**อ่านเรื่องราวอื่นๆ: h
ttp://bit.ly/1DV2ved
**ติดตามเรื่องราวในเฟสบุค:
http://bitly.com/1HK82FZ
ตอนที่ 4-1: พี่เค้าเก่งจัง
พอปรับตัวเข้ากับ Sydney ได้เพิ่มมากขึ้นทำให้รึสึกมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นเยอะเลย ไปไหนมาไหนเองได้อย่างมั่นใจ กล้าซื้อตั๋วรถเอง กล้าซื้ออาหารกลางวันตามร้าน กล้าสั่งกาแฟ แต่ก้อยังมี iPhone เป็นเพื่อนสนิทเวลาไปไหนมาไหนเสมอ เพราะใช้ดูแผนที่เวลาไปไหมาไหน ใช้ฟังเพลงตอนอยู่บนรถปและก้อใช้แปลสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
รู้สึกดีใจที่ Life Balance มันเริ่มดีขึ้นทั้งเรียน ทั้งทำงานพิเศษ ทั้งฝึกงาน อาจจะยังไม่ลงตัวนักเพราะมันยังไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งมากแต่ก้อถือว่าชีวิตโอ โดยเฉพาะการที่ได้ฝึกงานที่ Thai Trade Centre มันเหมือนเป็นการเปิดโลกเลย เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้การทำงานแบบองค์กรที่ออสแล้ว ยังมีโอกาสได้พบปะผู้คน ได้เพื่อนเพิ่มมากขึ้น พี่ๆในที่ทำงานของ Thai Trade จนไปถึงผู้ส่งออก-นำเข้าของออสเตรเลีย จนไปถึงท่านกงสุลใหญ่ของไทยเราที่ซิดนีย์ มันเหมือนเราเริ่มเข้าไปอยู่ใน People Circle ที่มันดูมีหลักการ ไม่ใช่แค่หมกตัวอยู่กับตัวเองไม่เปิดโลกไปไหน
Big Sister กับ ผอ Thai Trade Centre Sydney
จากแวดวงผู้คนที่เริ่มรู้จักเนี่ย คนที่มีอิทธิพลต่อ Big Sister มากที่สุดเลยคือพี่เลี้ยงตอนฝึกงาน (พี่ออย) เพราะพี่เค้าเป็นคนเดียวที่เราคุยด้วยบ่อยสุดๆ นั่งทำงานตรงข้ามกัน ไปกินข้าวเที่ยวด้วยกัน ปรับทุกข์สุขการมาอยู่ออสเตรเลียให้พี่เค้าฟังบ่อยมากๆๆ คือสนิทกันมากๆ และก้อแอบมีพี่ออยเป็นไอดอลมาโดยตลอดเลยก้อว่าได้ ไม่ใช่เพราะสนิทกันนะแต่เพราะเหตุผลพวกนี้
- พี่เค้าเรียนรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เก่งอ่ะ)
- พี่เค้าเป็นคนดูดี พูดอังกฤษคล่องและเก่งอ่ะ (เก่งอ่ะ อยากเป็นแบบพี่เค้าบ้าง)
- พี่เค้าเรียนจบแล้วได้งานประจำกับ Thai Trade แบบเป็นหลักเป็นแหล่งอ่ะ (เก่งๆ อยากเป็นอย่างนี้บ้าง)
- พี่เค้านอกจากทำงานประจำ Weekday แล้ว Weekend เค้าก้อทำงานเป็น Assistant Manager ของร้านเสื้อฝรั่งๆชื่อ Spotscraft ตรง Double Bay (คือ...พี่เค้าเก่งอ่ะ!!!)
