ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งคือ
" ถ้ารักกันแล้วเราขาดกันไม่ได้ "
ยกตัวอย่างกรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่าคน (ที่เรา) รักจากไปสู่ที่ชอบๆ
...คือไปอยู่กับคนที่เขาชอบมากกว่าเรา
และที่ชอบของเขาเป็นที่ไม่ชอบของเรา
ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย หลายรายถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง...คิดว่าเป็นการบูชาความรัก
ตัวอย่าง คนไข้สาวรายหนึ่ง
แฟนหนุ่มมีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน
เธอพรอดพร่ำรำพันต่อหน้าจิตแพทย์ "
หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
แล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา "
เธอลืมไปว่าก่อนที่จะมีเขา เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
" หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอขา
คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะว่าหนูรักเขามากแค่ไหน"
ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูจากปากของเธอ
ขณะที่กระแสน้ำตาที่คลอเบ้าหลั่ง
ล้นท้นท่วม จนกระดาษทิชชูที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
จิตแพทย์เริ่มคิดถึงวัสดุผ้าที่มีคุณสมบัติในการซึมซับของเหลวได้มากกว่า...
" คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก "
จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน
" คุณหมอหมายความว่ายังไง ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ
ว่าถ้าขาดเขาเสียแล้วชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้ "
น้ำเสียงเธอแสดงความไม่พอใจ จิตแพทย์พยายามอธิบาย
"สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกครับ
เขาเรียกว่า...ภาวะกาฝาก
ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของคุณ
คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิ ในลำไส้ของเขา...
มันทำให้ชีวิตคุณไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ
มันกลายเป็นภาวะจำเป็นมากกว่าความรัก "
คนไข้สาวช็อคไปชั่วขณะ
นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจที่มีคุณภาพสูงกว่า
ที่เคยได้จากเพื่อนๆ ...
แต่*ังพูดต่อทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึงด้วยความมึนงง
เหมือนจงใจ " ซ้ำเติม " ปัญญาสู่จิตอันขลาดเขลา
"ความรักที่แท้ต้องมีอิสรภาพ...คนสองคนจะรักกันได้ก็ต่อเมื่อเขาทั้ง สองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพังอย่างไม่เป็นทุกข์
แต่เขาทั้งสองก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อความสุขที่มากขึ้น "
ฉับพลันทันใดในดวงใจของหญิงสาว...พุทธิปัญญาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างพวยพุ่ง
ดวงตาเห็นธรรมเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตให้หลุดพ้นจากหุบเหวห้วงอารมณ์อันมืดมิด...
เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง สีหน้าเริ่มสงบ
คิ้วผ่อนคลายขมวดรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา
"คำพูดของคุณหมอเปรียบเสมือน
แสงตะวันที่สาดส่องทะลุทำลายกำแพงเมฆหมอกแห่งมิจฉา
ทิฐิของดิฉันบัดนี้ดิฉันได้เห็นแล้วซึ่งสัจธรรม
ต่อแต่นี้ไปจะขอดำเนินชีวิตที่เหลือตามรอยแห่งพุทธะ...สาธุ "
จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติแทนการพูดประคองใจท่านนี้ คือ Dr.Scott Peck
ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ในหนังสือขายดิบขายดีชื่อ
The Road Less Traveled
ซึ่งท่านได้ให้แนวคิด เรื่อง "ภาวะพึ่งพิง " (Dependency)
ไว้ด้วยความหมายว่า
เป็นภาวะที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่จากบุคคลอื่น
ในภาวะปกติเราอาจต้องพึ่งพิงขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในกรณีที่เรา ได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย
แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้วยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ เราเป็นสุขี
แสดงว่าสุขภาพทางจิตของเรากำลังย่ำแย่ เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
เวลาที่ผ่านไป จะช่วยเยียวยาบาดแผลให้สมานจนหายสนิท
พร้อมภูมิต้านทานทางใจที่มากขึ้น...
คนที่มีสุขภาพจิตดีจะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น
และดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร
แต่อาจพึ่งพาในบางกรณี เพราะคนเราไม่ได้เก่งหรือทำเป็นหมดทุกอย่าง
แต่ถ้าคุณถึงขั้น " ขาดเขาไม่ได้ "
...จงอย่าเอาคำว่า " รักเขามากเหลือเกิน "
มาลวงหลอกใจตัวเอง ยิ่งต้องถึงคิดฆ่าตัวตาย
...ยิ่งแสดงว่า " แม้แต่ตัวเอง ก็ยังไม่รัก "
หลายคนคิดว่าถ้าฉันฆ่าตัวตาย
จะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป
ตั้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมว่า " เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต"
...คิดอย่างนี้ส่วนใหญ่มักตายฟรี
ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีการศึกษา
มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย
ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ...
การอยู่เป็นโสด เป็นหม้าย หรือหย่าร้าง
ไม่มีผลถึงกับทำให้วิญญาณต้องหลุดออกจากร่าง
ผู้หญิงทั้งหลายจึงสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง
และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่าทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น และดีขึ้นกว่าการ อยู่คนเดียว
คุณก็อยู่ในฐานะที่มีโอกาสเลือก...ไม่ใช่จำเป็นต้องเลือก
หรือจำใจเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต
ขอกล่าวทวนประโยคเดิมที่จิตแพทย์ Dr.Scott Peck
พูดกับคนไข้ด้วยภาษาต้นฉบับ
" Love is the free exercise of choice. Two people love each other only when they are quite capable of living without each other but choose to live with each other "
ปล.ที่ยกบทความนี้มา เพราะมีคนรู้จักบางคนหรือหลายคนที่ทำตัวไม่ค่อยมีศักดิ์ศรี ลดเกียรติของตัวเองเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว ยังเชื่อเสมอว่า ถ้าอยากเป็นแบบไหน อยากเจอคนแบบนี้ ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้อยู่จุดนั้น ไม่ใช่ใช้วิธีที่ไม่น่ารัก
อย่าทำตัวให้ใครดูถูกเลยค่ะ ไม่สงสารตัวเอง ไม่ละอาย ก็สงสารคุณพ่อคุณแม่บ้าง ท่านไม่ได้เลี้ยงลูกให้ลดคุณค่าตัวเองแบบนี้นะคะ ฝากไว้ให้คิด
สวัสดีวันเสาร์ค่ะ ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะคะ
มาระบายความในใจกันค่ะ
" ถ้ารักกันแล้วเราขาดกันไม่ได้ "
ยกตัวอย่างกรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่าคน (ที่เรา) รักจากไปสู่ที่ชอบๆ
...คือไปอยู่กับคนที่เขาชอบมากกว่าเรา
และที่ชอบของเขาเป็นที่ไม่ชอบของเรา
ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย หลายรายถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง...คิดว่าเป็นการบูชาความรัก
ตัวอย่าง คนไข้สาวรายหนึ่ง
แฟนหนุ่มมีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน
เธอพรอดพร่ำรำพันต่อหน้าจิตแพทย์ "
หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
แล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา "
เธอลืมไปว่าก่อนที่จะมีเขา เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
" หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอขา
คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะว่าหนูรักเขามากแค่ไหน"
ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูจากปากของเธอ
ขณะที่กระแสน้ำตาที่คลอเบ้าหลั่ง
ล้นท้นท่วม จนกระดาษทิชชูที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
จิตแพทย์เริ่มคิดถึงวัสดุผ้าที่มีคุณสมบัติในการซึมซับของเหลวได้มากกว่า...
" คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก "
จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน
" คุณหมอหมายความว่ายังไง ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ
ว่าถ้าขาดเขาเสียแล้วชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้ "
น้ำเสียงเธอแสดงความไม่พอใจ จิตแพทย์พยายามอธิบาย
"สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกครับ
เขาเรียกว่า...ภาวะกาฝาก
ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของคุณ
คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิ ในลำไส้ของเขา...
มันทำให้ชีวิตคุณไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ
มันกลายเป็นภาวะจำเป็นมากกว่าความรัก "
คนไข้สาวช็อคไปชั่วขณะ
นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจที่มีคุณภาพสูงกว่า
ที่เคยได้จากเพื่อนๆ ...
