กราบอันเชิญผู้รู้ช่วยทีเถอะค่ะ ยาวหน่อย แต่รบกวนด้วยนะคะ
ท้าวความแปป...ที่บ้านจำนองที่ดินกับธนาคารสีม่วง (หึหึ) มาเป็นเวลาเข้าปีที่สี่แล้ว
ตลอดเวลาผ่อนส่งตรงเวลา ไม่เคยโดนทวงถามเลยสักครั้ง...
จนเมื่อพฤศจิ 57 ที่บ้านจะกู้เงินเพิ่มเพราะขยายกิจการ
พนักงานแบงค์ก็บอกว่า "ครับๆ เดี๋ยวผมจัดการให้ พอดีใกล้ปีใหม่แล้ว มันจะติดวันหยุดหลายวัน" แล้วก็มีคนจากแบงค์มาประเมินที่ดิน
มกรา 58 แม่ก็ถามไปอีกว่า "พี่...กู้ได้มั๊ย? ถ้ากู้ไม่ได้ก็จะได้กู้แบงค์อื่น"
คำตอบที่ได้คือ "ครับ ส่งเรื่องให้ผู้ใหญ่อนุมัติอยู่ เดี๋ยวผมจัดการให้
ไม่รู้ว่าจะได้หรือป่าว เพราะยอดสเตทเม้นท์ครึ่งปีหลังมันค่อนข้างต้ำ"
กุมภา พนักงานก็ติดต่อมาว่า "กู้ไม่ผ่าน"
แม่ก็เลยบอกพนักงานไปว่า "พี่...หนูตัดสินใจแล้วนะ หนูจะกู้แบงค์อื่น" คำตอบสั้นๆคือ "ครับ"
จากนั้นแม่ก็เลยแจ้งไปว่า จะไถ่ถอนโฉนด และเดินเรื่องหากู้แบงค์อื่น
แล้วแม่ก็ติดต่อไปที่แบงค์เขียว เดินเรื่องเอกสารไปอีกเกือบหนึ่งเดือน (เข้าเดือนมีนา) ก็ยังเดินเรื่องไม่เสร็จ
มีนา มีคนมาแนะนำแม่ว่าให้กู้แบงค์ฟ้า แม่ก็ติดต่อไป
แบงค์เขียวอนุมัติเงินกู้มาหลังจากที่ติดต่อแบงค์ฟ้าไปแล้ว
แล้วด้วยความที่ว่ามีโอกาสสูงว่าจะกู้แบงค์ฟ้าได้ เลยปฏิเสธแบงค์เขียวไป เพราะดอกเบี้ยแบงค์เขียวแพงกว่า
เมษา จากวันที่บอกไปว่าจะไถ่ถอนโฉนดกับแบงค์ม่วงก็ไม่มีการติดต่อบอกกล่าวอะไรจากพนักงานแบงค์ม่วงคนนั้นเลย
ในทางตรงกันข้าม...เดินเรื่องกับแบงค์ฟ้าเดือนเดียวผ่าน พนักงานโทรมาหาแม่ "เจ๊ เดี๋ยวเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันมาเลยนะ"
แม่เราก็ด้วยความที่วุ่นๆ เลยให้เบอร์โทรของพนักงานแบงค์ม่วงไปกับพนักงานแบงค์ฟ้า
ให้เค้าไปคุยกันเอาว่าจะเอาโฉนดให้กันอะไรยังไงเมื่อไหร่...
7 สิงหา ประมาณ 9 นิดๆ แม่ก็ไปโผล่ที่แบงค์ม่วง เพราะไปรับเอกสารนั่นนี่
บ่ายๆ แม่ก็ไปรับโฉนดที่กรมที่ดิน พร้อมกับพนักงานจากทั้งสองแบงค์ จับโฉนดยังไม่ถึงชั่วโมง มันก็ย้ายจากแบงค์ม่วงไปแบงค์ฟ้าละ
==================== เรื่องมันเริ่มจากตรงนี้แหละ ====================
ไอ้ตอนที่แม่ไปแบงค์ม่วงตอนเช้า เงินในบัญชีมันก็มีเท่าที่มันควรจะเหลือไม่มีปัญหาอะไร...
