สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากจะแชร์ประสบการณ์ที่รู้สึกว่าน่าจะให้อะไรบางอย่างกับเด็กจบใหม่ หรือหลายๆ คนที่กำลังมองหางานอยู่
เราเพิ่งจบ ป.ตรี จากคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอับดับต้นๆ ของประเทศ ด้วยเกรดเลย 3 มานิดๆ เราเริ่มหางานตั้งแต่ช่วงปีสี่ต้นปี4 เทอม 2 จบมาได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็ได้ตอบรับเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นงานในออฟฟิศ ทั้งเนื้องานและฐานเดินเดือนเป็นอะไรที่เด็กจบใหม่อย่างเราพอใจ หลังจากเซ็นสัญญา บริษัทได้ให้เราไปตรวจร่างกาย (แต่ตอนนั้นเราเริ่มงานแล้ว) และทางโรงพยาบาลได้ส่งผลให้กับทางบริษัทโดยตรง
หลังจากเลิกทำงานในวันศุกร์สัปหาห์สุดท้ายของเดือน ผู้จัดการแผนกก็ได้เรียกเราไปคุยในเรื่องโรคประจำตัวของเรา คือเราเป็นลิ้นหัวใจหย่อนค่ะ ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้บอกกับทางบริษัทว่าตนเองเป็นโรคนี้อยู่ ด้วยความที่กลัวว่าเขาอาจจะไม่รับเขาทำงานเพราะชื่อโรคดูน่ากลัวและคิดว่าไม่ส่งผลกับการทำงาน เราดันไปบอกหมอตอนตรวจร่างกาย แต่จริงๆ เราไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงนะคะ ตรวจจพบโดยบังเอิญเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งหมอก็ไม่ได้ให้ทานยาหรือผ่าตัด แล้วตลอดชีวิต 22 ปีที่เกิดมาก็ไม่เคยแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเลย เราอธิบายให้ผู้จัดการฟังประมาณนี้ เขาก็บอกเราว่า เราไม่ได้แจ้งเขาไปตั้งแต่แรกไม่งั้นเขาคงไม่รับเราเข้าทำงาน เขาบอกว่ามันร้ายแรงนะ บอกว่าวันจันทร์ไม่ต้องมาทำงาน กลับไปพักรักษาตัว (พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มไม่ได้ดูโหดร้ายอะไร แต่เรารู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางหัว) แล้วให้เราเซ็นใบลาออก ยอมรับว่าตอนนั้นช็อคค่ะหลังจากเซ็นใบลาออกแล้ว ไปนั่งร้องไห้กับพี่ที่เทรนงานร้องแบบเสียใจมากฟูมฟาย แบบทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี งานที่ชอบ เพื่อนที่ทำงานดี มันเหมือนชีวิตไม่มีทางไป
หลังจากนั้นเราได้โทรไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับที่บ้านฟัง วันนั้นเป็นวันเกิดของแม่ด้วย กะจะเซอไพรซ์เงินเดือนเดือนแรก แต่ที่บ้านเราก็ไม่ได้ว่าอะไร และเข้าใจ เราเสียใจได้ประมาณ 1 วัน เพราะรู้สึกแย่กับสิ่งที่เป็นโดยบังเอิญและไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่ส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าเป็นความผิดเราที่ไม่ได้แจ้งกับทางบริษัทตั้งแต่แรกไม่งั้นคงไม่มานั่งเสียใจแบบนี้ เราเข้าใจในมุมมองของผู้ประกอบการในเรื่องค่าใช้จ่ายในสวัสดิการในอนาคต (ทั้งๆที่จริงๆ หมอไม่ได้แนะนำให้ทำอะไรเลยใช้ชีวิตปกติมาตลอด จนบางครั้งก็ลืมว่าตัวเองเป็นด้วยซ้ำไป 555) แต่ยอมรับนะคะว่าคนรอบข้างดีมากๆกับเรา ทั้งครอบครัว พี่ที่ทำงานด้วย เพื่อนๆ และแฟน ทุกคนเข้าใจและให้กำลังใจเราดีมากค่ะ
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ตอบรับเขาทำงานให้บริษัทแห่งหนึ่งแถบชานเมือง เขายอมรับในโรคที่เราเป็นซึ่งเราได้แจ้งเขาไปตั้งแต่แรก งานในส่วนนี้จะเป็นงานลักษณะ Admin ดูแลเรื่องทั่วไป แต่วันแรกที่เราก้าวเข้ามาเรารู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก คือเราไม่มีชื่อในการปฐมนิเทศ เนื่องจากสังกัดที่เราอยู่เป็น บ.ในเครือเปิดใหม่ อาจจะยังไม่พร้อม แล้วพอเข้ามาทำงานจริงๆ งานที่เราทำเป็นงานเลขาชัดๆ เลยค่ะ ที่คอยตามเจ้านาย ทำนู่นนี่ตามสั่ง ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขาแจ้งเรามาว่า admin ที่เราอยู่เนี่ย เป็นส่วนหนึ่ง ใน function ของ hr สามารถโรเททได้
