จขกท.จะขอเอาเฉพาะเรือที่เด่นๆนะครับ
Dokdo-class

dokdo เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ โดยสามารถฏิบัติภารกิจทั้งบนฝั่งเช่นส่งกำลังสนับสนุนยกพลขึ้นบก ทางทะเลเช่นการไล่ล่าเรือดำน้ำและตามล่าเรือของอีกฝ่ายและยังสามารถเป็นศูนย์บัญชาการสงครามทางทะเลในยามเกิดภาวะสงครามได้อีกด้วยและช่วยผู้ประสบภัยทางทะเลหรือขนของบรรเทาทุกข์ไปยังที่ๆเรือขนส่งกำลังบำรุงไม่สามารถเข้าถึงได้อีกด้วย และที่น่าสนใจคือ"เรือลำนี้เป็นการพัฒนาโดยประเทศเกาหลีใต้เอง" โดยตัวเรือถูกออกแบบโดยบริษัท Hanjin Heavy Industries ตัวเรือถูกปล่อยลงทะเลครั้งแรกในวันที่ 11 เมษายน 2007 โดยตัวเรือถูกออกแบบภายใต้ consept "over-the-horizon assault" หรือการโจมตีในระยะเกินขอบฟ้า ประกอบด้วยความสามารถในการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการยึดชายฝั่งของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วซึ่งสนับสนุนโดยอากาศยานประจำเรือจากระยะเกินเส้นขอบฟ้า+กองกำลังภาคพื้นดินอย่างเหล่าทหารราบและรถถัง ทำให้การยึดชายฝั่งของฝ่ายตรงข้ามเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
โดยตัวเรือสามารถบรรทุกทหารได้ 1020 คนประกอบไปด้วยทหารนาวิกโยธิน 720 คนและทหารประจำเรืออีก 300 คนสามารถบรรทุกรถถังและรถส่งสายกำลังบำรุงได้อย่างละ 10 คันและยานยนต์หุ้มเกราะสะเทินน้ำสะเทินบกอย่าง aav7 ยอดนิยมได้อีก 7 คัน นอกจากนี้ตัวเรือยังสามารถบรรทุกปืนใหญ่สนามสำหรับสนับสนุนการรบได้อีก 3 กระบอกและยานโฮเวอร์คราฟสำหรับการขนส่งทหารราบขึ้นฝั่งได้อีก 2 ลำ โดยตัวดาดฟ้าเรือถูกหุ้มด้วย Polyurethane และสามารถบรรทุกอากาศยานทั้งแบบปีกตรึงและแบบปีกหมุนสำหรับการสนับสนุนยกพลขึ้นบก โดยสามารถบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ได้ 10 ลำ ประกอบไปด้วยเฮลิคอปเตอร์แบบ uh 1h และ uh 60 blackhawk สำหรับภาริกิจสนับสนุนชายฝั่งและปราบเรือดำน้ำ และยังสามารถรองรับเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งเช่น harrier และ f 35b ได้อีกด้วย โดยกองทัพเกาหลีใต้เองก็มีแผนที่จะนำเจ้า f 35b มาประจำการบนเจ้า dokdo class อีกด้วย
ทางด้านระบบป้องกันตัวเองนั้น เรือ dokdo class ติดตั้ง RIM-116 Rolling Airframe Missile หรือ ram นำวิถีด้วยความร้อนและคลื่นวิทยุ มีระยะยิงประมาณ 10 กิโลเมตรตัวจรวดนั้นมีความเร็วอยู่ที่ 2 มัค 1 ระบบ นอกจากนี้ตัวเรือยังติดตั้งระบบป้องกันระยะประชิด Ciws Goalkeeper ซึ่งเป็นปืนกลแกตลิ่ง 7 ลำกล้องขนาด 30 มิลลิเมตร โดยตัวปืนมีระยะยิงอยู่ที่ประมาณ 5 กิโลเมตร และมีอัตราการยิง 4200 นัด/นาที โดยติดตั้งจำนวน 2 ระบบ