ตอนบ่ายๆไปกรมที่ดิน แต่พอสี่โมงเย็น ได้ข้อความแจ้งเตือนเงินเหลือในบัญชี
แม่ก็คำนวนหักค่านั่นนี่โน้น แล้วเห็นว่าเงินมันหายไป 18x,xxx
รอจนวันจันทร์ก็ไปขอสเตทเมนท์ดูยอด (บัญชีกระแส มันไม่มีสมุด) ยอดหายไปตามที่คำนวนไว้จรืงๆ
สอบถามไป พนักงานแบงค์ม่วงบอกว่าเป็นค่าปรับผิดสัญญา !!
แม่ก็ถึงจุดงงเลยว่า "สัญญาอะไรยังไง? งง ไม่ใช่ว่าถ้าผ่อนชำระครบสามปี ปีที่สี่ถ้ายกเลิกก็ไม่มีค่าปรับไม่ใช่หรอ?"
เค้าบอก "ผมทำตามสัญญาทุกอย่างเป๊ะๆ เลยนะเจ๊ สัญญาเงินกู้ที่เจ๊เซ็นต์"
23 สิงหา ไอ้เราพอได้ยินเรื่องจากแม่ก็ถึงกับ..."เห้ย มันอาจจะจริงว่าแม่เซ็นต์ไป
แต่เค้าจะมาหักไม่บอกไม่กล่าวนี่มันไม่ได้ จะมาหักเงินเรา ถึงต่อให้เราผิดสัญญาจริง
มันก็ต้องแจ้งยอดมาก่อนดิว่ามันจะหักเท่านั้นเท่านี้ แบบนี้ดิถึงจะใช่
ถ้าเกิดมันเป็นเงินก้อนแสนแปดสุดท้ายที่บ้านเราต้องใช้หมุนจะทำยังไงละนั่น"
เด็ดกว่านั้นคือ หนังสือคู่สัญญาที่ว่านั่น พอแม่เราเซ็นต์เสร็จตั้งแต่เมื่อสามปีกว่านู้น...นายก็เก็บไปเลย ตัวสำเนาแม่ก็ไม่มีเลยด้วยซ้ำ...!!!
ด้วยความข้องใจเราก็ถามคนรู้จักที่ทำงานแบงค์ฝ่ายสินเชื่อ
คำตอบที่ได้คือ "นายคนนั้นจะต้องแจ้งลูกหนี้ก่อน ต้องแจ้งก่อนว่าถ้าคุณจะรีไฟแนนซ์ จะเกิดค่าธรรมเนียมเท่านั้นเท่านี้นะ คุณรับได้มั๊ย??
ถ้ารับไม่ได้ก็ลดหย่อนกันไป จากจ่ายมากเหลือจ่ายน้อย"
แต่คือ
นายไม่ได้แจ้งอะไรเล๊ยยยยยยยย ละเงินที่ต้องผ่อนชำระแบงค์ม่วงไปน่ะ มันแค่ 1.6xM แค่นั้น
ซึ่งแม่ก็บ่นว่า "เงินแค่นั้นไปยืมเพื่อนมาโปะ ละแป๊ปๆคืนก็ได้แล้ว เสียดอกยังไงก็ไม่ถึง 18x,xxx ที่มันมาตัดเราหรอก"
24 สิงหา ช่วงบ่าย เราโทรไปทวงหนังสือสัญญากับพนักงานแบงค์ม่วง ซึ่งแม่ทวงไปเป็นอาทิตย์ก็ยังไม่ได้
พร้อมกับพูดถามนายเชิงย้ำและประชด "จากที่ถามๆคนอื่นมา เค้าบอกว่าปกติก็ต้องมีการแจ้งว่าจะมีค่าปรับเท่านั้นเท่านี้นี่คะ"
นายก็สั้นๆกลับมาว่า "ครับ" เราเลยได้แต่คิดในใจว่า "ห่า แล้วไหงไม่ยอมบอกแม่กูละวะ เงินแสนแปดเลยนะเว้ย"
จากนั้นเราก็เลยโทรไป 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้วยคำถามเดิมที่ว่า "แบงค์มีสิทธิ์ตัดโดยไม่มีการแจ้งเตือนได้หรอ?"