ในตอนนั้นเราคิดแค่ว่าเราอยากทำงาน อีกอย่างเราคิดว่าด้วยความเป็นเด็กจบใหม่ ประสบการณ์มีแค่ตรงฝึกงาน หากทำไปก่อนอาจจะต่อยอดได้ในอนาคตเพิ่มสกิลของตนเองทั้งในด้านทักษะการทำงานและภาษา ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราอึดอัดในบรรยากาศการทำงานมาก เพราะเราต้องมานั่งฝึกงานกับพี่เลขารุ่นใหญ่ งานเขาก็ไม่ค่อยให้ทำ เพราะเขาบอกว่าเขายุ่งๆ เดี๋ยวรอมีเวลาแล้วจะสอน และเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเสียมากกว่า เราชอบพูดชอบคุย แต่บางวันเราแทบไม่ได้คุยกับใครเลย แล้วอีอย่างที่เรามารู้ที่หลังคือ เขารับเราเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ เนื่องจากบริษัทใหม่ที่เขากำลังจะไปเปิดนั้น อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดบ้านเราและญาติเราเป็นข้าราชการอยู่ในพื้นที่นั้น เขาคิดว่าเผื่อทำอะไรจะได้ง่ายขึ้น เราได้ยินจากปากหัวหน้าเราและพี่เลขาเลยค่ะ (จริงๆ ญาติเราก็ไม่ค่อยยุ่งเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ และตอนสัมภาษณ์เขาถามถึงประวัติครอบครัวมากกว่าประวัติเราเสียอีก)เลยยิ่งรู้สึกแย่ ด้วยความที่เราจบใหม่รู้สึกว่าไฟยังแรงอยู่ ตอนนี้เรารู้สึกว่าไฟค่อยๆ มอดลงที่ละนิดทีละนิดและกลัวว่าสักวันมันจะไม่เหลือเลย
ตอนนี้เราก็กำลังหางานที่ตนเองอยากทำจริงๆ อยู่ หากเลือกได้เราเชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้อยากเปลี่ยนงานบ่อยหรอกค่ะ
เราเคยอ่านข้อความนึงของภาณุ มณีวัฒนกุล ว่า...
“การดำเนินชีวิตประจำวันไปในทางที่ไม่ชอบ การจำเป็นต้องเสแสร้งเพื่ออะไรบางอย่างนั่นคือความเจ็บปวดที่สุด เพราะทำไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นความเคยชินที่ต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่รัก ไม่มีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และหวังว่าจะเป็นข้อคิดที่ดีได้นะคะ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับงานที่เลือกค่ะ
ไม่ได้เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ: แชร์ประสบการณ์การเปลี่ยนที่ทำงาน 2 ครั้ง ใน 2 เดือนของเด็กจบใหม่
เราเพิ่งจบ ป.ตรี จากคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอับดับต้นๆ ของประเทศ ด้วยเกรดเลย 3 มานิดๆ เราเริ่มหางานตั้งแต่ช่วงปีสี่ต้นปี4 เทอม 2 จบมาได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็ได้ตอบรับเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นงานในออฟฟิศ ทั้งเนื้องานและฐานเดินเดือนเป็นอะไรที่เด็กจบใหม่อย่างเราพอใจ หลังจากเซ็นสัญญา บริษัทได้ให้เราไปตรวจร่างกาย (แต่ตอนนั้นเราเริ่มงานแล้ว) และทางโรงพยาบาลได้ส่งผลให้กับทางบริษัทโดยตรง
หลังจากเลิกทำงานในวันศุกร์สัปหาห์สุดท้ายของเดือน ผู้จัดการแผนกก็ได้เรียกเราไปคุยในเรื่องโรคประจำตัวของเรา คือเราเป็นลิ้นหัวใจหย่อนค่ะ ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้บอกกับทางบริษัทว่าตนเองเป็นโรคนี้อยู่ ด้วยความที่กลัวว่าเขาอาจจะไม่รับเขาทำงานเพราะชื่อโรคดูน่ากลัวและคิดว่าไม่ส่งผลกับการทำงาน เราดันไปบอกหมอตอนตรวจร่างกาย แต่จริงๆ เราไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงนะคะ ตรวจจพบโดยบังเอิญเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งหมอก็ไม่ได้ให้ทานยาหรือผ่าตัด แล้วตลอดชีวิต 22 ปีที่เกิดมาก็ไม่เคยแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเลย เราอธิบายให้ผู้จัดการฟังประมาณนี้ เขาก็บอกเราว่า เราไม่ได้แจ้งเขาไปตั้งแต่แรกไม่งั้นเขาคงไม่รับเราเข้าทำงาน เขาบอกว่ามันร้ายแรงนะ บอกว่าวันจันทร์ไม่ต้องมาทำงาน กลับไปพักรักษาตัว (พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มไม่ได้ดูโหดร้ายอะไร แต่เรารู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางหัว) แล้วให้เราเซ็นใบลาออก ยอมรับว่าตอนนั้นช็อคค่ะหลังจากเซ็นใบลาออกแล้ว ไปนั่งร้องไห้กับพี่ที่เทรนงานร้องแบบเสียใจมากฟูมฟาย แบบทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี งานที่ชอบ เพื่อนที่ทำงานดี มันเหมือนชีวิตไม่มีทางไป
