สวัสดีครับ
วันแม่ปีนี้ ผมคงไม่ได้นั่งร้อยมาลัยดอกไม้ไปไหว้ที่ตักแม่ เหมือนอย่างปีก่อนๆ เพราะแม่ได้จากผมไป ด้วยโรคมะเร็งปอดตั้งแต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ทุกวันนี้ สิ่งที่ผมพอที่จะทำให้กับแม่ได้ คือการทำบุญ สวดมนต์ อุทิศบุญกุศลให้กับท่าน
ไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปทำบุญเหมือนอย่างปีก่อนๆที่ผ่านมา
ทุกวันนี้ ยังคงรู้สึกเสียใจ ที่ตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ลูกอย่างเต็มที่
ถึงแม้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่เป็นลูกของแม่ ผมจะไม่เคยเกเร ไม่เคยก่อความเดือดร้อน ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน หาเงินให้แม่ได้ใช้จ่าย ซื้อของกินดีๆ เสื้อผ้าสวยๆให้แม่ใส่
แต่ผมลืมนึกถึงเรื่องสุขภาพของท่านไป
ผมไม่ทันสังเกตุ ถึงความเปลี่ยนแปลงของแม่เลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เพราะว่าจะด้วยความประมาท หรือไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ ก็สุดแท้แต่ ผมก็ยังคงคิดว่าเป็นความผิดของผมเอง ที่ไม่เคยใส่ใจในเรื่องพวกนี้
แม่ยังคงขยันขันแข็ง ทำงานบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าว ปลูกผักสวนครัว เก็บพริก เก็บกล้วยไปขาย
เห็นแม่ดูโทรมลง ก็คิดว่าอายุคงเยอะขึ้น คงเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ตัวแม่ผมเองก็คิดแบบนั้น
และเห็นว่าแม่ยังแข็งแรงดี ทั้งที่ภายในร่างกายของแม่ โรคร้ายกำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งมันอาจจะสะสมมานานแล้ว หรือเป็นอย่างปุบปับฉับพลัน ผมก็ไม่อาจรู้ได้
เพราะไม่เคยมีอาการบ่งบอกใดๆเลยว่าแม่กำลังป่วย
แม่เป็นคนแข็งแรงมาก ไม่เคยป่วยหนัก จนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล
รู้ตัวอีกที แม่เป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4
ทั้งที่เหล้าบุหรี่ไม่เคยแตะ คนรอบตัว บ้านรอบข้างก็ไม่มีใครสูบ มีแต่หลังบ้านที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม กินอาหารดีๆ ใส่ใจสุขภาพมาโดยตลอด
แต่ผมพลาดไป ตรงที่ไม่เคยพาแม่ไปตรวจสุขภาพสักครั้งเลย
มารู้ตัวอีกที ก็สายเสียแล้ว
ผมจึงไม่อยากจะให้ใครพลาดแบบผมอีก ผมเอง ก็เหมือนกับหลายๆ ท่านในที่นี้ ที่ไม่เคยคิดหรอกว่าในชีวิตนี้ ตัวเอง หรือคนในครอบครัวจะเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็ง
เพราะเราคิดเอาแต่ว่า กินดีอยู่ดี เหล้าบุหรี่ไม่แตะ แล้วจะเป็นได้ยังไง
ผมจึงไม่อยากจะให้ท่าน และครอบครัวของท่านพลาด เหมือนอย่างที่ผมเคยประสบมา
จริงอยู่ การตรวจสุขภาพ อาจจะไม่ได้บ่งบอก ถึงโรคที่ท่านกำลังเป็น หรือกำลังจะเป็นได้ชัดเจน
แต่อย่างน้อย ก็คงพอบอกแนวโน้ม หรือเค้ารางของร่างกายว่า ท่านอาจจะเป็นโรคใดๆ ต่อไปได้
ร่างกายภายนอก เรามองเราเห็นได้ด้วยตา แต่ภายในหล่ะ เกิดอะไรมีอะไรขึ้นบ้าง เราไม่สามารถรู้เองได้เลย
นอกเสียจาก โรคภัยมันแสดงอาการออกมาแล้ว และส่วนใหญ่ ก็เป็นขั้นรุนแรง ที่เกินจะเยียวยารักษาได้
ฉะนั้น อย่าได้ประมาทกันอีกต่อไปเลยครับ รีบทำเสียแต่วันนี้ อย่าให้ต้องเสียโอกาสเหมือนอย่างผม ก่อนที่อะไรจะสายเกินไป
