จริงๆขอมาระบายและเล่าสู่กันฟังนะคะ ว่าชีวิตคนเรามีขึ้นได้ก็ต้องมีลงได้เช่นกัน
บทเรียนนี้จะขอจดจำเอาไว้ขึ้นใจเลยค่ะ ว่าการประเมินความเสี่ยงด้านการเงินของตัวเองสำคัญมากๆ
ขอเล่าสั้นๆแล้วกันนะคะ
ตั้งแต่จบมาก็พยายามหางานที่ตรงสายที่สุดเพื่อที่เราจะได้ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาให้เกิดประโยชน์ที่สุด
แต่โลกแห่งความเป็นจริงก็อาจเป็นไปได้ยากสำหรับพวกที่เรียนการตลาด, นิเทศฯ, บริหาร, การจัดการ
ส่วนตัวจบการโฆษณามา และก็พอมีทักษะการตัดต่อและทำกราฟฟิกมาจึงได้ทำงานเป็นกราฟฟิกมา 1ปีเต็มๆ
ต่อมาได้มีโอกาสมาเจอกับรุ่นพี่คนนึงที่ทำงานเกี่ยวกับ Online Marketing นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่รู้สึกสนใจและศึกษาด้านนี้อย่างจริงจัง
เหตุผลอีกข้อนึงเลยก็คือ... ในตลาดของสายงาน Online นั้นกำลังเป็นที่ต้องการ ทำให้เงินเดือนก็สูงกว่าสายงานกราฟฟิกถึงเท่าตัว
ทำให้เรามี passion มากในการเรียนรู้ในสายงานนี้จนได้ลองยื่นสมัครงานไปหลายที่ก็มีที่นึงให้โอกาส และบ่มเพาะเราจนเชี่ยวชาญไปเลย
ทั้ง Google ads, Facebook ads, Line Ads, Shopping Ads ทางบริษัทส่งเรียนหมดเลย ต้องขอบคุณมากๆที่สนับสนุนและซัพพอร์ตขนาดนี้
แต่ด้วยเหตุจำเป็นที่ข่วงนั้นที่บ้านมีการก่อสร้างอพาร์ตเม้น ทำให้เราต้องกลับไปคุมไปดูแล จึงจำใจยื่นใบลาออกจากที่แห่งนี้
เจ้านายทิ้งท้ายไว้ว่า หากพร้อมกลับมาทำงานยินดีต้อนรับเสมอ แต่... HR ก็มากระซิบอีกทีว่าถ้าออกจากที่นี่ต้องเว้นไป 1 ปีถึงจะกลับมาสมัครงานใหม่ได้
มันเป็นนโยบายของบริษัท เราจึงเซ็นยินยอมไปแต่โดยดี สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปสมัครอีกเลยค่ะ น่าเสียดายเหมือนกันค่ะตอนนั้น
หลังจากที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ภาระหน้าที่ที่ต้องดูแล็จบไป โควิดก็มาแทรกเข้าอย่างจัง
แต่ก็โชคดีที่ตัวเองพอมีเงินเก็บและบวกกับพึ่งใบบุญที่บ้าน (จริงๆไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่มันหมดหนทางมากช่วงนั้น)
แต่ก็ไม่นานมากก็ได้รับโอกาสจากอีกที่ให้เข้าไปร่วมงานในตำแหน่ง Online Marketing แบบเต็มตัว อ้อลืมบอกว่าที่แรกเข้าไปเป็น Assistant Marketing Manager นะคะ บริษัทใหม่อยู่ใกล้บ้านและพึ่งเริ่มสร้างทีมเพื่อลุยออนไลน์ และก็อย่างที่ทราบกันดีว่า โควิดหลายๆบริษัทเติบโตจากออนไลน์
