พระกราบแม่ ผิด พระมีกิเลส ถูก

ก่อนอื่นเลย ได้ติดตามกระแสเรื่องพระกราบแม่มาหลายปีละ ซึ่งผมเองก็เห็นพระหลายรูปที่กราบแม่ในวันสำคัญต่างๆ เช่นวันแม่ วันเกิดของตัวเองเป็นต้น ส่วนตัวผมเห็นแล้วก็ทราบซึ้งใจในความเป็นแม่ลูกของทั้งคู่ ในปีนี้ก็มีประเด็นเรื่องราวในด้านความคิดเห็นของบุคคลต่างๆ และการออกมาชี้แจงของสำนักพุทธ ในประเด็นต่างๆของการไหว้ โดยการนำเอาพระวินัยปิฏกมาชี้แจง

            สำหรับส่วนตัวผมเอง คือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ละเอียดอ่อนเลย แต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องถึงความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดต่างหาก ความรู้สึกภายในใจระหว่างลูกพระกับมารดา ที่สัมพันธ์กันตั้งแต่อยู่ในท้องยันคลอดออกมา ซึ่งแน่ล่ะ ว่ามันสัมพันธ์และสำคัญกว่าความรู้สึกในความเป็นพระมากกว่า หากการชี้แจงของสำนักพุทธว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร เป็นเรื่องที่ผิดต่อพระวินัย หากลองย้อนดูในปัจจุบัน และกล้ายอมรับความจริงกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สำนักพุทธบอกว่า เพศบรรพชิต เป็นเพศที่สูงกว่า เป็นผู้ขัดเกลา ละซึ่งกิเลส ตัณหา ราคะ ผมจะตอบได้เลยว่าสูงกว่าได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อออกท้องแม่ หรือออกจากปากมดลูกของมารดามาเหมือนกันทั้งนั้น จะอุตริคิดว่าตนสูงกว่ามารดาหรือ ถ้าไม่มีมารดาผู้ให้กำเนิด ถามว่าจะมาเป็นพระได้มั้ย แล้วพระในปัจจุบัน จะมีเพียงสักกี่รูป ที่ละซึ่งกิเลส ตัณหา ราคะ ออกจากจิตกายใจ ทุกคนก็รู้ว่าไม่ต่างอะไรเลยจากปุถุชนทั่วไปด้วยซ้ำ เผลอๆกิเลสเยอะยิ่งกว่าปุถุชนเสียอีก จะมีสักกี่รูปที่รักษาพระวินัย กรรมมัฏฐาน รักษาหลักธรรมคำสอน รักษาศีลให้ครบ ทุกวันนี้อย่าว่าศีลสองร้อยกว่าข้อเลย ศีลห้าจะรอดมั้ยยังไม่รู้ บางรูปติดในลาภ ยศ ศักดิ์ ติดในอำนาจการปกครอง โอ้อวดพัดยศไปวันๆ ถามว่าสิ่งเหล่านี้มันน่าภาคภูมิใจแล้วใช่มั้ย กับพระวินัยที่ถูกต้องของชาวพุทธ มันน่าละอายยิ่งกว่าพระที่ตั้งใจกราบแม่เสียอีก พระบางรูปนั่งรถราคาเป็นล้าน รับกิจนิมนต์เดินทางไปต่างประเทศเป็นว่าเล่น บางรูปยังสอนหลักธรรมให้ปุถุชนไม่ได้เลย แค่นี้ก็คงพอรู้แล้วว่า พระในนิยามของสำนักพุทธ มันต่างกับสัจธรรมความเป็นจริงแค่ไหน