โฉมหน้าพี่ออย Idol ของ Big Sister
Big Sister แอบคิดในใจว่าอิจฉาพี่เค้ามากๆว่าทำไม “เค้าเก่ง” ก้อเคยคุยกับพี่ออยเค้าเหมือนตาม Topic พวกนี้เช่น
Q: พี่ออย ทำไมพี่ออยเรียนเก่งอ่ะ จบรัฐศาสตร์ ม.ธ. มันเรียนยากไม่ใช่หรอคะ ได้เกียรตินิยมอับดับ 1 ด้วย
“พี่ชอบอะไรที่เป็นการทูต หรือ อะไรที่มันเป็นการติดต่อระหว่างประเทศอ่ะ ตอนเรียนพี่เลยตั้งใจมาก ในห้องรียนพี่ทุ่มเท 100% เลย พี่เข้าเรียนทุกคาบ พี่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ และก้อคบเพื่อนที่ช่วยพากันเรียน”
Q: พี่ออยทำไมพูดอังกฤษเก่งจังอ่ะ สอนบ้างดิ
“คือพี่ชอบดูMTV อยากอ่าน Harry Potter ฉบับoriginal เข้าใจ พี่ก้อเลยขอบเปิดดิคแปลเพลง แปลหนังสือ พอมีโอกาสมาอยู่ออสพี่ก้อเลยอยากฝึกภาษาอังกฤษแบบของจริงก้อเลยลองไปทำงานร้านฝรั่งๆดู ก้อเลยได้ช้ภาษาที่เรียนมาแบบจริงๆจัง”
Q: พี่ออยได้งานประจำในซิดนีย์แล้วอ่ะ ชีวิตหนูเรียนจบแล้วจะเป็นยังไงก้อไม่รู้
“พี่ว่ามันอยู่ที่ Attitude กับความมั่นใจของเรานะ ถ้าเรามั่นใจมันก้อจะทำให้เรากล้าเปิดกว้างไปลองหางานที่มันสมกับที่เราเรียนมา ตอนพี่จบพี่เลยลองสมัครงานที่มันสมกับเราเรียนมาดู บวกกับการที่พี่อยากช่วยประเทศ 555 เพราะเรียนรัฐศาสตร์มา พี่เลยได้งานที่ Thai Trade ที่ Sydney”
Q: ทำไมพี่ออยได้เป็น Assistant Manager ของร้านฝรั่งๆด้วยอ่ะ
“พี่ทำงานที่ร้านนั้นมา 2 ปีแล้วอ่ะ เป็น Sales Assistant และตอนที่พี่ทำพี่ก้อตั้งใจทำงานแล้วก้อทำเป้าได้เกิน $1,000 ให้ร้านตลอดเลยอ่ะ ที่จริงเค้าโปรโมตให้พี่เป็น Full-time Manager ของร้านด้วยนะ แต่พอดีพี่ได้งานที่ Thai Trade พี่เลยขอเค้าเป็นแค่ Assistant Manager แทน”
ร้าน Sportscraft หน้าตาเป็นแบบนี้
CR: Formline Group
CR: Kirstenbokalil
ตอนนั้นฟังคำตอบของพี่ออยแล้วมันก็เออ ออ ไป และก้อยังคงพร่ำกับตัวเองต่อไปว่า “เออ พี่เค้าเก่งอ่ะ อิจฉา” ไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลย จนกระทั้งนานๆวันไปเราก้อเรียน ทำงาน เรียน ทำงานอยู่เหมือน แล้วมันเกิดนึกขึ้นมาว่า เราไม่ได้อยากทำอะไรเรื่อยๆเปื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายอย่างนี้ต่อไป “เรา อยาก เป็น เหมือน พี่ออย!” ก้อมาเริ่มนั่งคิดว่าที่พี่เค้าเคยบอกมาเค้าทำอะไรบ้าง