ละก็ได้คำตอบเดิมคือ "ก็ถ้าระบุในสัญญา ก็ทำได้ โดยจะคิด 3% ของวงเงินกู้ทั้งหมด ไม่ใช่ยอดหนี้ที่เหลือ ณ ตอนนี้
ซึ่งพนักงานนายนั้นควรที่จะแจ้งให้ทราบด้วยว่าถ้ารีไฟแนนซ์จะมีค่าธรรมเนียมเท่านั้นเท่านี้นะ รับได้มั๊ย?"
และที่สำคัญคือ
เงินนั้นเรียกคืนไม่ได้ครับ!!!
ตกเย็นมาเลยมานั่งคุยกะแม่ แบบละเอียดยิบ สรุปได้ใจความมาว่า...
แม่ข้องใจว่ามันมีกฎหมายไม่ใช่หรอว่า...ถ้าแม่ผ่อนชำระไปแล้วสามปี แล้วปีที่สี่เป็นต้นไปถ้าไปรีไฟแนนซ์ไม่ต้องเสียค่าปรับ?
งั้นแล้วไอ้ยอดแสนแปดที่มันตัดไปเนี่ย ตัดไปทำแป๊ะอะไร? มันตัดเงินแม่สองบัญชี
บัญชีแรก (ออม) มันตัดไปแล้ว 330,000!!
บัญชีสอง (กระแส ที่ว่ามีข้อความแจ้งเตือนยอดเงิน) ตัดไป 18x,xxx
ซึ่งแม่ก็เพิ่งจะมาเข้าใจตอนคุยกะเราว่าไอ้ยอดสามแสนสามนั่นน่ะ มันคงจะเป็น 3% ของเงินโอดี (11M)
งั้นแล้วไอ้แสนแปดมันคืออะไรหละ? ยอดเงินกู้มัน 8M จะบอกว่า 3% ของยอดนี้ก็ไม่ใช่
แล้วพนักงานบอกว่ามันเป็นค่าปรับผิดสัญญา ละผิดสัญญาอะไรมันจะซ้ำซ้อนมากมายขนาดนั้น
ค่าผิดสัญญาเป็นเงินร่วมห้าแสน ยอดหนี้ที่เหลือค้างมันเป็นเงิน 1.6M
ละถ้ามันแจ้งแม่เราซักนิดนะ ใครมันจะบ้ามายอมเสียค่าปรับเป็นเงินเกือบหนึ่งในสามของหนี้ที่เหลือ!!??
ณ จุดนี้แม่เราเริ่มทำใจกับเงินที่เสียไปละ เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ได้คืน
แต่เราแค้นใจกับเงินที่เสียไปมาก พร้อมกับเพิ่งจะรู้เรื่อง เลยกัดไม่ปล่อยอยู่เลยตอนนี้
==================== คำถาม ====================
1. มีหรือไม่มีกฎหมายที่ว่า พนักงานแบงค์จะ
ต้องทำการแจ้งให้ทราบว่าจะมีค่าปรับผิดสัญญาเท่านั้นเท่านี้
ก่อนตัดเงิน
2. เงินแสนแปด กับ สามแสนสามที่โดนตัดไปแบบไม่บอกกล่าวนั้น พนักงานที่เป็นคนเดินเรื่อง มีส่วนได้เสียมั๊ย??
เช่นว่า หาเงินให้แบงค์ได้เยอะ แบงค์ได้ผลประโยชน์เพราะคุณ ท้ายปีมาคุณได้โบนัสเยอะขึ้น เลื่อนขั้น ฯลฯ
3. มีหรือไม่มีกฎหมายที่ว่า ถ้าผ่อนชำระไปแล้วสามปี แล้วปีที่สี่เป็นต้นไปถ้าไปรีไฟแนนซ์ไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ?
เพราะเมื่อหกเดือนก่อน แม่เราก็รีไฟแนนซ์จากแบงค์ทหาร (ใช้ที่ดินอื่นค้ำ)
แต่ด้วยความที่ผ่อนชำระยังไม่ถึงสามปี แม่กลัวโดนค่าปรับ เลยหาเงินจากเพื่อนๆไปปิด
แล้วเอาโฉนดไปยื่นเรื่องกู้แบงค์อื่นต่อ ซึ่งก็ไม่เสียค่าปรับอะไรเลยซักบาทเดียว...
