สืบเนื่องจากกระแสข่าวบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ และบริษัทเอกชนไทย ถูกผู้บริโภคฟ้องร้องเรื่อง "ผลิตภัณฑ์อาหารที่ขาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาส" โดยมีข้อมูลจากหลายกระแสที่ออกมาโจมตี และตั้งข้อสังเกตกับเหตุการณ์ในการฟ้องร้องของสตรีชาวแคลิฟอร์เนียคนดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
จากที่เราตั้งข้อสังเกตกับข่าวดังกล่าว เหมือนว่าทางรัฐบาลสหรัฐต้องการส่งข้อความเตือนบางอย่างมาถึงรัฐบาลไทยหรือเปล่า ไล่มาตั้งแต่
- การแต่งตั้งเอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทยคนใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าวความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับ สหรัฐที่ย่ำแย่ลงจากการรัฐประหาร มีการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเอกอัครราชทูตดูแลนานถึง 6 เดือน ก่อนที่จะมีการเสนอชื่อมารับตำแหน่ง
- ปรับระดับประเทศไทยจาก Tier 2 Watch List ลงเป็น Tier 3 / ปรับประเทศมาเลเซีย และคิวบาจาก Tier 3 ขึ้นมาเป็น Tier 2 Watch List (ข่าวซุบซิบว่า : รัฐบาลสหรัฐต้องการให้ทางรัฐบาลของประเทศมาเลเซีย และคิวบาให้การสนับสนุนนโยบายบางอย่าง โดยการดึงมาเลเซีย และคิวบามาเป็นพวก)
- MOU : รถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่น โดยทางสหรัฐตั้งเป็นวาระแห่งชาติในการนำเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่น "Shinkansen" เพื่อมาพัฒนาระบบรางของสหรัฐ แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันของสหรัฐ และญี่ปุ่นที่จับมือกันเพื่อนโยบายบางอย่างร่วมกัน (อีกแล้ว)
จากที่ประเทศสหรัฐหาแนวร่วมจากประเทศต่างๆ ในครั้งนี้ ทำให้ดูเหมือนว่า สหรัฐต้องการที่จะหาทางต่อสู้กับประเทศจีน ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ มากขึ้น หลังจากที่มีการเปิดประเทศ
จนทำให้พี่ใหญ่สุดที่คุมเศรษฐกิจ และการเมืองของทั้งโลกเริ่มสั่นคลอนกับการขยับตัวของจีน
ทำให้ประเทศไทยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศจีนมาช้านาน และในหลายๆ ครั้งที่ประเทศไทย และประเทศจีนให้ความร่วมมือ (ช่วยเหลือ) ซึ่งกันทั้งในส่วนของรัฐบาล และเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ, การค้า, การท่องเที่ยว และอื่นๆ หลายครั้ง จนทำให้ประเทศไทย ที่เป็นเหมือนเมืองพี่ - เมืองน้อง กับประเทศจีน มีผลกระทบจากการชิงอำนาจของ 2 ขั้วอำนาจในครั้งนี้
ย้อนกลับมาที่ข่าวฟ้องร้องดังกล่าว ทำให้เราเกิดความสงสัยว่า แค่ผู้บริโภค 1 คน มีอำนาจมากมายที่สามารถจ้างบริษัททนายถึง 3 บริษัทเพื่อฟ้องร้องบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศสหรัฐ และบริษัทส่งออกของไทยได้เชียวหรือ ถ้าไม่มีอำนาจ หรือคนบงการใหญ่อยู่เบื้องหลังการฟ้องร้องในครั้งนี้
สอดคล้องกับเรื่องของการกีดกันทางการค้าทั้งจากประเทศสหรัฐ และประเทศในอียู จากบทความ "วิบากกรรมส่งออกกุ้งแช่แข็ง - เมื่อกุ้งไทยจำต้องว่ายทวนกระแสการกีดกันทางการค้า"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.platuannum.com/?p=35 และ http://www.platuannum.com/?p=38
เมื่อ 2 ขั้วอำนาจใหญ่ในโลกกำลังหาประเทศที่ให้การสนับสนุนประเทศของตน ยิ่งทำให้เราเห็นภาพในอนาคตของประเทศไทยว่า "ถ้าไทยไม่เลือกจีน" แล้วไทยควรจะต้องเลือกประเทศใด ???