หลังจากนั้นเราได้โทรไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับที่บ้านฟัง วันนั้นเป็นวันเกิดของแม่ด้วย กะจะเซอไพรซ์เงินเดือนเดือนแรก แต่ที่บ้านเราก็ไม่ได้ว่าอะไร และเข้าใจ เราเสียใจได้ประมาณ 1 วัน เพราะรู้สึกแย่กับสิ่งที่เป็นโดยบังเอิญและไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่ส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าเป็นความผิดเราที่ไม่ได้แจ้งกับทางบริษัทตั้งแต่แรกไม่งั้นคงไม่มานั่งเสียใจแบบนี้ เราเข้าใจในมุมมองของผู้ประกอบการในเรื่องค่าใช้จ่ายในสวัสดิการในอนาคต (ทั้งๆที่จริงๆ หมอไม่ได้แนะนำให้ทำอะไรเลยใช้ชีวิตปกติมาตลอด จนบางครั้งก็ลืมว่าตัวเองเป็นด้วยซ้ำไป 555) แต่ยอมรับนะคะว่าคนรอบข้างดีมากๆกับเรา ทั้งครอบครัว พี่ที่ทำงานด้วย เพื่อนๆ และแฟน ทุกคนเข้าใจและให้กำลังใจเราดีมากค่ะ
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ตอบรับเขาทำงานให้บริษัทแห่งหนึ่งแถบชานเมือง เขายอมรับในโรคที่เราเป็นซึ่งเราได้แจ้งเขาไปตั้งแต่แรก งานในส่วนนี้จะเป็นงานลักษณะ Admin ดูแลเรื่องทั่วไป แต่วันแรกที่เราก้าวเข้ามาเรารู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก คือเราไม่มีชื่อในการปฐมนิเทศ เนื่องจากสังกัดที่เราอยู่เป็น บ.ในเครือเปิดใหม่ อาจจะยังไม่พร้อม แล้วพอเข้ามาทำงานจริงๆ งานที่เราทำเป็นงานเลขาชัดๆ เลยค่ะ ที่คอยตามเจ้านาย ทำนู่นนี่ตามสั่ง ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขาแจ้งเรามาว่า admin ที่เราอยู่เนี่ย เป็นส่วนหนึ่ง ใน function ของ hr สามารถโรเททได้
ในตอนนั้นเราคิดแค่ว่าเราอยากทำงาน อีกอย่างเราคิดว่าด้วยความเป็นเด็กจบใหม่ ประสบการณ์มีแค่ตรงฝึกงาน หากทำไปก่อนอาจจะต่อยอดได้ในอนาคตเพิ่มสกิลของตนเองทั้งในด้านทักษะการทำงานและภาษา ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราอึดอัดในบรรยากาศการทำงานมาก เพราะเราต้องมานั่งฝึกงานกับพี่เลขารุ่นใหญ่ งานเขาก็ไม่ค่อยให้ทำ เพราะเขาบอกว่าเขายุ่งๆ เดี๋ยวรอมีเวลาแล้วจะสอน และเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเสียมากกว่า เราชอบพูดชอบคุย แต่บางวันเราแทบไม่ได้คุยกับใครเลย แล้วอีอย่างที่เรามารู้ที่หลังคือ เขารับเราเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ เนื่องจากบริษัทใหม่ที่เขากำลังจะไปเปิดนั้น อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดบ้านเราและญาติเราเป็นข้าราชการอยู่ในพื้นที่นั้น เขาคิดว่าเผื่อทำอะไรจะได้ง่ายขึ้น เราได้ยินจากปากหัวหน้าเราและพี่เลขาเลยค่ะ (จริงๆ ญาติเราก็ไม่ค่อยยุ่งเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ และตอนสัมภาษณ์เขาถามถึงประวัติครอบครัวมากกว่าประวัติเราเสียอีก)เลยยิ่งรู้สึกแย่ ด้วยความที่เราจบใหม่รู้สึกว่าไฟยังแรงอยู่ ตอนนี้เรารู้สึกว่าไฟค่อยๆ มอดลงที่ละนิดทีละนิดและกลัวว่าสักวันมันจะไม่เหลือเลย
ตอนนี้เราก็กำลังหางานที่ตนเองอยากทำจริงๆ อยู่ หากเลือกได้เราเชื่อว่าหลายคนคงไม่ได้อยากเปลี่ยนงานบ่อยหรอกค่ะ
เราเคยอ่านข้อความนึงของภาณุ มณีวัฒนกุล ว่า...
“การดำเนินชีวิตประจำวันไปในทางที่ไม่ชอบ การจำเป็นต้องเสแสร้งเพื่ออะไรบางอย่างนั่นคือความเจ็บปวดที่สุด เพราะทำไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นความเคยชินที่ต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่รัก ไม่มีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และหวังว่าจะเป็นข้อคิดที่ดีได้นะคะ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับงานที่เลือกค่ะ