ที่นี่ก็เช่นกัน เพราะจากออนไลน์เพียงปีเดียวบริษัททำกำไรไปกว่า 30ล้านบาท! Amazing สุดๆ จากนั้นเราก็เลยได้เลื่อนขึ้นเป็น Manager คุมทีมออนไลน์แบบงงๆ โดยมีลูกทีมเพิ่มมาอีก 4คน ตอนนั้นก็ตื่นเต้นมากเพราะไม่คิดว่าในเวลาสองปีกว่าจะได้ขึ้นเป็น Manager เงินเดือนจาก 20k ก็อัพเป็น 30k บวกค่าคอมอีกเดือนๆนึงก็เฉลี่ย 40-50k โดยประมาน อู้ฟู่มากช่วงนั้น อยากได้อะไรซื้อ เปลี่ยนรองเท้ากระเป๋าเป็นว่าเล่น
กินข้าวนอกบ้านแทบทุกอาทิตย์ ไม่แนะนำให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ เอาหล่ะจะถึงจุดพีคๆแล้วค่ะ
เราทำงานอยู่ที่นี่ได้แค่ 1ปี 8เดือน นะคะ และก็ตัดสินใจออกมาหาความท้าทายในบริษัทในกรุงเทพฯบ้าง
ช่วงนั้นโควิดก็เริ่มคลี่คลาย ผู้คนเริ่มไปเที่ยว ออกจากบ้านเป็นปกติได้แล้ว ก็ได้งานใหม่พอดี ไม่ในเมืองมาก
พอที่จะเดินทางสะดวกรถไม่ติดมาก เข้าไปก็เป็น Manager เหมือนเดิมค่ะแต่เงินเดือนขยับขึ้นมาเป็น 50k
ความรับผิดชอบเริ่มเยอะขึ้น ต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษ และการสื่อสารควบคู่ ตอนนั้นก็เครียดมากเพราะตัวเองก็ไม่ได้เก่งภาษามาก
อาศัยข่วงเวลากลางคืนดูซีรีย์ ฟังข่าว bbc news เพื่อให้คุ้นเคยกับภาษาและสำเนียง (ได้ผลนะ) แม้จะยังพูดโต้ตอบไม่ค่อยได้ แต่ฟังเข้าใจเฉย
จุดพลิกผันของชีวิตมาแล้วค่ะ เดิมทีใช้รถยนต์ของที่บ้านมาตลอด พอมีเงินเก็บเยอะขึ้น อีโก้และค่านิยมมันเริ่มออกลาย
รถแม้จะใช้มา 10ปีแต่มันก็ยังขับได้ พอเจอของใหม่คันเก่ามันก็เหมือนจะพังขึ้นซะแบบนั้นเลย
ตัดสินใจดาวน์และเลือกผ่อนให้น้อยที่สุดคือ 4ปี เดือนละ 20k เหลือใช้ต่อเดือน 30k สบายๆ
โชคดีของตัวเองที่ตอนนั้นกำลังบ้าฟังโค้ชหนุ่ม เลยเริ่มเก็บออมและศึกษาเรื่องกองทุนรวม
ทำให้มีเงินเก็บและแบ่งเงินไว้ออกเป็นสามก่อนตามที่โค้ชแนะนำเลย เริ่มซื้อประกันชีวิต เริ่มลงทุนระยะยาว
และเรื่องก็เป็นไปได้ดีทีเดียว นอกจากงานประจำก็มีรับงานนอกมาด้วย รับเน้นๆเลยค่ะ
พอมีเงินเยอะ ของทุกอย่างก็ดูจะจำเป็นไปหมด ไอแพดจากที่ใช้เครื่องเดิมมาตั้งนานก็อยากเปลี่ยนซะงั้น
และประเด็นคือซื้อสดด้วย 25,000 + ค่าประกัน ค่า apple pen อีก คิดเป็นเลขกลมๆ 30,000 พอดี
คอมใช้อยู่ดีๆ ก็อยากได้เครื่องที่ความจุ 1TB ขึ้นมาอีก ก็ซื้อสิคะรอไร แต่เครื่องนี้จ่ายครึ่งนึงผ่อนครึ่งนึงนะคะ เพราะจ่ายสดน่าจะไม่ไหว
ภายในระยะเวลา 3เดือนหมดเงินไปเกือบ 60,000 โดยใช่เหตุมากกกกก นี่แหละค่ะ หญิงแกร่ง ที่ใช้เงินซื้อความสุขที่แท้ทรู
คิดว่าชีวิตดีมากเลยใช่มั้ยคะ รถใหม่ ไอแพดใหม่ โน้ตบุคใหม่ จุดพีคมาแล้วค่ะ
เพราะอยู่ดีๆ บริษัทก็ประกาศเลิกจ้างพนักงานหลายต่ำแหน่ง โดยแจ้งว่าลดพนักงาน และปรับโครงสร้างบริษัท
หนึ่งในนั้นก็มีเราอยู่ด้วย ช็อคสิคะ รถพึ่งผ่อนได้ 6เดือน โน้ตบุคอีก 3เดือน สภาพมากค่ะ
เงินเกือบเกือบแสนตอนนี้ก็เหลือไม่ถึงสามหมื่น ยังดีที่บริษัทให้เงินชดเชยมา 3เดือนบวกกับเงินงวดสุดท้าย
เอาล่ะชีวิต ยังไงต่อดี ตอนนั้นแพนิคมากค่ะ แต่ทำไงได้เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องยอมรับความจริง
ตอนนั้นการทำรายรับรายจ่ายเป็นสิ่งแรกที่ทำ วางแผนทุกบาททุกสตางค์อย่างตั้งใจที่สุด
จะใช้ยังไงให้อยู่รอดถึง 3-6เดือน อย่างน้อยๆสามเดือน อย่างมาก6เดือนในการหางาน
ล่าสุดเข้าเดือนที่ 7แล้วยังไม่ได้งานเลย ตอนนี้เงินที่ cover ค่าใช้จ่ายอยุ่ได้อีก 2เดือน แต่ต้องไม่กินไม่ใช้ระหว่างเดือนเลย
ด้วยความที่ทำงานและได้เงินเดือนมาแบบก้าวกระโดดมาก ทำให้มีผลกระทบกับเรทเงินเดือนในตลาดปัจจุบัน
และเดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษสำคัญมากกก จะเรียกค่าตัวแพงก็อาจจะมีคนให้ยากเพราะไม่ได้ภาษา
เด็กจบใหม่ก็แข่งขันกันสูง ทำให้ตอนนี้สมัครงาน เปลี่ยน Resume จนไม่รู้จะเปลี่ยนยังไงแล้ว ท้อมาก
ตอนที่ว่างงานอยู่ก็ทำสารพัดเลย ทำ affiliate ทำ Youtube มีรายได้เดือนนึงพีคๆเลย 7,000บาทจาก TikTok
จากนั้นก็เหลือเดือน 1,000-2,000บาท ทำคลิปจนท้อ พอคลิปแมสของหมดอีก เห้ออออ
เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะท่านผู้อ่าน มีใครให้มากกว่านี้มาระบายได้นะ ไม่รู้จะไปลงไหนมาลงนี่แหละ
ขอบคุณที่อ่านนะคะ ยาวเลย 555555
อายุ 28 ปีตกงานมาครึ่งปี มีหนี้ต่อเดือนสองหมื่นกว่า จนเงินเก็บแทบจะหมดแล้วตอนนี้เครียดมากกอไก่ล้านตัว!!
บทเรียนนี้จะขอจดจำเอาไว้ขึ้นใจเลยค่ะ ว่าการประเมินความเสี่ยงด้านการเงินของตัวเองสำคัญมากๆ
ขอเล่าสั้นๆแล้วกันนะคะ
ตั้งแต่จบมาก็พยายามหางานที่ตรงสายที่สุดเพื่อที่เราจะได้ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาให้เกิดประโยชน์ที่สุด
แต่โลกแห่งความเป็นจริงก็อาจเป็นไปได้ยากสำหรับพวกที่เรียนการตลาด, นิเทศฯ, บริหาร, การจัดการ
ส่วนตัวจบการโฆษณามา และก็พอมีทักษะการตัดต่อและทำกราฟฟิกมาจึงได้ทำงานเป็นกราฟฟิกมา 1ปีเต็มๆ
ต่อมาได้มีโอกาสมาเจอกับรุ่นพี่คนนึงที่ทำงานเกี่ยวกับ Online Marketing นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่รู้สึกสนใจและศึกษาด้านนี้อย่างจริงจัง
เหตุผลอีกข้อนึงเลยก็คือ... ในตลาดของสายงาน Online นั้นกำลังเป็นที่ต้องการ ทำให้เงินเดือนก็สูงกว่าสายงานกราฟฟิกถึงเท่าตัว
ทำให้เรามี passion มากในการเรียนรู้ในสายงานนี้จนได้ลองยื่นสมัครงานไปหลายที่ก็มีที่นึงให้โอกาส และบ่มเพาะเราจนเชี่ยวชาญไปเลย
ทั้ง Google ads, Facebook ads, Line Ads, Shopping Ads ทางบริษัทส่งเรียนหมดเลย ต้องขอบคุณมากๆที่สนับสนุนและซัพพอร์ตขนาดนี้
