วันนี้มีงานบวชนาคเช้า ตอนบ่ายมีรอบวชอีกหลายนาค พระอุปัชฌาย์และคู่สวดจึงมีกิจนิมนต์ถี่จนกว่าจะถึงวันเข้าพรรษา หลังเพลฉันพอมีเวลาว่างก่อนที่จะถึงบ่ายสองโมง จึงให้แอ๊ดขับรถเอนกประสงค์ป้ายแดงพามาพบเพื่อนเก่า ที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากวัดนี้นัก หมาไทยเห่ารถญี่ปุ่นคันโก้เสียงขรม ทองก้อนวัยหกสิบปีเศษลุกจากศาลาท่าน้ำริมคลองมาดูหมาให้ เขายกมือไหว้ฉันและนิมนต์ให้ไปนั่งตรงศาลาท่าน้ำ จากนั้นเดินค้อมศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมยาวสีเทาเข้าไปหลังบ้านและกลับมาพร้อมน้ำสองแก้ว
“ท่านมากิจนิมนต์ใด จึงมาหาผมถึงที่บ้านได้” ทองก้อนลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นหลังยกน้ำเย็นประเคนฉันแก้วหนึ่งและให้แอ๊ดคนขับรถแก้วหนึ่ง
“มาบวชพระ เช้าบ่ายและนี่โยมรู้แล้วยัง” ฉันหยุดจิบน้ำแล้วพูดต่อ
“ฉันทำโบสถ์ที่วัดฉันใกล้จะเสร็จแล้ว อยากให้โยมไปปั้นปูนที่กำแพงแก้ว”
“สาธุ ท่านเดินมาถูกเส้นทางแล้ว แต่มันใช้เวลานานแล้วค่าจ้างของผมก็แพง”
“จะเป็นไรไป ฉันรู้มือ รู้ผีมือโยมอยู่แล้ว เราเป็นเกลอกันมานมนาน ที่สำคัญงานปูนปั้นนับวันจะสาบสูญหายไปจากทั้งวัด ทั้งวัง โยมมาฝากฝีมือไว้ที่วัดฉันให้ลูกหลานดูกันเถอะ” ฉันรู้ว่าประโยคนี้ฉันและทองก้อนต่างนึกภาพในอดีตของสองนักศึกษาหนุ่มจากมหาวิทยาลัยของประชาชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มาแตกคอกันเมื่ออุดมการณ์ของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปจนยากที่จะเรียกกันว่าเพื่อนได้อีก ฝ่ายหนึ่งเข้าป่าไปหาความหมายของชีวิตอีกฝ่ายทำงานการเมืองแล้วมาบวชพระ
“ผมขอปรึกษาหลานชายดูก่อน อีกวันสองวันผมจะโทรไปแจ้งท่าน”
รุ่งขึ้นทองก้อนก็โทรมารับงาน บอกให้ทางวัดสั่งปูน ทรายและถังเก็บน้ำใบใหญ่ไว้ให้ พร้อมกับยื่นเงื่อนไขว่า “ผมขอรับเงินค่าจ้างเพียงเจ็ดในสิบส่วนที่เหลือผมทำถวายวัด แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องจ่ายเงินผมล่วงหน้าครบถ้วนตามที่ผมเรียกไปและต้องปล่อยให้ผมทำงานโดยอิสระ ห้ามท่านหรือผู้ใดมายุ่มย่าม มาออกคำสั่ง”
ฉันรับปากเขาไปตามนั้น ทองก้อนกับหลานชายวัยเบญจเพส ทำงานกันอย่างกับคนวัยเดียวกัน ช่องกำแพงตกแต่งปั้นซีเมนต์เป็นภาพพุทธประวัติและภาพบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ มีรูป เทวดา นางฟ้า สัตว์ป่าหิมพานต์ ดอกไม้ และป่าเขา สลับช่องเว้นช่อง ช่องที่เว้นว่างไว้ ทองก้อนบอกกับฉันว่าจะปั้นถึงเรื่องโลกมนุษย์และความเป็นไปของยุคสมัย เวลานั้นฉันก็เห็นดีด้วย
ทองก้อนเปิดวิทยุชุมชน ฟังรายการข่าวสารบ้านเมืองเป็นเพื่อนยามทำงานช่วงเช้าขณะปั้นลายและแกะพิมพ์ ช่วงบ่ายหลานชายจะผสมปูนส่งให้เขาปั้นปะติด คอยขยับนั่งร้านส่งเครื่องไม้เครื่องมือให้ลุงอย่างเงียบ ๆ