แล้วแม่คิดว่าแบงค์ม่วงที่แม่ผ่อนมาเข้าปีที่สี่แล้ว ก็คงไม่ต้องเสียค่าปรับเหมือนกัน (นางคิดตามกฎหมายสามปีที่ว่า นางเข้าใจว่ามี)
4. เราอยากจะร้องเรียนพนักงานคนนั้นให้ได้ ถึงถ้ากฎหมายจะไม่มีบังคับว่าเค้าต้องแจ้งเรา
แต่ตามหน้าที่เค้าควรต้องแจ้งเราหนิเพราะนั่นคือหน้าที่ของพนักงานฝ่ายสินเชื่อ เพราะงั้นอย่างน้อยก็อยากส่งหนังสือร้องเรียนสักตั้ง
เอาให้เป็นแบบอย่างให้พนักงานคนอื่นๆไม่กล้าขี้เกียจแจ้งลูกหนี้อีกเลย...
หนังสือร้องเรียนนั่น นอกจากจะส่งไปที่ศูนย์ใหญ่แบงค์ม่วงแล้ว ส่งไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มั๊ย??
รายละเอียดควรประกอบด้วยอะไรบ้างดี?? การสนทนาที่ว่ามาทั้งหมดไม่มีเอกสารลงวันที่เป็นลายลักษณ์อักษรอะไรเลย
มีแค่คำพูดจากันผ่านทางโทรศัพท์อย่างเดียว เลยคิดว่าเอาผิดทางกฎหมายไม่ได้อยู่แล้ว
5. จากที่เมื่อวานโทรไปถาม 1213 พนักงานที่รับสายเป็นคนแจ้งเราว่า
ยอดค่าปรับ 3% ของยอดทั้งหมดนั้นเค้าบังคับใช้ทุกธนาคาร
งั้นเราต้องโดนปรับ 3% ของวงโอดี และ วงเงินกู้ แบบนั้นหรอ??
หรือว่า 3% ของเงินตัวไหนก็แล้วแต่เค้าจะกำหนดในสัญญา?
บันทึกเพิ่มเติม...
25 สิงหา แก้ไขคำถามข้อ 3 และ 5 เพราะคำถามซ้ำซ้อน และเพิ่มคำถามอีกข้อ...
ถ้าคิดคำถามออกอีก จะมาเพิ่มเติมนะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่ทนอ่านจนจบ
สินเชื่อบ้าน...โดนตัดเงินเป็นแสนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า!!!
ท้าวความแปป...ที่บ้านจำนองที่ดินกับธนาคารสีม่วง (หึหึ) มาเป็นเวลาเข้าปีที่สี่แล้ว
ตลอดเวลาผ่อนส่งตรงเวลา ไม่เคยโดนทวงถามเลยสักครั้ง...
จนเมื่อพฤศจิ 57 ที่บ้านจะกู้เงินเพิ่มเพราะขยายกิจการ
พนักงานแบงค์ก็บอกว่า "ครับๆ เดี๋ยวผมจัดการให้ พอดีใกล้ปีใหม่แล้ว มันจะติดวันหยุดหลายวัน" แล้วก็มีคนจากแบงค์มาประเมินที่ดิน
มกรา 58 แม่ก็ถามไปอีกว่า "พี่...กู้ได้มั๊ย? ถ้ากู้ไม่ได้ก็จะได้กู้แบงค์อื่น"
คำตอบที่ได้คือ "ครับ ส่งเรื่องให้ผู้ใหญ่อนุมัติอยู่ เดี๋ยวผมจัดการให้
ไม่รู้ว่าจะได้หรือป่าว เพราะยอดสเตทเม้นท์ครึ่งปีหลังมันค่อนข้างต้ำ"
กุมภา พนักงานก็ติดต่อมาว่า "กู้ไม่ผ่าน"
แม่ก็เลยบอกพนักงานไปว่า "พี่...หนูตัดสินใจแล้วนะ หนูจะกู้แบงค์อื่น" คำตอบสั้นๆคือ "ครับ"