แต่ด้วยเหตุจำเป็นที่ข่วงนั้นที่บ้านมีการก่อสร้างอพาร์ตเม้น ทำให้เราต้องกลับไปคุมไปดูแล จึงจำใจยื่นใบลาออกจากที่แห่งนี้
เจ้านายทิ้งท้ายไว้ว่า หากพร้อมกลับมาทำงานยินดีต้อนรับเสมอ แต่... HR ก็มากระซิบอีกทีว่าถ้าออกจากที่นี่ต้องเว้นไป 1 ปีถึงจะกลับมาสมัครงานใหม่ได้
มันเป็นนโยบายของบริษัท เราจึงเซ็นยินยอมไปแต่โดยดี สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปสมัครอีกเลยค่ะ น่าเสียดายเหมือนกันค่ะตอนนั้น
หลังจากที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ภาระหน้าที่ที่ต้องดูแล็จบไป โควิดก็มาแทรกเข้าอย่างจัง
แต่ก็โชคดีที่ตัวเองพอมีเงินเก็บและบวกกับพึ่งใบบุญที่บ้าน (จริงๆไม่อยากทำแบบนี้เลย แต่มันหมดหนทางมากช่วงนั้น)
แต่ก็ไม่นานมากก็ได้รับโอกาสจากอีกที่ให้เข้าไปร่วมงานในตำแหน่ง Online Marketing แบบเต็มตัว อ้อลืมบอกว่าที่แรกเข้าไปเป็น Assistant Marketing Manager นะคะ บริษัทใหม่อยู่ใกล้บ้านและพึ่งเริ่มสร้างทีมเพื่อลุยออนไลน์ และก็อย่างที่ทราบกันดีว่า โควิดหลายๆบริษัทเติบโตจากออนไลน์
ที่นี่ก็เช่นกัน เพราะจากออนไลน์เพียงปีเดียวบริษัททำกำไรไปกว่า 30ล้านบาท! Amazing สุดๆ จากนั้นเราก็เลยได้เลื่อนขึ้นเป็น Manager คุมทีมออนไลน์แบบงงๆ โดยมีลูกทีมเพิ่มมาอีก 4คน ตอนนั้นก็ตื่นเต้นมากเพราะไม่คิดว่าในเวลาสองปีกว่าจะได้ขึ้นเป็น Manager เงินเดือนจาก 20k ก็อัพเป็น 30k บวกค่าคอมอีกเดือนๆนึงก็เฉลี่ย 40-50k โดยประมาน อู้ฟู่มากช่วงนั้น อยากได้อะไรซื้อ เปลี่ยนรองเท้ากระเป๋าเป็นว่าเล่น
กินข้าวนอกบ้านแทบทุกอาทิตย์ ไม่แนะนำให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ เอาหล่ะจะถึงจุดพีคๆแล้วค่ะ
เราทำงานอยู่ที่นี่ได้แค่ 1ปี 8เดือน นะคะ และก็ตัดสินใจออกมาหาความท้าทายในบริษัทในกรุงเทพฯบ้าง
ช่วงนั้นโควิดก็เริ่มคลี่คลาย ผู้คนเริ่มไปเที่ยว ออกจากบ้านเป็นปกติได้แล้ว ก็ได้งานใหม่พอดี ไม่ในเมืองมาก
พอที่จะเดินทางสะดวกรถไม่ติดมาก เข้าไปก็เป็น Manager เหมือนเดิมค่ะแต่เงินเดือนขยับขึ้นมาเป็น 50k
ความรับผิดชอบเริ่มเยอะขึ้น ต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษ และการสื่อสารควบคู่ ตอนนั้นก็เครียดมากเพราะตัวเองก็ไม่ได้เก่งภาษามาก
อาศัยข่วงเวลากลางคืนดูซีรีย์ ฟังข่าว bbc news เพื่อให้คุ้นเคยกับภาษาและสำเนียง (ได้ผลนะ) แม้จะยังพูดโต้ตอบไม่ค่อยได้ แต่ฟังเข้าใจเฉย
จุดพลิกผันของชีวิตมาแล้วค่ะ เดิมทีใช้รถยนต์ของที่บ้านมาตลอด พอมีเงินเก็บเยอะขึ้น อีโก้และค่านิยมมันเริ่มออกลาย
รถแม้จะใช้มา 10ปีแต่มันก็ยังขับได้ พอเจอของใหม่คันเก่ามันก็เหมือนจะพังขึ้นซะแบบนั้นเลย