วันพระ ชาวบ้านซึ่งมาทำบุญเวียนมาชื่นชมกับความสวยงามของภาพทิพย์วิมานกันไม่หยุดหย่อน ต่างบอกกันปากต่อปากว่านี่ขนาดงานยังไม่เสร็จเรียบร้อย ยังสวยสดงดงามถึงเพียงนี้ ล่วงเข้าเดือนที่สองภาพปั้นความเป็นไปของยุคสมัยก็เสร็จสมบูรณ์ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวเป่าปากกันเฟี้ยวฟ้าว ภาพนูนต่ำที่กล่าวถึง โซเชียลมีเดีย ยุคคลั่งไคล้ดารานักร้อง ภาพนักการเมืองคดโกงเงินภาษีอากร การเดินขบวน การเข่นฆ่าทำร้ายกันของคนต่างสี ภาพยาบ้า ยาเสพติด หญิงขายบริการ เด็กแว้นเด็กใจแตก รวมถึงภาพของครอบครัวไทยที่ล่มสลายในยุคที่เงินเป็นพระเจ้าและในสองช่องสุดท้ายเป็นรูปโบสถ์ที่สร้างด้วยธนบัตร มีแร้งคอยจิกคนเฒ่าคนแก่ ที่อดอยากนอนรอความตายเพราะหมดเนื้อหมดตัว
ห้าทุ่มเศษวัดเงียบจนน่ากลัว ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนกกลางคืน ฉันเดินออกจากกุฏิฉวยไฟฉายมุ่งไปที่โบสถ์ เอามือรูปคลำผลงานสะท้อนสังคมของทองก้อน ไล่พินิจพิจารณาไปทีละช่องจนไปถึงช่องสุดท้าย ฉันรู้สึกว่าเขายืนมองฉันอยู่ในความมืด ฉันนั้นคือเจ้าอาวาสวัดนี้ ฉันคือพระชรารูปหนึ่งที่ต้องควบคุมความเป็นไปของวัดแห่งนี้ ฉันหยิบเสียมงัดภาพปูนปั้นที่น่าอดสูเหล่านั้นทิ้งไปทีละช่อง เหลือไว้แต่ช่องภาพสรวงสวรรค์อันสวยงาม เหงื่อเม็ดโป้งพากันผุดขึ้นในทุกขุมขนที่ฉันขยับไปแซะ งัด ทุบ เจ้าปูนชั่วช้านั่น สมองของฉันกำลังครุ่นคิดหาแต่คำมาก่นด่าสาปแช่งเจ้าของผลงานนี้ ฉันเหนื่อยพลันทรุดตัวลงกับพื้น ตอนนั้นฉันได้ยินเสียงหัวเราะ เยาะเย้ย ดังมาจากที่ไม่ไกลนัก มันเสียดแทงใจของฉันเหลือเกิน
ปล. พูดคุย ติชม กันได้เช่นเคยครับ
ภาพนูนต่ำ
“ท่านมากิจนิมนต์ใด จึงมาหาผมถึงที่บ้านได้” ทองก้อนลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นหลังยกน้ำเย็นประเคนฉันแก้วหนึ่งและให้แอ๊ดคนขับรถแก้วหนึ่ง
“มาบวชพระ เช้าบ่ายและนี่โยมรู้แล้วยัง” ฉันหยุดจิบน้ำแล้วพูดต่อ
“ฉันทำโบสถ์ที่วัดฉันใกล้จะเสร็จแล้ว อยากให้โยมไปปั้นปูนที่กำแพงแก้ว”
“สาธุ ท่านเดินมาถูกเส้นทางแล้ว แต่มันใช้เวลานานแล้วค่าจ้างของผมก็แพง”
“จะเป็นไรไป ฉันรู้มือ รู้ผีมือโยมอยู่แล้ว เราเป็นเกลอกันมานมนาน ที่สำคัญงานปูนปั้นนับวันจะสาบสูญหายไปจากทั้งวัด ทั้งวัง โยมมาฝากฝีมือไว้ที่วัดฉันให้ลูกหลานดูกันเถอะ” ฉันรู้ว่าประโยคนี้ฉันและทองก้อนต่างนึกภาพในอดีตของสองนักศึกษาหนุ่มจากมหาวิทยาลัยของประชาชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มาแตกคอกันเมื่ออุดมการณ์ของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปจนยากที่จะเรียกกันว่าเพื่อนได้อีก ฝ่ายหนึ่งเข้าป่าไปหาความหมายของชีวิตอีกฝ่ายทำงานการเมืองแล้วมาบวชพระ