นอกจากนี้ตัวเรือยังติดตั้งเรดาร์แจ้งเตือนภัยทางอากาศแบบ smart l ของ thales โดยตัวเรดาร์สามารถล็อคเป้าหมายทางอากาศขนาดใหญ่อย่างพวกอากาศยานลำเลียงพลทางทะเล หรือพวกอากาศยานสำหรับปราบเรือดำน้ำที่มีขนาดใหญ่ได้ 480 กิโลเมตร และสามารถตรวจจับขีปนาวุธโจมตีเรือแบบ stealthy missiles ได้ที่ประมาณ 65 กิโลเมตร และสามารถตรวจจับเป้าหมายทางอากาศได้พร้อมกัน 1000 เป้าหมายและเป้าหมายทางภาคพื้นทะเลอีก 100 เป้าหมายพร้อมกัน ทางด้านเรดาร์ตรวจการทางภาคพื้นทะเลนั้นตัวเรือได้ติดตั้งเรดาร์แบบ MW08 ซึ่งเป็นเรดาร์แบบ 3d จาก thales อีกเช่นกัน โดยตัวเรดาร์สามารถตรวจจับเป้าหมายทางอากาศได้ 40 เป้าหมายและเป้าหมายทางทะเลได้พร้อมกัน 160 เป้าหมาย นอกจากตัวเรือยังติดตั้งระบบทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ ESM/ECM SLQ-200(v)5K SONATA และติดตั้งเรดาร์นำทางแบบ tacan และกล้องตรวจการแบบ VAMPIR-MB ปัจจุบันเกาหลีใต้มี dokdo class อยู่ทั้งหมด 1 ลำโดยเกาหลีใต้มีแผนจะผลิต dokdo class จำนวนทั้งหมด 3 ลำ ในอนาคต
สเปคโดยรวม
ใช้เครื่องยนต์แบบ SEMT Pielstick 4 เครื่องยนต์ ให้กำลังเครื่องยนต์ 32000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 23 น็อต ความเร็วปกติ 18 น็อต
ทหารประจำเรือ 300 คน
ระวางบรรทุก 14400 ตัน และบรรทุกเต็มที่ 18000 ตัน
Chungmugong Yi Sun-shin class

Chungmugong Yi Sun-shin class หรืออีกชื่อหนึ่งที่เราๆท่านๆน่าจะคุ้นๆหูนั่นก็คือ kdx-ll หรือ kdx 2 นั่นเอง โดยตัวเรือนั้นถูกออกแบบให้เป็นเรือพิฆาติสามารถปฏิบัติภารกิจได้ครบทั้ง 3 มิติตั้งแต่บนพื้น-อากาศ-ทะเล ตัวเรือถูกปล่อยลงน้ำครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2003 ตัวเรือถูกออกแบบโดย Hyundai Heavy Industries และ Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering โดยใช้ระยะเวลาการออกแบบทั้งหมด 4 ปี
ทางด้านอาวุธประจำเรือนั้น ตัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว แบบ mk45 mod 4 โดยตัวปืนสามารถใช้เป็นทั้งปืนใหญ่ยิงฝั่งหรือต่อต้านอกาศยานในระยะประชิดได้อีกด้วย โดยตัวปืนมีอัตราการยิง 20 นัด/นาที มีระยะยิงอยู่ที่ 24 กิโลเมตร และมีระบบป้องกันระยะประชิดแบบ Goalkeeper อีก 1 ระบบและตัวสเรือยังติดตั้งท่อยิงแนวดิ่งแบบ mk 41 จำนวน 32 ท่อ โดยแบ่งเป็นขีปนาวุธต่อต้านกาศยานและขีปนาวุธโจมตีทางทะเลทางยุทธศาสตร์แบบ Sm2 block 3a หรืออีกชื่อ rim 66 standard 11 ท่อโดยเจ้า sm 2 นั้น มีระยะยิงอยู่ที่ 120-140 กิโลเมตรและนำวิถีด้วยเรดาร์ และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานและขีปนาวุธโจมตีแบบระยะประชิดแบบ rim 116 อีก 21 ท่อ นอกจากนี้ตัวเรือยังมีขีปนาวุธโจมตีนำวิถีด้วยเรดาร์เรือแบบ harpoon อีก 8 ท่อยิง โดยตัวขีปนาวุธ harpoon มีระยะยิงอยู่ที่ 130 กิโลเมตร นอกจากนี้ตัวยังมี k vls ซึ่งเป็นท่อยิงที่เกาหลีใต้พัฒนาเองโดยพัฒมาจาก mk 41 อีก 24 ท่อยิง(รวมกับ mk41 ทำให้ตัวเรือมีทั้งหมด 56 ท่อยิง) โดยตัว k vls นั้นจะบรรจุขีปนาวุธโจมตีเรือดำน้ำแบบ Hong Sang Eo ระยะยิงอยู่
ู่ที่ประมาณ 20 กิโลเมตร นำวิถีด้วยเรดาร์(ตรงนี้ไม่แน่ใจถ้าผิดก็ขออภัยด้วย) และขีปนาวุธโจมตีภาคพื้นแบบ Hyunmoo-3 ซึ่งเป็นขีปนาวุธที่พัฒนาโดยเกาหลีใต้เองอีก 16 ท่อยิง โดยตัวขีปนาวุธมีระยะยิงอยู่ที่ 300 กฺิโลเมตร โดยตัวขีปนาวุธสามารถบรรทุกหัวรบได้ 500 กิโลกรัม โดยตัวขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาร์และดาวเทียม(ตรงนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถูกรึปล่าว ถ้าผิดก็ขออภัยอีกรอบ)
ทางด้านเรดาร์นั้นตัวเรือใช้เรดาร์แจ้งเตือนภัยทางอากาศแบบ AN/SPS-49(V)5 โดยตัวเรดาร์มีระยะตรวจจับอยู่ 480 กิโลเมตร ส่วนทางด้านเรดาร์ตรวจภาคพื้นทางทะเล kdx 2 เลือกใช้เรดาร์ mw08 ซึ่งเป็นเรดาร์แบบ 3d ตัวเรือยังใช้เรดาร์คงบคุมการยิงแบบ STIR240 จาก thales อีกเช่นเดิม และระบบทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ SLQ-200(V)K SONATA และระบบบัญชาการรบแบบ KDCOM-II
กองทัพเรือเกาหลีใต้
Dokdo-class
dokdo เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ โดยสามารถฏิบัติภารกิจทั้งบนฝั่งเช่นส่งกำลังสนับสนุนยกพลขึ้นบก ทางทะเลเช่นการไล่ล่าเรือดำน้ำและตามล่าเรือของอีกฝ่ายและยังสามารถเป็นศูนย์บัญชาการสงครามทางทะเลในยามเกิดภาวะสงครามได้อีกด้วยและช่วยผู้ประสบภัยทางทะเลหรือขนของบรรเทาทุกข์ไปยังที่ๆเรือขนส่งกำลังบำรุงไม่สามารถเข้าถึงได้อีกด้วย และที่น่าสนใจคือ"เรือลำนี้เป็นการพัฒนาโดยประเทศเกาหลีใต้เอง" โดยตัวเรือถูกออกแบบโดยบริษัท Hanjin Heavy Industries ตัวเรือถูกปล่อยลงทะเลครั้งแรกในวันที่ 11 เมษายน 2007 โดยตัวเรือถูกออกแบบภายใต้ consept "over-the-horizon assault" หรือการโจมตีในระยะเกินขอบฟ้า ประกอบด้วยความสามารถในการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการยึดชายฝั่งของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วซึ่งสนับสนุนโดยอากาศยานประจำเรือจากระยะเกินเส้นขอบฟ้า+กองกำลังภาคพื้นดินอย่างเหล่าทหารราบและรถถัง ทำให้การยึดชายฝั่งของฝ่ายตรงข้ามเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
