.ศ. 1652 หลังจากนั้นดาไลลามะองค์ที่ 5 จึงได้ทำการสร้างและปรับปรุงพระราชวังโปตาลา เพื่อเป็นที่ประทับและเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของพระองค์รวมถึงคณะรัฐบาลด้วย และได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมเรื่อยมาจนถึงยุคของดาไลลามะองค์ปัจจุบัน
พระราชวังโปตาลาแห่งนี้สร้างขึ้นบนเขามาโปรี (Marpo Ri) ที่มีความสูง 110 เมตร จึงสามารถมองเห็นเมืองลาซาได้ทั้วถึง 360 องศา ตัวพระราชวังใช้ก้อนหินธรรมชาติก่อตามลักษณะของยอดเขา กำแพงสร้างด้วยหินแกรนิตหนา 6 เมตร บางส่วนก่อด้วยต้นข้าวโพดผสมปูนขาวเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นประจำในบริเวณนี้
ค.ศ. 1951ประเทศจีนได้ทำการปลดแอกทิเบตโดยเสรีภาพและมีการเซ็นสัญญากับดาไลลามะ ปานเจียนลามะ และตัวแทนชนชั้นปกครองของทิเบตว่าจะยังคงไม่ทำการปรับปรุงการปกครองที่มีอยู่เดิมของทิเบต โดยให้ผู้นำของทิเบตมีความเข้าใจและพร้อมเสียก่อน ปี 1956 พระราชวัง Takten Migyur Podrang(ตั้งอยู่ในพระราชวังฤดูร้อน)ของดาไลลามะองค์ที่ 14 สร้างแล้วเสร็จ 3 ปีต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ Tibet Uprising พระองค์ได้หนีออกจากทิเบตพร้อมผู้ติดตามอีก 50,000 คน ทิ้งพระตำหนักใหม่ของพระองค์ให้อยู่ในพระราชวังฤดูร้อน ที่เป็นสิ่งก่อสร้างหนึ่งในกลุ่มโบราณสถานพระราชวังโปตาลา ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก(ร่วม)ด้านวัฒนธรรมในปี 2001
เนื่องจากพระราชวัง ตั้งอยู่บนเขาสูงดังนั้นผมจึงมีความคิดที่ว่า เราก้ควร ไปหาเขาที่สูงๆ เพื่อได้เห้นมุมของพระราชวังที่ต่างออกไป ดังนั้นผมจึงจ้างรถ นั่งออกนอกเมืองไปประมาณ 30 นาที่ ก็พบเขาลูกหนึ่งจึงคิดว่าถ้าได้ขึ้นไปบนนั้น จะต้องได้เห็น มุมมองใหม่ที่ น้อยคนอาจจะไม่เคยเห็น ผมใช้เวลา ปีนเขาขึ้นไปประมาณ 30 นาที่ เพราะอากาศที่เบาบาง และ ความหนาวเย็น ทำให้ไต่ช้ามาก และนี้ คือภาพที่ผมได้
หลังจากที่เที่ยวในตัวเมืองครบหมดแล้ว ผม ก็ได้ให้คนท้องถิ่น พาไปตามหา สถานที่ผมคิดว่าอาจจะได้พบกับ ซัมบาลา เขาถามผมว่าใครต่อใครที่มาเที่ยวที่นี้ ก้ถามหา แต่ซัมบาลา แล้วรู้ไหม ว่า ซัมบาลาคือที่ใด ผมตอบไปว่าผม ไม่ทราบ แต่ถ้าผมได้ไปสถานที่ใจ บอกว่าที่นี้สวยจัง ผมว่าที่นั้นคงไม่ต่างจาก ซัมบาลาหรอก
ชาวท้องถิ่นบอกผมว่า ที่ๆเรียกว่าซัมบาลานั้น มัน ไม่ต้องไปไกลที่สุดหรอก มันไม่ต้องไปถึงยอดเขา Eererest หรอก มันอยู่ที่ใจเรา ใจเรานั้นร้อนหรือเย็น ยึดมั่นหรือปล่อยวาง ที่นั้นละคือซัมบาลา ดังคำที่ว่า สวรรณ์ หรือนรก มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าใจเราดี มันจะส่งมาที่ตาเรา แล้วเราจะเห็นแม้ภาพวิวธรรมดา มันก็สวยมากเลยที่เดียว
แล้วคนท้องถิ่นก็บอกผมว่า มีสถานที่อยู่ที่หนึ่ง อยากจะพาเดินทางไป แต่ที่นั้นค่อนข้างสูงมาก สูงกว่าระดับน้ำทะเล กว่า 5000 เมตร สามารถมองเห้นยอดเขาเอเวอเรสต์ ได้ และที่ๆจะไปนั้นเป็นที่หนาวมากๆ ลมแรง ห้องน้ำไม่มี ต้องนั่งรถ ออกจากเมืองไปประมาณ 4 ชัวโมง ผม รีบตกลงไปในทันที่ เพราะที่นั้นละที่ผมอาจจะพบ ซัมบาลา
การเดินทางเพื่อไปยังยอดเขากัมปาลากา ยอดเขาที่สูงที่สุดของทิเบตนั้น สองข้างทางสวยมากๆ เพราะ เป้นแนวเขาเรียงสลับกันไป
ก่อนจะไปถึงยังยอดเขาเราก็พบ ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของแถบเขาหิมาลัย ชื่อทะเลสาบ Yamzhong Yumco Lake ที่นี้ไกลจากตัวเมืองประมาณ 120 กม.
จากจุดนี้ เราจะนั่งรถขึ้นไป อีกประมาณ 500 เมตร เพื่อที่จะ อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 5000 เมตร ที่ตรงนั้นจะมองเห็นวิว ที่สวย มาก และ ยอดเขาเอเวอเรส ด้วยเช่นกัน
เมื่อถึงตรงที่รถสามารถพามาได้บนความสูง 4990 เมตร จากนี้เราจะต้อง เดินขึ้นเอง ระยะทางเดินเพื่อไปถึง 5010 เมตร นี้ผมใช้เวลาเดิน ประมาณ 30 นาที่ เพราะอากาสที่หนาวมากๆ และลมที่แรงมากๆ และสิ่งที่ผมค้นพบ นั้นก้คงไม่ต่างจากซัมบาลาที่ ใครหลายๆคนอยากพบ เพราะมันสวยเหลือเกิน
ทะเลสาบ ท้องฟ้า ภูเขา ทุกสิ่งจะสวยงามเมื่อระยะห่างกำลังดี