- ที่เรียนได้เกียรตินิยม: พี่เค้าก้อตั้งใจเรียน 100%อ่านหนังสือแล้วอ่านหนัสืออีก ทุ่มเทให้กับการเรียนสุดๆ (ไม่ใช่เพราะเค้าเก่ง เค้าเลยได้เกียรตินิยม)
- ที่พูดอังกฤษเก่ง: พี่เค้าฝึก เค้าขวนขวายอยากพัฒนาอังกฤษเอง จากหนังสือ จากเพลง จากประสบการณ์จริง (ไม่ใช่เพราะเค้าเก่ง เค้าเลยเก่งภาษา)
- ที่ได้งานประจำดีๆตอนเรียนจบจากมหาลัยที่นี่: ก้อพี่เค้าลองสมัครงานให้มันสมกับเค้า (ถ้าพี่เค้าไม่สมัครงานแนวๆนี้ ถึงแม้จะเก่ง พี่เค้าก้อคงไม่ได้งานแนวๆนี้จิงมะ)
- ได้เป็น Assistant Manager ร้าน retail แบบไฮโซๆ: พี่เค้าทำงานดี ตั้งใจทำงาน ทำเป้าได้ (มันไม่ใช่เค้าเก่งเลยได้โปรโมต)
หลังจากนนั้นมันเป็น Light bulb moment ว่า “อ๋อออออ.....มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” คือจริงๆแล้วมันใช่ได้เกี่ยวกับว่าพี่เค้าเก่งไม่เก่งนะ แต่คือพี่เค้า ทุ่มเท + พยายาม + ลงมือทำอย่างจริงจังนี่นา (ถ้าพี่เค้าเก่งแต่เค้าไม่ลงมือทำ มันก้อคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น) พอคิดได้ปุ๊บ ก้อมีแพลนขึ้นมาในหัวทันที ฮ่า ฮ่า โอเคเราขอตั้งเป้าหมายของเราไว้ 2 อย่าง:
1) ขอหางาน Part-time ใหม่ อยากได้งาน retail เหมือนพี่ออยบ้าง เพราะตอนนี้ทำอยู่ร้านไอติม เครียดเรื่องผู้ร่วมงานด้วยมากๆ เงินก้อได้น้อย มันต้องเดินไปเดินมายกของอะไรตลอดทั้งวัน พอกลับบ้านก้อหมดแรงทำ Assignment ให้ออกมาดีๆ ตั้งเป้าว่างานใหม่นี้ขอแบบ Retail เพราะ ได้เงินเยอะ + ไม่ใช้แรงมาก + ได้ฝึกภาษา + มีเวลาทำ Assignment
2) ขอหางานประจำใน SYDNEY ตอนเรียนจบให้ได้ (เวลาตัวเอง 6 เดือนหลังเรียนจบ ไม่งั้นกลับไทย! เพราะไม่อยากจะเสียเวลาที่นี่)
รู้สึกว่าเป้าหมาย 2 อันนี้มันสำคัญกับชีวิตตอนนั้นมาก ก้เลยขอซักตั้ง ขอทุ่มเทให้มันสุดๆไปเลย แต่ขอ Focus ข้อที่ 1 ก่อน ณ เวลานั้น อย่างแรกที่ทำเลยก้อคือไปปรึกษาพี่ออย ว่าจะขอเปลี่ยนงานพิเศษและนะ เพราะอยากได้งานประเภท Retail แบบพี่ออยบ้าง เพราะมันค่อนข้างชิว ได้เงินเยอะ ได้ฝึกภาษา มีเวลาทำ Assignment ให้ออกมาดีๆ พี่ออยก้อเห็นด้วยว่างานพิเศษที่เป็น Retail สมัยเรียนมันโอสุดๆ (Retail คือ เป็นพนักงานขายสินค้าตามร้านค้า หรือตามห้าง) ยืนสวยๆ ขายของ ไม่เหนื่อยด้วย
โอเค! เนื่องจาก idol เป็นคนแนะนำมา มันมีแรงฮึตๆแบบบอกไม่ถูก
**อ่านเรื่องราวอื่นๆ:
http://bit.ly/1DV2ved
**ติดตามเรื่องราวในเฟสบุค:
http://bitly.com/1HK82FZ
จากนักเรียนไทย สู่ หนึ่งในผู้จัดการบริษัทหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย (ตอนที่ 4-1)
**ติดตามเรื่องราวในเฟสบุค: http://bitly.com/1HK82FZ
ตอนที่ 4-1: พี่เค้าเก่งจัง
พอปรับตัวเข้ากับ Sydney ได้เพิ่มมากขึ้นทำให้รึสึกมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นเยอะเลย ไปไหนมาไหนเองได้อย่างมั่นใจ กล้าซื้อตั๋วรถเอง กล้าซื้ออาหารกลางวันตามร้าน กล้าสั่งกาแฟ แต่ก้อยังมี iPhone เป็นเพื่อนสนิทเวลาไปไหนมาไหนเสมอ เพราะใช้ดูแผนที่เวลาไปไหมาไหน ใช้ฟังเพลงตอนอยู่บนรถปและก้อใช้แปลสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
รู้สึกดีใจที่ Life Balance มันเริ่มดีขึ้นทั้งเรียน ทั้งทำงานพิเศษ ทั้งฝึกงาน อาจจะยังไม่ลงตัวนักเพราะมันยังไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งมากแต่ก้อถือว่าชีวิตโอ โดยเฉพาะการที่ได้ฝึกงานที่ Thai Trade Centre มันเหมือนเป็นการเปิดโลกเลย เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้การทำงานแบบองค์กรที่ออสแล้ว ยังมีโอกาสได้พบปะผู้คน ได้เพื่อนเพิ่มมากขึ้น พี่ๆในที่ทำงานของ Thai Trade จนไปถึงผู้ส่งออก-นำเข้าของออสเตรเลีย จนไปถึงท่านกงสุลใหญ่ของไทยเราที่ซิดนีย์ มันเหมือนเราเริ่มเข้าไปอยู่ใน People Circle ที่มันดูมีหลักการ ไม่ใช่แค่หมกตัวอยู่กับตัวเองไม่เปิดโลกไปไหน
Big Sister กับ ผอ Thai Trade Centre Sydney
จากแวดวงผู้คนที่เริ่มรู้จักเนี่ย คนที่มีอิทธิพลต่อ Big Sister มากที่สุดเลยคือพี่เลี้ยงตอนฝึกงาน (พี่ออย) เพราะพี่เค้าเป็นคนเดียวที่เราคุยด้วยบ่อยสุดๆ นั่งทำงานตรงข้ามกัน ไปกินข้าวเที่ยวด้วยกัน ปรับทุกข์สุขการมาอยู่ออสเตรเลียให้พี่เค้าฟังบ่อยมากๆๆ คือสนิทกันมากๆ และก้อแอบมีพี่ออยเป็นไอดอลมาโดยตลอดเลยก้อว่าได้ ไม่ใช่เพราะสนิทกันนะแต่เพราะเหตุผลพวกนี้
- พี่เค้าเรียนรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เก่งอ่ะ)
- พี่เค้าเป็นคนดูดี พูดอังกฤษคล่องและเก่งอ่ะ (เก่งอ่ะ อยากเป็นแบบพี่เค้าบ้าง)
- พี่เค้าเรียนจบแล้วได้งานประจำกับ Thai Trade แบบเป็นหลักเป็นแหล่งอ่ะ (เก่งๆ อยากเป็นอย่างนี้บ้าง)
- พี่เค้านอกจากทำงานประจำ Weekday แล้ว Weekend เค้าก้อทำงานเป็น Assistant Manager ของร้านเสื้อฝรั่งๆชื่อ Spotscraft ตรง Double Bay (คือ...พี่เค้าเก่งอ่ะ!!!)