จากนั้นแม่ก็เลยแจ้งไปว่า จะไถ่ถอนโฉนด และเดินเรื่องหากู้แบงค์อื่น
แล้วแม่ก็ติดต่อไปที่แบงค์เขียว เดินเรื่องเอกสารไปอีกเกือบหนึ่งเดือน (เข้าเดือนมีนา) ก็ยังเดินเรื่องไม่เสร็จ
มีนา มีคนมาแนะนำแม่ว่าให้กู้แบงค์ฟ้า แม่ก็ติดต่อไป
แบงค์เขียวอนุมัติเงินกู้มาหลังจากที่ติดต่อแบงค์ฟ้าไปแล้ว
แล้วด้วยความที่ว่ามีโอกาสสูงว่าจะกู้แบงค์ฟ้าได้ เลยปฏิเสธแบงค์เขียวไป เพราะดอกเบี้ยแบงค์เขียวแพงกว่า
เมษา จากวันที่บอกไปว่าจะไถ่ถอนโฉนดกับแบงค์ม่วงก็ไม่มีการติดต่อบอกกล่าวอะไรจากพนักงานแบงค์ม่วงคนนั้นเลย
ในทางตรงกันข้าม...เดินเรื่องกับแบงค์ฟ้าเดือนเดียวผ่าน พนักงานโทรมาหาแม่ "เจ๊ เดี๋ยวเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันมาเลยนะ"
แม่เราก็ด้วยความที่วุ่นๆ เลยให้เบอร์โทรของพนักงานแบงค์ม่วงไปกับพนักงานแบงค์ฟ้า
ให้เค้าไปคุยกันเอาว่าจะเอาโฉนดให้กันอะไรยังไงเมื่อไหร่...
7 สิงหา ประมาณ 9 นิดๆ แม่ก็ไปโผล่ที่แบงค์ม่วง เพราะไปรับเอกสารนั่นนี่
บ่ายๆ แม่ก็ไปรับโฉนดที่กรมที่ดิน พร้อมกับพนักงานจากทั้งสองแบงค์ จับโฉนดยังไม่ถึงชั่วโมง มันก็ย้ายจากแบงค์ม่วงไปแบงค์ฟ้าละ
ไอ้ตอนที่แม่ไปแบงค์ม่วงตอนเช้า เงินในบัญชีมันก็มีเท่าที่มันควรจะเหลือไม่มีปัญหาอะไร...
ตอนบ่ายๆไปกรมที่ดิน แต่พอสี่โมงเย็น ได้ข้อความแจ้งเตือนเงินเหลือในบัญชี
แม่ก็คำนวนหักค่านั่นนี่โน้น แล้วเห็นว่าเงินมันหายไป 18x,xxx
รอจนวันจันทร์ก็ไปขอสเตทเมนท์ดูยอด (บัญชีกระแส มันไม่มีสมุด) ยอดหายไปตามที่คำนวนไว้จรืงๆ
สอบถามไป พนักงานแบงค์ม่วงบอกว่าเป็นค่าปรับผิดสัญญา !!
แม่ก็ถึงจุดงงเลยว่า "สัญญาอะไรยังไง? งง ไม่ใช่ว่าถ้าผ่อนชำระครบสามปี ปีที่สี่ถ้ายกเลิกก็ไม่มีค่าปรับไม่ใช่หรอ?"
เค้าบอก "ผมทำตามสัญญาทุกอย่างเป๊ะๆ เลยนะเจ๊ สัญญาเงินกู้ที่เจ๊เซ็นต์"
23 สิงหา ไอ้เราพอได้ยินเรื่องจากแม่ก็ถึงกับ..."เห้ย มันอาจจะจริงว่าแม่เซ็นต์ไป
แต่เค้าจะมาหักไม่บอกไม่กล่าวนี่มันไม่ได้ จะมาหักเงินเรา ถึงต่อให้เราผิดสัญญาจริง
มันก็ต้องแจ้งยอดมาก่อนดิว่ามันจะหักเท่านั้นเท่านี้ แบบนี้ดิถึงจะใช่
ถ้าเกิดมันเป็นเงินก้อนแสนแปดสุดท้ายที่บ้านเราต้องใช้หมุนจะทำยังไงละนั่น"
เด็ดกว่านั้นคือ หนังสือคู่สัญญาที่ว่านั่น พอแม่เราเซ็นต์เสร็จตั้งแต่เมื่อสามปีกว่านู้น...นายก็เก็บไปเลย ตัวสำเนาแม่ก็ไม่มีเลยด้วยซ้ำ...!!!