เพิ่มเติม : เพื่อนๆ มีความคิดเห็นว่าอย่างไรกัน
ถึงเวลาที่ประเทศไทย ควรเลือก ..... ได้หรือยัง
จากที่เราตั้งข้อสังเกตกับข่าวดังกล่าว เหมือนว่าทางรัฐบาลสหรัฐต้องการส่งข้อความเตือนบางอย่างมาถึงรัฐบาลไทยหรือเปล่า ไล่มาตั้งแต่
- การแต่งตั้งเอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทยคนใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าวความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับ สหรัฐที่ย่ำแย่ลงจากการรัฐประหาร มีการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเอกอัครราชทูตดูแลนานถึง 6 เดือน ก่อนที่จะมีการเสนอชื่อมารับตำแหน่ง
- ปรับระดับประเทศไทยจาก Tier 2 Watch List ลงเป็น Tier 3 / ปรับประเทศมาเลเซีย และคิวบาจาก Tier 3 ขึ้นมาเป็น Tier 2 Watch List (ข่าวซุบซิบว่า : รัฐบาลสหรัฐต้องการให้ทางรัฐบาลของประเทศมาเลเซีย และคิวบาให้การสนับสนุนนโยบายบางอย่าง โดยการดึงมาเลเซีย และคิวบามาเป็นพวก)
- MOU : รถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่น โดยทางสหรัฐตั้งเป็นวาระแห่งชาติในการนำเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่น "Shinkansen" เพื่อมาพัฒนาระบบรางของสหรัฐ แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันของสหรัฐ และญี่ปุ่นที่จับมือกันเพื่อนโยบายบางอย่างร่วมกัน (อีกแล้ว)
จากที่ประเทศสหรัฐหาแนวร่วมจากประเทศต่างๆ ในครั้งนี้ ทำให้ดูเหมือนว่า สหรัฐต้องการที่จะหาทางต่อสู้กับประเทศจีน ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ มากขึ้น หลังจากที่มีการเปิดประเทศ
จนทำให้พี่ใหญ่สุดที่คุมเศรษฐกิจ และการเมืองของทั้งโลกเริ่มสั่นคลอนกับการขยับตัวของจีน
ทำให้ประเทศไทยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศจีนมาช้านาน และในหลายๆ ครั้งที่ประเทศไทย และประเทศจีนให้ความร่วมมือ (ช่วยเหลือ) ซึ่งกันทั้งในส่วนของรัฐบาล และเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ, การค้า, การท่องเที่ยว และอื่นๆ หลายครั้ง จนทำให้ประเทศไทย ที่เป็นเหมือนเมืองพี่ - เมืองน้อง กับประเทศจีน มีผลกระทบจากการชิงอำนาจของ 2 ขั้วอำนาจในครั้งนี้
ย้อนกลับมาที่ข่าวฟ้องร้องดังกล่าว ทำให้เราเกิดความสงสัยว่า แค่ผู้บริโภค 1 คน มีอำนาจมากมายที่สามารถจ้างบริษัททนายถึง 3 บริษัทเพื่อฟ้องร้องบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศสหรัฐ และบริษัทส่งออกของไทยได้เชียวหรือ ถ้าไม่มีอำนาจ หรือคนบงการใหญ่อยู่เบื้องหลังการฟ้องร้องในครั้งนี้
สอดคล้องกับเรื่องของการกีดกันทางการค้าทั้งจากประเทศสหรัฐ และประเทศในอียู จากบทความ "วิบากกรรมส่งออกกุ้งแช่แข็ง - เมื่อกุ้งไทยจำต้องว่ายทวนกระแสการกีดกันทางการค้า" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อ 2 ขั้วอำนาจใหญ่ในโลกกำลังหาประเทศที่ให้การสนับสนุนประเทศของตน ยิ่งทำให้เราเห็นภาพในอนาคตของประเทศไทยว่า "ถ้าไทยไม่เลือกจีน" แล้วไทยควรจะต้องเลือกประเทศใด ???
เพิ่มเติม : เพื่อนๆ มีความคิดเห็นว่าอย่างไรกัน