โฉมหน้าพี่ออย Idol ของ Big Sister
Big Sister แอบคิดในใจว่าอิจฉาพี่เค้ามากๆว่าทำไม “เค้าเก่ง” ก้อเคยคุยกับพี่ออยเค้าเหมือนตาม Topic พวกนี้เช่น
Q: พี่ออย ทำไมพี่ออยเรียนเก่งอ่ะ จบรัฐศาสตร์ ม.ธ. มันเรียนยากไม่ใช่หรอคะ ได้เกียรตินิยมอับดับ 1 ด้วย
“พี่ชอบอะไรที่เป็นการทูต หรือ อะไรที่มันเป็นการติดต่อระหว่างประเทศอ่ะ ตอนเรียนพี่เลยตั้งใจมาก ในห้องรียนพี่ทุ่มเท 100% เลย พี่เข้าเรียนทุกคาบ พี่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ และก้อคบเพื่อนที่ช่วยพากันเรียน”
Q: พี่ออยทำไมพูดอังกฤษเก่งจังอ่ะ สอนบ้างดิ
“คือพี่ชอบดูMTV อยากอ่าน Harry Potter ฉบับoriginal เข้าใจ พี่ก้อเลยขอบเปิดดิคแปลเพลง แปลหนังสือ พอมีโอกาสมาอยู่ออสพี่ก้อเลยอยากฝึกภาษาอังกฤษแบบของจริงก้อเลยลองไปทำงานร้านฝรั่งๆดู ก้อเลยได้ช้ภาษาที่เรียนมาแบบจริงๆจัง”
Q: พี่ออยได้งานประจำในซิดนีย์แล้วอ่ะ ชีวิตหนูเรียนจบแล้วจะเป็นยังไงก้อไม่รู้
“พี่ว่ามันอยู่ที่ Attitude กับความมั่นใจของเรานะ ถ้าเรามั่นใจมันก้อจะทำให้เรากล้าเปิดกว้างไปลองหางานที่มันสมกับที่เราเรียนมา ตอนพี่จบพี่เลยลองสมัครงานที่มันสมกับเราเรียนมาดู บวกกับการที่พี่อยากช่วยประเทศ 555 เพราะเรียนรัฐศาสตร์มา พี่เลยได้งานที่ Thai Trade ที่ Sydney”
Q: ทำไมพี่ออยได้เป็น Assistant Manager ของร้านฝรั่งๆด้วยอ่ะ
“พี่ทำงานที่ร้านนั้นมา 2 ปีแล้วอ่ะ เป็น Sales Assistant และตอนที่พี่ทำพี่ก้อตั้งใจทำงานแล้วก้อทำเป้าได้เกิน $1,000 ให้ร้านตลอดเลยอ่ะ ที่จริงเค้าโปรโมตให้พี่เป็น Full-time Manager ของร้านด้วยนะ แต่พอดีพี่ได้งานที่ Thai Trade พี่เลยขอเค้าเป็นแค่ Assistant Manager แทน”
ร้าน Sportscraft หน้าตาเป็นแบบนี้
CR: Formline Group
CR: Kirstenbokalil
ตอนนั้นฟังคำตอบของพี่ออยแล้วมันก็เออ ออ ไป และก้อยังคงพร่ำกับตัวเองต่อไปว่า “เออ พี่เค้าเก่งอ่ะ อิจฉา” ไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเลย จนกระทั้งนานๆวันไปเราก้อเรียน ทำงาน เรียน ทำงานอยู่เหมือน แล้วมันเกิดนึกขึ้นมาว่า เราไม่ได้อยากทำอะไรเรื่อยๆเปื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายอย่างนี้ต่อไป “เรา อยาก เป็น เหมือน พี่ออย!” ก้อมาเริ่มนั่งคิดว่าที่พี่เค้าเคยบอกมาเค้าทำอะไรบ้าง