ด้วยความข้องใจเราก็ถามคนรู้จักที่ทำงานแบงค์ฝ่ายสินเชื่อ
คำตอบที่ได้คือ "นายคนนั้นจะต้องแจ้งลูกหนี้ก่อน ต้องแจ้งก่อนว่าถ้าคุณจะรีไฟแนนซ์ จะเกิดค่าธรรมเนียมเท่านั้นเท่านี้นะ คุณรับได้มั๊ย??
ถ้ารับไม่ได้ก็ลดหย่อนกันไป จากจ่ายมากเหลือจ่ายน้อย"
แต่คือนายไม่ได้แจ้งอะไรเล๊ยยยยยยยย ละเงินที่ต้องผ่อนชำระแบงค์ม่วงไปน่ะ มันแค่ 1.6xM แค่นั้น
ซึ่งแม่ก็บ่นว่า "เงินแค่นั้นไปยืมเพื่อนมาโปะ ละแป๊ปๆคืนก็ได้แล้ว เสียดอกยังไงก็ไม่ถึง 18x,xxx ที่มันมาตัดเราหรอก"
24 สิงหา ช่วงบ่าย เราโทรไปทวงหนังสือสัญญากับพนักงานแบงค์ม่วง ซึ่งแม่ทวงไปเป็นอาทิตย์ก็ยังไม่ได้
พร้อมกับพูดถามนายเชิงย้ำและประชด "จากที่ถามๆคนอื่นมา เค้าบอกว่าปกติก็ต้องมีการแจ้งว่าจะมีค่าปรับเท่านั้นเท่านี้นี่คะ"
นายก็สั้นๆกลับมาว่า "ครับ" เราเลยได้แต่คิดในใจว่า "ห่า แล้วไหงไม่ยอมบอกแม่กูละวะ เงินแสนแปดเลยนะเว้ย"
จากนั้นเราก็เลยโทรไป 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้วยคำถามเดิมที่ว่า "แบงค์มีสิทธิ์ตัดโดยไม่มีการแจ้งเตือนได้หรอ?"
ละก็ได้คำตอบเดิมคือ "ก็ถ้าระบุในสัญญา ก็ทำได้ โดยจะคิด 3% ของวงเงินกู้ทั้งหมด ไม่ใช่ยอดหนี้ที่เหลือ ณ ตอนนี้
ซึ่งพนักงานนายนั้นควรที่จะแจ้งให้ทราบด้วยว่าถ้ารีไฟแนนซ์จะมีค่าธรรมเนียมเท่านั้นเท่านี้นะ รับได้มั๊ย?"
และที่สำคัญคือ เงินนั้นเรียกคืนไม่ได้ครับ!!!
ตกเย็นมาเลยมานั่งคุยกะแม่ แบบละเอียดยิบ สรุปได้ใจความมาว่า...
แม่ข้องใจว่ามันมีกฎหมายไม่ใช่หรอว่า...ถ้าแม่ผ่อนชำระไปแล้วสามปี แล้วปีที่สี่เป็นต้นไปถ้าไปรีไฟแนนซ์ไม่ต้องเสียค่าปรับ?
งั้นแล้วไอ้ยอดแสนแปดที่มันตัดไปเนี่ย ตัดไปทำแป๊ะอะไร? มันตัดเงินแม่สองบัญชี
บัญชีแรก (ออม) มันตัดไปแล้ว 330,000!!
บัญชีสอง (กระแส ที่ว่ามีข้อความแจ้งเตือนยอดเงิน) ตัดไป 18x,xxx
ซึ่งแม่ก็เพิ่งจะมาเข้าใจตอนคุยกะเราว่าไอ้ยอดสามแสนสามนั่นน่ะ มันคงจะเป็น 3% ของเงินโอดี (11M)
งั้นแล้วไอ้แสนแปดมันคืออะไรหละ? ยอดเงินกู้มัน 8M จะบอกว่า 3% ของยอดนี้ก็ไม่ใช่
แล้วพนักงานบอกว่ามันเป็นค่าปรับผิดสัญญา ละผิดสัญญาอะไรมันจะซ้ำซ้อนมากมายขนาดนั้น
ค่าผิดสัญญาเป็นเงินร่วมห้าแสน ยอดหนี้ที่เหลือค้างมันเป็นเงิน 1.6M
ละถ้ามันแจ้งแม่เราซักนิดนะ ใครมันจะบ้ามายอมเสียค่าปรับเป็นเงินเกือบหนึ่งในสามของหนี้ที่เหลือ!!??