ตัดสินใจดาวน์และเลือกผ่อนให้น้อยที่สุดคือ 4ปี เดือนละ 20k เหลือใช้ต่อเดือน 30k สบายๆ
โชคดีของตัวเองที่ตอนนั้นกำลังบ้าฟังโค้ชหนุ่ม เลยเริ่มเก็บออมและศึกษาเรื่องกองทุนรวม
ทำให้มีเงินเก็บและแบ่งเงินไว้ออกเป็นสามก่อนตามที่โค้ชแนะนำเลย เริ่มซื้อประกันชีวิต เริ่มลงทุนระยะยาว
และเรื่องก็เป็นไปได้ดีทีเดียว นอกจากงานประจำก็มีรับงานนอกมาด้วย รับเน้นๆเลยค่ะ
พอมีเงินเยอะ ของทุกอย่างก็ดูจะจำเป็นไปหมด ไอแพดจากที่ใช้เครื่องเดิมมาตั้งนานก็อยากเปลี่ยนซะงั้น
และประเด็นคือซื้อสดด้วย 25,000 + ค่าประกัน ค่า apple pen อีก คิดเป็นเลขกลมๆ 30,000 พอดี
คอมใช้อยู่ดีๆ ก็อยากได้เครื่องที่ความจุ 1TB ขึ้นมาอีก ก็ซื้อสิคะรอไร แต่เครื่องนี้จ่ายครึ่งนึงผ่อนครึ่งนึงนะคะ เพราะจ่ายสดน่าจะไม่ไหว
ภายในระยะเวลา 3เดือนหมดเงินไปเกือบ 60,000 โดยใช่เหตุมากกกกก นี่แหละค่ะ หญิงแกร่ง ที่ใช้เงินซื้อความสุขที่แท้ทรู
คิดว่าชีวิตดีมากเลยใช่มั้ยคะ รถใหม่ ไอแพดใหม่ โน้ตบุคใหม่ จุดพีคมาแล้วค่ะ
เพราะอยู่ดีๆ บริษัทก็ประกาศเลิกจ้างพนักงานหลายต่ำแหน่ง โดยแจ้งว่าลดพนักงาน และปรับโครงสร้างบริษัท
หนึ่งในนั้นก็มีเราอยู่ด้วย ช็อคสิคะ รถพึ่งผ่อนได้ 6เดือน โน้ตบุคอีก 3เดือน สภาพมากค่ะ
เงินเกือบเกือบแสนตอนนี้ก็เหลือไม่ถึงสามหมื่น ยังดีที่บริษัทให้เงินชดเชยมา 3เดือนบวกกับเงินงวดสุดท้าย
เอาล่ะชีวิต ยังไงต่อดี ตอนนั้นแพนิคมากค่ะ แต่ทำไงได้เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องยอมรับความจริง
ตอนนั้นการทำรายรับรายจ่ายเป็นสิ่งแรกที่ทำ วางแผนทุกบาททุกสตางค์อย่างตั้งใจที่สุด
จะใช้ยังไงให้อยู่รอดถึง 3-6เดือน อย่างน้อยๆสามเดือน อย่างมาก6เดือนในการหางาน
ล่าสุดเข้าเดือนที่ 7แล้วยังไม่ได้งานเลย ตอนนี้เงินที่ cover ค่าใช้จ่ายอยุ่ได้อีก 2เดือน แต่ต้องไม่กินไม่ใช้ระหว่างเดือนเลย
ด้วยความที่ทำงานและได้เงินเดือนมาแบบก้าวกระโดดมาก ทำให้มีผลกระทบกับเรทเงินเดือนในตลาดปัจจุบัน
และเดี๋ยวนี้ภาษาอังกฤษสำคัญมากกก จะเรียกค่าตัวแพงก็อาจจะมีคนให้ยากเพราะไม่ได้ภาษา
เด็กจบใหม่ก็แข่งขันกันสูง ทำให้ตอนนี้สมัครงาน เปลี่ยน Resume จนไม่รู้จะเปลี่ยนยังไงแล้ว ท้อมาก
ตอนที่ว่างงานอยู่ก็ทำสารพัดเลย ทำ affiliate ทำ Youtube มีรายได้เดือนนึงพีคๆเลย 7,000บาทจาก TikTok
จากนั้นก็เหลือเดือน 1,000-2,000บาท ทำคลิปจนท้อ พอคลิปแมสของหมดอีก เห้ออออ
เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะท่านผู้อ่าน มีใครให้มากกว่านี้มาระบายได้นะ ไม่รู้จะไปลงไหนมาลงนี่แหละ
ขอบคุณที่อ่านนะคะ ยาวเลย 555555