- ที่เรียนได้เกียรตินิยม: พี่เค้าก้อตั้งใจเรียน 100%อ่านหนังสือแล้วอ่านหนัสืออีก ทุ่มเทให้กับการเรียนสุดๆ (ไม่ใช่เพราะเค้าเก่ง เค้าเลยได้เกียรตินิยม)
- ที่พูดอังกฤษเก่ง: พี่เค้าฝึก เค้าขวนขวายอยากพัฒนาอังกฤษเอง จากหนังสือ จากเพลง จากประสบการณ์จริง (ไม่ใช่เพราะเค้าเก่ง เค้าเลยเก่งภาษา)
- ที่ได้งานประจำดีๆตอนเรียนจบจากมหาลัยที่นี่: ก้อพี่เค้าลองสมัครงานให้มันสมกับเค้า (ถ้าพี่เค้าไม่สมัครงานแนวๆนี้ ถึงแม้จะเก่ง พี่เค้าก้อคงไม่ได้งานแนวๆนี้จิงมะ)
- ได้เป็น Assistant Manager ร้าน retail แบบไฮโซๆ: พี่เค้าทำงานดี ตั้งใจทำงาน ทำเป้าได้ (มันไม่ใช่เค้าเก่งเลยได้โปรโมต)
หลังจากนนั้นมันเป็น Light bulb moment ว่า “อ๋อออออ.....มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” คือจริงๆแล้วมันใช่ได้เกี่ยวกับว่าพี่เค้าเก่งไม่เก่งนะ แต่คือพี่เค้า ทุ่มเท + พยายาม + ลงมือทำอย่างจริงจังนี่นา (ถ้าพี่เค้าเก่งแต่เค้าไม่ลงมือทำ มันก้อคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น) พอคิดได้ปุ๊บ ก้อมีแพลนขึ้นมาในหัวทันที ฮ่า ฮ่า โอเคเราขอตั้งเป้าหมายของเราไว้ 2 อย่าง:
1) ขอหางาน Part-time ใหม่ อยากได้งาน retail เหมือนพี่ออยบ้าง เพราะตอนนี้ทำอยู่ร้านไอติม เครียดเรื่องผู้ร่วมงานด้วยมากๆ เงินก้อได้น้อย มันต้องเดินไปเดินมายกของอะไรตลอดทั้งวัน พอกลับบ้านก้อหมดแรงทำ Assignment ให้ออกมาดีๆ ตั้งเป้าว่างานใหม่นี้ขอแบบ Retail เพราะ ได้เงินเยอะ + ไม่ใช้แรงมาก + ได้ฝึกภาษา + มีเวลาทำ Assignment
2) ขอหางานประจำใน SYDNEY ตอนเรียนจบให้ได้ (เวลาตัวเอง 6 เดือนหลังเรียนจบ ไม่งั้นกลับไทย! เพราะไม่อยากจะเสียเวลาที่นี่)
รู้สึกว่าเป้าหมาย 2 อันนี้มันสำคัญกับชีวิตตอนนั้นมาก ก้เลยขอซักตั้ง ขอทุ่มเทให้มันสุดๆไปเลย แต่ขอ Focus ข้อที่ 1 ก่อน ณ เวลานั้น อย่างแรกที่ทำเลยก้อคือไปปรึกษาพี่ออย ว่าจะขอเปลี่ยนงานพิเศษและนะ เพราะอยากได้งานประเภท Retail แบบพี่ออยบ้าง เพราะมันค่อนข้างชิว ได้เงินเยอะ ได้ฝึกภาษา มีเวลาทำ Assignment ให้ออกมาดีๆ พี่ออยก้อเห็นด้วยว่างานพิเศษที่เป็น Retail สมัยเรียนมันโอสุดๆ (Retail คือ เป็นพนักงานขายสินค้าตามร้านค้า หรือตามห้าง) ยืนสวยๆ ขายของ ไม่เหนื่อยด้วย
โอเค! เนื่องจาก idol เป็นคนแนะนำมา มันมีแรงฮึตๆแบบบอกไม่ถูก
**อ่านเรื่องราวอื่นๆ: http://bit.ly/1DV2ved
**ติดตามเรื่องราวในเฟสบุค: http://bitly.com/1HK82FZ