-เดือนๆนึงเราจ่ายค่ามือถือเพื่อโทรหาแฟนเท่าไหร่
-เรามีเวลาเล่นโทรศัพท์เพื่อคุยกับคนอื่น ติดตามเรื่องของคนอื่น กี่ชั่วโมงต่อวัน ต่อเดือน
-เราทุ่มเทเวลาทำงานมากมาย ทั้งที่เราก็ไม่ได้รักมัน และมันก็ไม่ได้รักเรา แต่ที่ทำก็เพราะเงิน เพราะความจำเป็น
-เราพาแฟน พาเพื่อน ไปเที่ยว ไปกินบุฟเฟ่ต์ ไปปาร์ตี้ สังสรรค์กันเดือนละเท่าไหร่
-เราซื้อเครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าสวยๆ ต่อปีคิดแล้วเป็นเงินเท่าไหร่
-เราซื้อคอมพิวเตอร์ มือถือ อุปกรณ์แต่งรถต่างๆ ต่อปี คิดเป็นเงินเท่าไหร่
กับเงิน แค่ไม่กี่พันบาท เพื่อคนที่ดูแลเรามาทั้งชีวิต
กับเวลา ที่ต่อให้รวยล้นฟ้ายังไง ก็ไม่สามารถซื้อได้
วันนี้ เราลองคิดทบทวนดูชีวิตที่ผ่านมาแล้วบ้างหรือยัง ว่าเราลืมอะไรไป
มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยอยู่ทุกวัน จนกลายเป็นเรื่องปกติ บางครั้งก็คิดว่าน่าเบื่อน่ารำคาญด้วยซ้ำ
-คนที่โทรหาคุณ ในเวลาที่คุณกำลังทำงาน เพียงเพราะเค้าแค่คิดถึง และคุณก็ได้ยินประโยคเดิมๆซ้ำๆ "กินข้าวหรือยังลูก" "งานยุ่งมั๊ยลูก" "ดูแลสุขภาพดีๆ นะ"
-คนที่รอทำกับข้าวให้คุณกิน ในขณะที่คุณกลับอยากไปกินข้าวนอกบ้านกับแฟน อยากไปกินบุฟเฟ่ต์ อยากไปสังสรรค์กับเพื่อนๆที่ทำงาน
-คนที่เคยเปรยๆว่า อยากไปทำบุญ อยากมีเวลาอยู่กับคุณบ้าง แต่คุณยังคงติดงาน ติดลูกค้า ติดแฟน และด้วยเหตุผลข้ออ้างต่างๆ นาๆ
-คนที่บอกให้คุณประหยัดๆ แต่คุณอยากได้มือถือเครื่องใหม่ ทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้ได้ แต่กลัวว่าจะน้อยหน้าคนอื่น
-คนที่บอกให้คุณรู้จักฝากเงิน เก็บเงินบ้าง แต่คุณอยากได้เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า กระเป๋าสวยๆ ที่ใช้เพียงครั้งสองครั้งก็เก็บใส่ตู้ รอวันเป็นขยะ
คุณมีเงิน มีเวลาให้กับคนอื่น
แต่กับคนที่ให้ชีวิตคุณมา เลี้ยงดูคุณมา ดูแลคุณมาทั้งชีวิต คุณลืมเค้าไปหรือเปล่า?
คำพูด หลังจากที่หมอวินิจฉัยแล้วว่า แม่ผมอาจจะอยู่ได้แค่ 6 เดือน
แกถึงกับหลั่งน้ำตา และบอกว่า "ขออยู่กับลูกอีกซัก 4-5 ปี ไม่ได้เหรอ"
ผมยังคงสะเทือนใจ กับคำพูดของแม่ในวันนั้น และไม่อยากจะให้ใครต้องมาเจอชะตากรรมแบบเดียวกับผม
ผมมีอะไรหลายๆ อย่าง ที่อยากจะทำให้แม่ พาแม่ไปกินข้าว พาแม่ไปวัด ไปเที่ยว ไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้ใส่
แต่วันนี้ ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว ผมไม่สามารถที่จะตอบแทนบุญคุณท่านแบบนั้นได้อีกแล้ว
ในวันนี้ ผมจึงอยากจะทำดีเพื่อแม่ ด้วยการนำข้อมูลต่างๆ ที่ผมพอจะรวบรวมมาได้ เกี่ยวกับโปรแกรมตรวจสุขภาพ จากโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
มาให้ท่านได้ลองพิจารณาดูว่า กับเงินแค่ไม่กี่พันบาท กับการที่เราจะรักษาชีวิตของคนที่เรารัก ให้อยู่กับเราไปนานๆ ท่านเห็นว่าสมควรหรือไม่
ผมเข้าใจในบางเรื่อง เพราะเคยประสบมาก่อน เช่นผู้ใหญ่ มักจะมีความคิดอยู่ว่า
"ไม่เอาไม่อยากไป เสียเงินเสียทองเปล่าๆ"
"กลัวทำใจไม่ได้ ถ้าตรวจเจออะไรร้ายแรง"
"ไม่ต้องไปตรวจหรอก เปลืองเงิน ถ้าเป็นอะไรก็เป็นไป ตายๆไปเลย"
แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมอยากให้ลูกๆ อดทนซักนิด อธิบาย และโน้มน้าวให้ท่านได้เข้าใจว่า
"ตรวจเถอะนะ ถ้าเจอน้อยๆ มันจะรักษาง่าย ถ้าเป็นมากรักษาไม่ทันนะ"
"ไม่เปลืองเงินอะไรหรอก แค่ไม่กี่พัน วันหลังแม่ป่วยเป็นอะไรขึ้นมา หนูก็ต้องมาเสียเงินมากกว่านี้อีกนะ"
"ถ้าเป็นวันนี้ แล้วตายพรุ่งนี้ ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิ ป่วยเรื้อรัง โรคไต เบาหวาน ความดัน มะเร็ง ป่วยกันเป็น 5ปี 10ปี กว่าจะตาย เสียเงินมากกว่านี้อีกตั้งกี่เท่า"
"ถ้าเจออะไร ป่วยน้อยก็เจ็บตัวน้อย ป่วยมากเจ็บตัวมาก ทั้งเข็ม ทั้งมีดผ่าตัด ทั้งเจาะ ทั้งเฉือน แม่ไม่กลัวเหรอ"
ผมรู้ว่าเป็นงานยาก ที่กว่าจะโน้มน้าวให้บุพการีของท่านยอมไป เพราะผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะคิดแบบนี้
แต่ก็ขอให้คิดเถอะว่า "ทำความดี มันต้องมีอุปสรรค" ลองนึกถึงเวลาที่จีบสาว ง้อขอแฟนคืนดี ขายสินค้าให้ลูกค้า เสนอโปรเจคให้เจ้านายสิ เรายังพยายามได้
กับแค่เรื่อง ที่จะทำเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณกับเราแค่นี้ เราจะทำไม่ได้เชียวหรือ?
เริ่มเสียแต่วันนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
วันแม่ปีนี้ ผมคงไม่ได้นั่งร้อยมาลัยดอกไม้ไปไหว้ที่ตักแม่ เหมือนอย่างปีก่อนๆ เพราะแม่ได้จากผมไป ด้วยโรคมะเร็งปอดตั้งแต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ทุกวันนี้ สิ่งที่ผมพอที่จะทำให้กับแม่ได้ คือการทำบุญ สวดมนต์ อุทิศบุญกุศลให้กับท่าน
ไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเที่ยว ไปกินข้าว ไปทำบุญเหมือนอย่างปีก่อนๆที่ผ่านมา
ทุกวันนี้ ยังคงรู้สึกเสียใจ ที่ตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ลูกอย่างเต็มที่
ถึงแม้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่เป็นลูกของแม่ ผมจะไม่เคยเกเร ไม่เคยก่อความเดือดร้อน ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน หาเงินให้แม่ได้ใช้จ่าย ซื้อของกินดีๆ เสื้อผ้าสวยๆให้แม่ใส่
แต่ผมลืมนึกถึงเรื่องสุขภาพของท่านไป
ผมไม่ทันสังเกตุ ถึงความเปลี่ยนแปลงของแม่เลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เพราะว่าจะด้วยความประมาท หรือไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ ก็สุดแท้แต่ ผมก็ยังคงคิดว่าเป็นความผิดของผมเอง ที่ไม่เคยใส่ใจในเรื่องพวกนี้
แม่ยังคงขยันขันแข็ง ทำงานบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าว ปลูกผักสวนครัว เก็บพริก เก็บกล้วยไปขาย
เห็นแม่ดูโทรมลง ก็คิดว่าอายุคงเยอะขึ้น คงเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ตัวแม่ผมเองก็คิดแบบนั้น
และเห็นว่าแม่ยังแข็งแรงดี ทั้งที่ภายในร่างกายของแม่ โรคร้ายกำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งมันอาจจะสะสมมานานแล้ว หรือเป็นอย่างปุบปับฉับพลัน ผมก็ไม่อาจรู้ได้
เพราะไม่เคยมีอาการบ่งบอกใดๆเลยว่าแม่กำลังป่วย
แม่เป็นคนแข็งแรงมาก ไม่เคยป่วยหนัก จนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล
รู้ตัวอีกที แม่เป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4
ทั้งที่เหล้าบุหรี่ไม่เคยแตะ คนรอบตัว บ้านรอบข้างก็ไม่มีใครสูบ มีแต่หลังบ้านที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม กินอาหารดีๆ ใส่ใจสุขภาพมาโดยตลอด
แต่ผมพลาดไป ตรงที่ไม่เคยพาแม่ไปตรวจสุขภาพสักครั้งเลย
มารู้ตัวอีกที ก็สายเสียแล้ว
ผมจึงไม่อยากจะให้ใครพลาดแบบผมอีก ผมเอง ก็เหมือนกับหลายๆ ท่านในที่นี้ ที่ไม่เคยคิดหรอกว่าในชีวิตนี้ ตัวเอง หรือคนในครอบครัวจะเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็ง
เพราะเราคิดเอาแต่ว่า กินดีอยู่ดี เหล้าบุหรี่ไม่แตะ แล้วจะเป็นได้ยังไง
ผมจึงไม่อยากจะให้ท่าน และครอบครัวของท่านพลาด เหมือนอย่างที่ผมเคยประสบมา
จริงอยู่ การตรวจสุขภาพ อาจจะไม่ได้บ่งบอก ถึงโรคที่ท่านกำลังเป็น หรือกำลังจะเป็นได้ชัดเจน
แต่อย่างน้อย ก็คงพอบอกแนวโน้ม หรือเค้ารางของร่างกายว่า ท่านอาจจะเป็นโรคใดๆ ต่อไปได้
ร่างกายภายนอก เรามองเราเห็นได้ด้วยตา แต่ภายในหล่ะ เกิดอะไรมีอะไรขึ้นบ้าง เราไม่สามารถรู้เองได้เลย
นอกเสียจาก โรคภัยมันแสดงอาการออกมาแล้ว และส่วนใหญ่ ก็เป็นขั้นรุนแรง ที่เกินจะเยียวยารักษาได้
ฉะนั้น อย่าได้ประมาทกันอีกต่อไปเลยครับ รีบทำเสียแต่วันนี้ อย่าให้ต้องเสียโอกาสเหมือนอย่างผม ก่อนที่อะไรจะสายเกินไป
-เดือนๆนึงเราจ่ายค่ามือถือเพื่อโทรหาแฟนเท่าไหร่
-เรามีเวลาเล่นโทรศัพท์เพื่อคุยกับคนอื่น ติดตามเรื่องของคนอื่น กี่ชั่วโมงต่อวัน ต่อเดือน
-เราทุ่มเทเวลาทำงานมากมาย ทั้งที่เราก็ไม่ได้รักมัน และมันก็ไม่ได้รักเรา แต่ที่ทำก็เพราะเงิน เพราะความจำเป็น
-เราพาแฟน พาเพื่อน ไปเที่ยว ไปกินบุฟเฟ่ต์ ไปปาร์ตี้ สังสรรค์กันเดือนละเท่าไหร่
-เราซื้อเครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าสวยๆ ต่อปีคิดแล้วเป็นเงินเท่าไหร่
-เราซื้อคอมพิวเตอร์ มือถือ อุปกรณ์แต่งรถต่างๆ ต่อปี คิดเป็นเงินเท่าไหร่
กับเงิน แค่ไม่กี่พันบาท เพื่อคนที่ดูแลเรามาทั้งชีวิต
กับเวลา ที่ต่อให้รวยล้นฟ้ายังไง ก็ไม่สามารถซื้อได้
วันนี้ เราลองคิดทบทวนดูชีวิตที่ผ่านมาแล้วบ้างหรือยัง ว่าเราลืมอะไรไป
มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยอยู่ทุกวัน จนกลายเป็นเรื่องปกติ บางครั้งก็คิดว่าน่าเบื่อน่ารำคาญด้วยซ้ำ
-คนที่โทรหาคุณ ในเวลาที่คุณกำลังทำงาน เพียงเพราะเค้าแค่คิดถึง และคุณก็ได้ยินประโยคเดิมๆซ้ำๆ "กินข้าวหรือยังลูก" "งานยุ่งมั๊ยลูก" "ดูแลสุขภาพดีๆ นะ"
-คนที่รอทำกับข้าวให้คุณกิน ในขณะที่คุณกลับอยากไปกินข้าวนอกบ้านกับแฟน อยากไปกินบุฟเฟ่ต์ อยากไปสังสรรค์กับเพื่อนๆที่ทำงาน
-คนที่เคยเปรยๆว่า อยากไปทำบุญ อยากมีเวลาอยู่กับคุณบ้าง แต่คุณยังคงติดงาน ติดลูกค้า ติดแฟน และด้วยเหตุผลข้ออ้างต่างๆ นาๆ
-คนที่บอกให้คุณประหยัดๆ แต่คุณอยากได้มือถือเครื่องใหม่ ทั้งที่เครื่องเก่าก็ยังใช้ได้ แต่กลัวว่าจะน้อยหน้าคนอื่น
-คนที่บอกให้คุณรู้จักฝากเงิน เก็บเงินบ้าง แต่คุณอยากได้เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า กระเป๋าสวยๆ ที่ใช้เพียงครั้งสองครั้งก็เก็บใส่ตู้ รอวันเป็นขยะ
คุณมีเงิน มีเวลาให้กับคนอื่น
แต่กับคนที่ให้ชีวิตคุณมา เลี้ยงดูคุณมา ดูแลคุณมาทั้งชีวิต คุณลืมเค้าไปหรือเปล่า?
คำพูด หลังจากที่หมอวินิจฉัยแล้วว่า แม่ผมอาจจะอยู่ได้แค่ 6 เดือน
แกถึงกับหลั่งน้ำตา และบอกว่า "ขออยู่กับลูกอีกซัก 4-5 ปี ไม่ได้เหรอ"
ผมยังคงสะเทือนใจ กับคำพูดของแม่ในวันนั้น และไม่อยากจะให้ใครต้องมาเจอชะตากรรมแบบเดียวกับผม
ผมมีอะไรหลายๆ อย่าง ที่อยากจะทำให้แม่ พาแม่ไปกินข้าว พาแม่ไปวัด ไปเที่ยว ไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้ใส่
แต่วันนี้ ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว ผมไม่สามารถที่จะตอบแทนบุญคุณท่านแบบนั้นได้อีกแล้ว
ในวันนี้ ผมจึงอยากจะทำดีเพื่อแม่ ด้วยการนำข้อมูลต่างๆ ที่ผมพอจะรวบรวมมาได้ เกี่ยวกับโปรแกรมตรวจสุขภาพ จากโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
มาให้ท่านได้ลองพิจารณาดูว่า กับเงินแค่ไม่กี่พันบาท กับการที่เราจะรักษาชีวิตของคนที่เรารัก ให้อยู่กับเราไปนานๆ ท่านเห็นว่าสมควรหรือไม่
ผมเข้าใจในบางเรื่อง เพราะเคยประสบมาก่อน เช่นผู้ใหญ่ มักจะมีความคิดอยู่ว่า
"ไม่เอาไม่อยากไป เสียเงินเสียทองเปล่าๆ"
"กลัวทำใจไม่ได้ ถ้าตรวจเจออะไรร้ายแรง"
"ไม่ต้องไปตรวจหรอก เปลืองเงิน ถ้าเป็นอะไรก็เป็นไป ตายๆไปเลย"
แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมอยากให้ลูกๆ อดทนซักนิด อธิบาย และโน้มน้าวให้ท่านได้เข้าใจว่า
"ตรวจเถอะนะ ถ้าเจอน้อยๆ มันจะรักษาง่าย ถ้าเป็นมากรักษาไม่ทันนะ"
"ไม่เปลืองเงินอะไรหรอก แค่ไม่กี่พัน วันหลังแม่ป่วยเป็นอะไรขึ้นมา หนูก็ต้องมาเสียเงินมากกว่านี้อีกนะ"
"ถ้าเป็นวันนี้ แล้วตายพรุ่งนี้ ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิ ป่วยเรื้อรัง โรคไต เบาหวาน ความดัน มะเร็ง ป่วยกันเป็น 5ปี 10ปี กว่าจะตาย เสียเงินมากกว่านี้อีกตั้งกี่เท่า"
"ถ้าเจออะไร ป่วยน้อยก็เจ็บตัวน้อย ป่วยมากเจ็บตัวมาก ทั้งเข็ม ทั้งมีดผ่าตัด ทั้งเจาะ ทั้งเฉือน แม่ไม่กลัวเหรอ"
ผมรู้ว่าเป็นงานยาก ที่กว่าจะโน้มน้าวให้บุพการีของท่านยอมไป เพราะผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะคิดแบบนี้
แต่ก็ขอให้คิดเถอะว่า "ทำความดี มันต้องมีอุปสรรค" ลองนึกถึงเวลาที่จีบสาว ง้อขอแฟนคืนดี ขายสินค้าให้ลูกค้า เสนอโปรเจคให้เจ้านายสิ เรายังพยายามได้
กับแค่เรื่อง ที่จะทำเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณกับเราแค่นี้ เราจะทำไม่ได้เชียวหรือ?