โดยตัวเรือสามารถบรรทุกทหารได้ 1020 คนประกอบไปด้วยทหารนาวิกโยธิน 720 คนและทหารประจำเรืออีก 300 คนสามารถบรรทุกรถถังและรถส่งสายกำลังบำรุงได้อย่างละ 10 คันและยานยนต์หุ้มเกราะสะเทินน้ำสะเทินบกอย่าง aav7 ยอดนิยมได้อีก 7 คัน นอกจากนี้ตัวเรือยังสามารถบรรทุกปืนใหญ่สนามสำหรับสนับสนุนการรบได้อีก 3 กระบอกและยานโฮเวอร์คราฟสำหรับการขนส่งทหารราบขึ้นฝั่งได้อีก 2 ลำ โดยตัวดาดฟ้าเรือถูกหุ้มด้วย Polyurethane และสามารถบรรทุกอากาศยานทั้งแบบปีกตรึงและแบบปีกหมุนสำหรับการสนับสนุนยกพลขึ้นบก โดยสามารถบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ได้ 10 ลำ ประกอบไปด้วยเฮลิคอปเตอร์แบบ uh 1h และ uh 60 blackhawk สำหรับภาริกิจสนับสนุนชายฝั่งและปราบเรือดำน้ำ และยังสามารถรองรับเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งเช่น harrier และ f 35b ได้อีกด้วย โดยกองทัพเกาหลีใต้เองก็มีแผนที่จะนำเจ้า f 35b มาประจำการบนเจ้า dokdo class อีกด้วย
ทางด้านระบบป้องกันตัวเองนั้น เรือ dokdo class ติดตั้ง RIM-116 Rolling Airframe Missile หรือ ram นำวิถีด้วยความร้อนและคลื่นวิทยุ มีระยะยิงประมาณ 10 กิโลเมตรตัวจรวดนั้นมีความเร็วอยู่ที่ 2 มัค 1 ระบบ นอกจากนี้ตัวเรือยังติดตั้งระบบป้องกันระยะประชิด Ciws Goalkeeper ซึ่งเป็นปืนกลแกตลิ่ง 7 ลำกล้องขนาด 30 มิลลิเมตร โดยตัวปืนมีระยะยิงอยู่ที่ประมาณ 5 กิโลเมตร และมีอัตราการยิง 4200 นัด/นาที โดยติดตั้งจำนวน 2 ระบบ
นอกจากนี้ตัวเรือยังติดตั้งเรดาร์แจ้งเตือนภัยทางอากาศแบบ smart l ของ thales โดยตัวเรดาร์สามารถล็อคเป้าหมายทางอากาศขนาดใหญ่อย่างพวกอากาศยานลำเลียงพลทางทะเล หรือพวกอากาศยานสำหรับปราบเรือดำน้ำที่มีขนาดใหญ่ได้ 480 กิโลเมตร และสามารถตรวจจับขีปนาวุธโจมตีเรือแบบ stealthy missiles ได้ที่ประมาณ 65 กิโลเมตร และสามารถตรวจจับเป้าหมายทางอากาศได้พร้อมกัน 1000 เป้าหมายและเป้าหมายทางภาคพื้นทะเลอีก 100 เป้าหมายพร้อมกัน ทางด้านเรดาร์ตรวจการทางภาคพื้นทะเลนั้นตัวเรือได้ติดตั้งเรดาร์แบบ MW08 ซึ่งเป็นเรดาร์แบบ 3d จาก thales อีกเช่นกัน โดยตัวเรดาร์สามารถตรวจจับเป้าหมายทางอากาศได้ 40 เป้าหมายและเป้าหมายทางทะเลได้พร้อมกัน 160 เป้าหมาย นอกจากตัวเรือยังติดตั้งระบบทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ ESM/ECM SLQ-200(v)5K SONATA และติดตั้งเรดาร์นำทางแบบ tacan และกล้องตรวจการแบบ VAMPIR-MB ปัจจุบันเกาหลีใต้มี dokdo class อยู่ทั้งหมด 1 ลำโดยเกาหลีใต้มีแผนจะผลิต dokdo class จำนวนทั้งหมด 3 ลำ ในอนาคต
สเปคโดยรวม
ใช้เครื่องยนต์แบบ SEMT Pielstick 4 เครื่องยนต์ ให้กำลังเครื่องยนต์ 32000 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 23 น็อต ความเร็วปกติ 18 น็อต
ทหารประจำเรือ 300 คน
ระวางบรรทุก 14400 ตัน และบรรทุกเต็มที่ 18000 ตัน