“ผมขอปรึกษาหลานชายดูก่อน อีกวันสองวันผมจะโทรไปแจ้งท่าน”
รุ่งขึ้นทองก้อนก็โทรมารับงาน บอกให้ทางวัดสั่งปูน ทรายและถังเก็บน้ำใบใหญ่ไว้ให้ พร้อมกับยื่นเงื่อนไขว่า “ผมขอรับเงินค่าจ้างเพียงเจ็ดในสิบส่วนที่เหลือผมทำถวายวัด แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องจ่ายเงินผมล่วงหน้าครบถ้วนตามที่ผมเรียกไปและต้องปล่อยให้ผมทำงานโดยอิสระ ห้ามท่านหรือผู้ใดมายุ่มย่าม มาออกคำสั่ง”
ฉันรับปากเขาไปตามนั้น ทองก้อนกับหลานชายวัยเบญจเพส ทำงานกันอย่างกับคนวัยเดียวกัน ช่องกำแพงตกแต่งปั้นซีเมนต์เป็นภาพพุทธประวัติและภาพบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ มีรูป เทวดา นางฟ้า สัตว์ป่าหิมพานต์ ดอกไม้ และป่าเขา สลับช่องเว้นช่อง ช่องที่เว้นว่างไว้ ทองก้อนบอกกับฉันว่าจะปั้นถึงเรื่องโลกมนุษย์และความเป็นไปของยุคสมัย เวลานั้นฉันก็เห็นดีด้วย
ทองก้อนเปิดวิทยุชุมชน ฟังรายการข่าวสารบ้านเมืองเป็นเพื่อนยามทำงานช่วงเช้าขณะปั้นลายและแกะพิมพ์ ช่วงบ่ายหลานชายจะผสมปูนส่งให้เขาปั้นปะติด คอยขยับนั่งร้านส่งเครื่องไม้เครื่องมือให้ลุงอย่างเงียบ ๆ
วันพระ ชาวบ้านซึ่งมาทำบุญเวียนมาชื่นชมกับความสวยงามของภาพทิพย์วิมานกันไม่หยุดหย่อน ต่างบอกกันปากต่อปากว่านี่ขนาดงานยังไม่เสร็จเรียบร้อย ยังสวยสดงดงามถึงเพียงนี้ ล่วงเข้าเดือนที่สองภาพปั้นความเป็นไปของยุคสมัยก็เสร็จสมบูรณ์ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวเป่าปากกันเฟี้ยวฟ้าว ภาพนูนต่ำที่กล่าวถึง โซเชียลมีเดีย ยุคคลั่งไคล้ดารานักร้อง ภาพนักการเมืองคดโกงเงินภาษีอากร การเดินขบวน การเข่นฆ่าทำร้ายกันของคนต่างสี ภาพยาบ้า ยาเสพติด หญิงขายบริการ เด็กแว้นเด็กใจแตก รวมถึงภาพของครอบครัวไทยที่ล่มสลายในยุคที่เงินเป็นพระเจ้าและในสองช่องสุดท้ายเป็นรูปโบสถ์ที่สร้างด้วยธนบัตร มีแร้งคอยจิกคนเฒ่าคนแก่ ที่อดอยากนอนรอความตายเพราะหมดเนื้อหมดตัว
ห้าทุ่มเศษวัดเงียบจนน่ากลัว ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนกกลางคืน ฉันเดินออกจากกุฏิฉวยไฟฉายมุ่งไปที่โบสถ์ เอามือรูปคลำผลงานสะท้อนสังคมของทองก้อน ไล่พินิจพิจารณาไปทีละช่องจนไปถึงช่องสุดท้าย ฉันรู้สึกว่าเขายืนมองฉันอยู่ในความมืด ฉันนั้นคือเจ้าอาวาสวัดนี้ ฉันคือพระชรารูปหนึ่งที่ต้องควบคุมความเป็นไปของวัดแห่งนี้ ฉันหยิบเสียมงัดภาพปูนปั้นที่น่าอดสูเหล่านั้นทิ้งไปทีละช่อง เหลือไว้แต่ช่องภาพสรวงสวรรค์อันสวยงาม เหงื่อเม็ดโป้งพากันผุดขึ้นในทุกขุมขนที่ฉันขยับไปแซะ งัด ทุบ เจ้าปูนชั่วช้านั่น สมองของฉันกำลังครุ่นคิดหาแต่คำมาก่นด่าสาปแช่งเจ้าของผลงานนี้ ฉันเหนื่อยพลันทรุดตัวลงกับพื้น ตอนนั้นฉันได้ยินเสียงหัวเราะ เยาะเย้ย ดังมาจากที่ไม่ไกลนัก มันเสียดแทงใจของฉันเหลือเกิน
ปล. พูดคุย ติชม กันได้เช่นเคยครับ