             ที่สำคัญมากกว่านี้ คือไม่ต้องอ้างถึงพระวินัยอะไรหรอก ไม่ต้องมาอ้างว่ายึดในพระวินัย ที่ยึดนี่แหละตัวดีเลย เป็นพระยึดติดก็ไม่ควรค่าแก่การใช้คำว่าพระ เมื่อเป็นพระไม่ควรยึดติด พระวินัยเป็นเสมือนกฏกติกาการอยู่ในสังคมของสงฆ์ เป็นการจำกัดกรอบความน่าจะเป็นของสงฆ์ ให้อยู่ในหลักศีลธรรมดีงามในสังคม พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ผู้คนถือศีลห้า ไม่ได้บังคับให้คนต้องทำ แต่ทำเพื่อให้ทราบ ให้ละเว้นซึ่งในการเบียดเบียน ในการกระทำ ให้ตระหนักถึงศีลธรรม ส่วนจะทำหรือไม่อยู่ที่บุคคลอีกที ว่าความตระหนักในศีลธรรมของแต่ละคนมีมากน้อยแค่ไหน สำนักพุทธนำพระวินัยปิฎก มาพูดว่า จุลวรรค เล่ม7 ภาค2 หน้าที่136 ระบุถึงบุคคลที่ไม่ควรไหว้มี10จำพวก ข้อ2 ไม่ควรไหว้บุคคลที่ไม่ใช่พระภิกษุ ข้อนี้เข้าใจเป็นอย่างดี ว่าหากไม่ใช่ภิกษุ ก็ไม่ควรไหว้ แม้กระทั่งสามเณรก็ตาม ข้อ4 ไม่ควรไหว้มาตุคาม (สตรีเพศ) และที่สำคัญข้อ5 ไม่ควรไหว้บัณเฑาะก์ (กระเทย) มันตกใจข้อนี้แหละ คือปัจจุบันพระตุ๊ดเณรแต๋ว ก็เยอะมากพอในสังคม คำว่ากระเทย สังคมได้จัดว่าเป็นบุคคลเพศทางเลือก หรือบุคคลเพศที่สาม กระเทยคือผู้ปฏิเสธความเป็นชาย และปรารถนาความเป็นเพศหญิง นั่นคือเพศแม่ เมื่อย้อนดูสัจธรรมความจริงในสังคมปัจจุบัน พระที่เข้าข่ายและพระที่เป็นบัณเฑาะก์อย่างชัดเจน ก็เห็นได้ชัดในสังคม พระที่เป็นกระเทยก็มีทั่วในประเทศ อย่างที่บอกไปว่า กระเทยคือผู้ที่ปฏิเสธความเป็นชาย และปราถนาความเป็นหญิง ปัจจุบันพระหลายรูปเองก็คัดค้านการกราบไหว้มารดา เพราะเอาคำว่าไม่ควรไหว้สตรีเพศในพระวินัยและไม่ควรไหว้บุคคลที่ไม่ใช่ภิกษุ มาเป็นตัวกำหนดไม่ควรกราบไหว้ แต่พระหลายรูปเองก็เป็นบัณเฑาะก์เสียเอง เป็นกระเทย พระตุ๊ดเณรแต๋ว ซึ่งก็หมายความว่าท่านกำลังครวญหาความเป็นสตรีเพศอยู่ แค่นี้ก็ควรสรุปได้ว่า เมื่อท่านเองบางรูปยึดติดในพระวินัย ที่ว่าด้วยไม่ควรไหว้10จำพวกนี้ ท่านเองบางรูปก็ควรขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลที่ไม่ควรไหว้เช่นกัน เพราะท่านเองก็เป็นบัณเฑาะก์ ปรารถนาหาเป็นแม่ แต่กลับดูถูกเพศแม่ มันน่าละอายยิ่งกว่าพระที่ตั้งใจกราบมารดาเสียอีก พระที่กราบมารดา อาบน้ำให้มารดา เลี้ยงดูมารดายามท่านไม่มีใคร ผมคิดว่าพระรูปนั้นควรได้ชื่อว่า พระอภิชาติบุตร พระผู้มีความกตัญญูรู้คุณ ควรค่าในการทำแบบอย่างมากกว่าเสียอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่