Chungmugong Yi Sun-shin class
Chungmugong Yi Sun-shin class หรืออีกชื่อหนึ่งที่เราๆท่านๆน่าจะคุ้นๆหูนั่นก็คือ kdx-ll หรือ kdx 2 นั่นเอง โดยตัวเรือนั้นถูกออกแบบให้เป็นเรือพิฆาติสามารถปฏิบัติภารกิจได้ครบทั้ง 3 มิติตั้งแต่บนพื้น-อากาศ-ทะเล ตัวเรือถูกปล่อยลงน้ำครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2003 ตัวเรือถูกออกแบบโดย Hyundai Heavy Industries และ Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering โดยใช้ระยะเวลาการออกแบบทั้งหมด 4 ปี
ทางด้านอาวุธประจำเรือนั้น ตัวเรือติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 5 นิ้ว แบบ mk45 mod 4 โดยตัวปืนสามารถใช้เป็นทั้งปืนใหญ่ยิงฝั่งหรือต่อต้านอกาศยานในระยะประชิดได้อีกด้วย โดยตัวปืนมีอัตราการยิง 20 นัด/นาที มีระยะยิงอยู่ที่ 24 กิโลเมตร และมีระบบป้องกันระยะประชิดแบบ Goalkeeper อีก 1 ระบบและตัวสเรือยังติดตั้งท่อยิงแนวดิ่งแบบ mk 41 จำนวน 32 ท่อ โดยแบ่งเป็นขีปนาวุธต่อต้านกาศยานและขีปนาวุธโจมตีทางทะเลทางยุทธศาสตร์แบบ Sm2 block 3a หรืออีกชื่อ rim 66 standard 11 ท่อโดยเจ้า sm 2 นั้น มีระยะยิงอยู่ที่ 120-140 กิโลเมตรและนำวิถีด้วยเรดาร์ และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานและขีปนาวุธโจมตีแบบระยะประชิดแบบ rim 116 อีก 21 ท่อ นอกจากนี้ตัวเรือยังมีขีปนาวุธโจมตีนำวิถีด้วยเรดาร์เรือแบบ harpoon อีก 8 ท่อยิง โดยตัวขีปนาวุธ harpoon มีระยะยิงอยู่ที่ 130 กิโลเมตร นอกจากนี้ตัวยังมี k vls ซึ่งเป็นท่อยิงที่เกาหลีใต้พัฒนาเองโดยพัฒมาจาก mk 41 อีก 24 ท่อยิง(รวมกับ mk41 ทำให้ตัวเรือมีทั้งหมด 56 ท่อยิง) โดยตัว k vls นั้นจะบรรจุขีปนาวุธโจมตีเรือดำน้ำแบบ Hong Sang Eo ระยะยิงอยู่
ู่ที่ประมาณ 20 กิโลเมตร นำวิถีด้วยเรดาร์(ตรงนี้ไม่แน่ใจถ้าผิดก็ขออภัยด้วย) และขีปนาวุธโจมตีภาคพื้นแบบ Hyunmoo-3 ซึ่งเป็นขีปนาวุธที่พัฒนาโดยเกาหลีใต้เองอีก 16 ท่อยิง โดยตัวขีปนาวุธมีระยะยิงอยู่ที่ 300 กฺิโลเมตร โดยตัวขีปนาวุธสามารถบรรทุกหัวรบได้ 500 กิโลกรัม โดยตัวขีปนาวุธนำวิถีด้วยเรดาร์และดาวเทียม(ตรงนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถูกรึปล่าว ถ้าผิดก็ขออภัยอีกรอบ)
ทางด้านเรดาร์นั้นตัวเรือใช้เรดาร์แจ้งเตือนภัยทางอากาศแบบ AN/SPS-49(V)5 โดยตัวเรดาร์มีระยะตรวจจับอยู่ 480 กิโลเมตร ส่วนทางด้านเรดาร์ตรวจภาคพื้นทางทะเล kdx 2 เลือกใช้เรดาร์ mw08 ซึ่งเป็นเรดาร์แบบ 3d ตัวเรือยังใช้เรดาร์คงบคุมการยิงแบบ STIR240 จาก thales อีกเช่นเดิม และระบบทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์แบบ SLQ-200(V)K SONATA และระบบบัญชาการรบแบบ KDCOM-II