ณ จุดนี้แม่เราเริ่มทำใจกับเงินที่เสียไปละ เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่ได้คืน
แต่เราแค้นใจกับเงินที่เสียไปมาก พร้อมกับเพิ่งจะรู้เรื่อง เลยกัดไม่ปล่อยอยู่เลยตอนนี้
==================== คำถาม ====================
1. มีหรือไม่มีกฎหมายที่ว่า พนักงานแบงค์จะต้องทำการแจ้งให้ทราบว่าจะมีค่าปรับผิดสัญญาเท่านั้นเท่านี้ก่อนตัดเงิน
2. เงินแสนแปด กับ สามแสนสามที่โดนตัดไปแบบไม่บอกกล่าวนั้น พนักงานที่เป็นคนเดินเรื่อง มีส่วนได้เสียมั๊ย??
เช่นว่า หาเงินให้แบงค์ได้เยอะ แบงค์ได้ผลประโยชน์เพราะคุณ ท้ายปีมาคุณได้โบนัสเยอะขึ้น เลื่อนขั้น ฯลฯ
3. มีหรือไม่มีกฎหมายที่ว่า ถ้าผ่อนชำระไปแล้วสามปี แล้วปีที่สี่เป็นต้นไปถ้าไปรีไฟแนนซ์ไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ?
เพราะเมื่อหกเดือนก่อน แม่เราก็รีไฟแนนซ์จากแบงค์ทหาร (ใช้ที่ดินอื่นค้ำ)
แต่ด้วยความที่ผ่อนชำระยังไม่ถึงสามปี แม่กลัวโดนค่าปรับ เลยหาเงินจากเพื่อนๆไปปิด
แล้วเอาโฉนดไปยื่นเรื่องกู้แบงค์อื่นต่อ ซึ่งก็ไม่เสียค่าปรับอะไรเลยซักบาทเดียว...
แล้วแม่คิดว่าแบงค์ม่วงที่แม่ผ่อนมาเข้าปีที่สี่แล้ว ก็คงไม่ต้องเสียค่าปรับเหมือนกัน (นางคิดตามกฎหมายสามปีที่ว่า นางเข้าใจว่ามี)
4. เราอยากจะร้องเรียนพนักงานคนนั้นให้ได้ ถึงถ้ากฎหมายจะไม่มีบังคับว่าเค้าต้องแจ้งเรา
แต่ตามหน้าที่เค้าควรต้องแจ้งเราหนิเพราะนั่นคือหน้าที่ของพนักงานฝ่ายสินเชื่อ เพราะงั้นอย่างน้อยก็อยากส่งหนังสือร้องเรียนสักตั้ง
เอาให้เป็นแบบอย่างให้พนักงานคนอื่นๆไม่กล้าขี้เกียจแจ้งลูกหนี้อีกเลย...
หนังสือร้องเรียนนั่น นอกจากจะส่งไปที่ศูนย์ใหญ่แบงค์ม่วงแล้ว ส่งไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มั๊ย??
รายละเอียดควรประกอบด้วยอะไรบ้างดี?? การสนทนาที่ว่ามาทั้งหมดไม่มีเอกสารลงวันที่เป็นลายลักษณ์อักษรอะไรเลย
มีแค่คำพูดจากันผ่านทางโทรศัพท์อย่างเดียว เลยคิดว่าเอาผิดทางกฎหมายไม่ได้อยู่แล้ว
5. จากที่เมื่อวานโทรไปถาม 1213 พนักงานที่รับสายเป็นคนแจ้งเราว่า
ยอดค่าปรับ 3% ของยอดทั้งหมดนั้นเค้าบังคับใช้ทุกธนาคาร
งั้นเราต้องโดนปรับ 3% ของวงโอดี และ วงเงินกู้ แบบนั้นหรอ??
หรือว่า 3% ของเงินตัวไหนก็แล้วแต่เค้าจะกำหนดในสัญญา?
บันทึกเพิ่มเติม...
25 สิงหา แก้ไขคำถามข้อ 3 และ 5 เพราะคำถามซ้ำซ้อน และเพิ่มคำถามอีกข้อ...
ถ้าคิดคำถามออกอีก จะมาเพิ่มเติมนะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่ทนอ่านจนจบ