แต่*ังพูดต่อทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึงด้วยความมึนงง
เหมือนจงใจ " ซ้ำเติม " ปัญญาสู่จิตอันขลาดเขลา
"ความรักที่แท้ต้องมีอิสรภาพ...คนสองคนจะรักกันได้ก็ต่อเมื่อเขาทั้ง สองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพังอย่างไม่เป็นทุกข์
แต่เขาทั้งสองก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อความสุขที่มากขึ้น "
ฉับพลันทันใดในดวงใจของหญิงสาว...พุทธิปัญญาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างพวยพุ่ง
ดวงตาเห็นธรรมเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตให้หลุดพ้นจากหุบเหวห้วงอารมณ์อันมืดมิด...
เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง สีหน้าเริ่มสงบ
คิ้วผ่อนคลายขมวดรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา
"คำพูดของคุณหมอเปรียบเสมือน
แสงตะวันที่สาดส่องทะลุทำลายกำแพงเมฆหมอกแห่งมิจฉา
ทิฐิของดิฉันบัดนี้ดิฉันได้เห็นแล้วซึ่งสัจธรรม
ต่อแต่นี้ไปจะขอดำเนินชีวิตที่เหลือตามรอยแห่งพุทธะ...สาธุ "
จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติแทนการพูดประคองใจท่านนี้ คือ Dr.Scott Peck
ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ในหนังสือขายดิบขายดีชื่อ
The Road Less Traveled
ซึ่งท่านได้ให้แนวคิด เรื่อง "ภาวะพึ่งพิง " (Dependency)
ไว้ด้วยความหมายว่า
เป็นภาวะที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่จากบุคคลอื่น
ในภาวะปกติเราอาจต้องพึ่งพิงขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในกรณีที่เรา ได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย
แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้วยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ เราเป็นสุขี
แสดงว่าสุขภาพทางจิตของเรากำลังย่ำแย่ เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
เวลาที่ผ่านไป จะช่วยเยียวยาบาดแผลให้สมานจนหายสนิท
พร้อมภูมิต้านทานทางใจที่มากขึ้น...
คนที่มีสุขภาพจิตดีจะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น
และดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร
แต่อาจพึ่งพาในบางกรณี เพราะคนเราไม่ได้เก่งหรือทำเป็นหมดทุกอย่าง
แต่ถ้าคุณถึงขั้น " ขาดเขาไม่ได้ "
...จงอย่าเอาคำว่า " รักเขามากเหลือเกิน "
มาลวงหลอกใจตัวเอง ยิ่งต้องถึงคิดฆ่าตัวตาย
...ยิ่งแสดงว่า " แม้แต่ตัวเอง ก็ยังไม่รัก "
หลายคนคิดว่าถ้าฉันฆ่าตัวตาย
จะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป
ตั้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมว่า " เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต"
...คิดอย่างนี้ส่วนใหญ่มักตายฟรี
ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีการศึกษา
มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย
ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ...
การอยู่เป็นโสด เป็นหม้าย หรือหย่าร้าง
ไม่มีผลถึงกับทำให้วิญญาณต้องหลุดออกจากร่าง
ผู้หญิงทั้งหลายจึงสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้อย่างมีความสุขและภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง
และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่าทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น และดีขึ้นกว่าการ อยู่คนเดียว
คุณก็อยู่ในฐานะที่มีโอกาสเลือก...ไม่ใช่จำเป็นต้องเลือก
หรือจำใจเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต
ขอกล่าวทวนประโยคเดิมที่จิตแพทย์ Dr.Scott Peck
พูดกับคนไข้ด้วยภาษาต้นฉบับ
" Love is the free exercise of choice. Two people love each other only when they are quite capable of living without each other but choose to live with each other "
ปล.ที่ยกบทความนี้มา เพราะมีคนรู้จักบางคนหรือหลายคนที่ทำตัวไม่ค่อยมีศักดิ์ศรี ลดเกียรติของตัวเองเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว ยังเชื่อเสมอว่า ถ้าอยากเป็นแบบไหน อยากเจอคนแบบนี้ ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้อยู่จุดนั้น ไม่ใช่ใช้วิธีที่ไม่น่ารัก
อย่าทำตัวให้ใครดูถูกเลยค่ะ ไม่สงสารตัวเอง ไม่ละอาย ก็สงสารคุณพ่อคุณแม่บ้าง ท่านไม่ได้เลี้ยงลูกให้ลดคุณค่าตัวเองแบบนี้นะคะ ฝากไว้ให้คิด
สวัสดีวันเสาร์ค่ะ ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะคะ