--------------------------
คืนนี้...ที่รอคอย
--------------------------
GTW/PSYCHO MAN
ฉันกลับมาบ้านหลังนี้อีกครั้ง
คืนหนาวเหน็บเยือกเย็นอ้างว่างเปล่าเปลี่ยวน่าสะพรึงกลัว เวิ้งฟ้าเยือกเย็นไร้เดือนไร้ดาว...ความมืดหม่นคลี่ม่านปีกครอบคลุมรอบด้าน ฉันพยายามมองฝ่าความมืดดำและไอหมอกหนาทึบ ขณะมือจับแขนตุ๊กตาน่ารักตัวหนึ่งแน่น และในที่สุดพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังคุ้นเคยแบบไม่รู้ตัว
อะไรบางอย่างในมือขยับไหว..ตุ๊กตาตัวแมวน่ารักน่าอุ้มน่ากอด เป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่ง แต่ฉันคล้ายมองเห็นอะไรซึ่ง
ซ่อนอยู่ล้ำลึกมากกว่านั้น ตุ๊กตาตัวเก่าเดินทางผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน กระทั่งแขนข้างหนึ่งของมันต้องถูกเข็มกลัดเย็บติดตัวเอาไว้
ฉันเคยมองจ้องเข้าไป ลึกภายในดวงตาไร้แวว มันก็แค่ตุ๊กตา... แต่นั่นเองทำให้ฉันรู้ว่าคิดผิด
น้องแมวตัวสีเขียวของมันทำมาจากไหมพรมและอัดด้วยสำลี นั่นไม่ได้ทำให้ฉันสงสัยอะไรมากไปกว่า การที่มันมองหน้าและพูดกับฉันราวกับจะให้กำลังใจ
ใช่แล้ว ตุ๊กตาแมวตัวนี้กำลังพยายามสื่อหรือบอกอะไรกับฉัน อย่างน้อยหัวใจไร้สภาพของมันกำลังทำอะไรบางอย่าง
เป็นปีแล้วสินะ..ไม่สิ...บางทีอาจจะนานมากกว่านั้น....
“แม่เข้าไปได้ใช่ไหม...”
ฉันได้ยินคำพูดของตัวเองขณะยืนกอดอกสั่นสะท้านด้วยความหนาวแห่งสายลมยะเยียบเย็น ไม่รู้ว่าทำไมต้องพูดแบบนั้นออกไป
“แม่”
เสียงของลูกทั้งสองคนเรียกขาน อย่างปิติยินดีก่อน เปิดประตูอย่างยินยอมพร้อมใจ ฉันยิ้มแก้มปริทันทีด้วยความดีใจ
การรอคอยอันยาวนาน ข้ามวันข้ามเดือน ตอนนี้ห้องอาหารเก่าอันคุ้นเคยปรากฏต่อหน้าแล้ว แทบไม่ต้องทายฉันก็รู้ว่า ลูกชายคนโตวัยเก้าขวบกำลังร่วมมือกับน้องสาววัยเจ็ดขวบในการจัดอาหารขึ้นโต๊ะวุ่นวายไปมาตามประสาเด็ก ฉันมองเห็นเปลวเทียนกำลังระริกไหวราวมีชีวิตในห้องอาหาร และแทบไม่ต้องนึกถึงรอยยิ้มของลูกทั้งสองผ่านกาลเวลายาวนานและสมหายใจโหยหา
ฉันสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ตุ๊กตาตัวแมวในมือขยับไหวเหมือนกำลังพยายามบอกให้ฉันซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลริน...น้ำตาซึ่งไม่ได้กัดกร่อนแค่หัวใจของฉัน หากมันกำลังละลายร้ายแรงกับจิตใจอ่อนไหวเหนื่อยล้า
เสียดายว่าฉันไม่ได้ช่วยอะไรกับลูกเลยในการทำอาหารหรือจัดห้องเลยสักนิด เพียงใบหน้าชองลูกสาวลูกชายหันมาพร้อมรอยยิ้มน่ารักก็เกินพอ
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกี่ครั้งแล้วนะ
“พวกเรารอคุณแม่อยู่นะคะ”
เสียงหวานใสไม่ทุกข์ร้อนของลูกสาวทำให้ฉันลากกระชากตัวเองออกมาจากภวังค์ วัยเด็กไร้เดียงสาของเธอช่างน่ากอดน่าอุ้มเหลือเกิน
“ผมทำอาหารของโปรดคุณแม่ด้วยนะครับ”
ลูกชายคนโตเหมือนไม่ยอมให้น้องสาวทำคะแนน เขารีบเดินมาเกาะแขนฉันด้วยสภาพเหงื่อพราวใบหน้า ก่อนชักชวนให้มองอาหารจัดตามประสาเด็กบนโต๊ะอย่างภูมิใจ
ไม่ง่ายเลยกับการที่เด็กสองคนจะเตรียมอาหารการกินได้แบบนี้ ลูกทั้งสองคนต้องเตรียมการเป็นอย่างดี ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า วันเวลาที่พวกเรามาพบกันปีละครั้ง งานแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กๆ เลย หากเรื่องแบบนี้ทั้งสองคนเข้าใจมากกว่าคนอื่นมากมายหลายคนด้วยซ้ำ
“สุขสันต์วันแม่นะครับ”
ลูกชายยังแสดงความเป็นผู้นำพลางยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจขณะดึงแขนน้องสาวมายืนตรงหน้าเตรียม พร้อมรับคำอวยพรทักทาย นัยน์ตามีประกายแห่งความอบอุ่น
ท้องฟ้าด้านนอกคำรามครืน พายุกำลังมาเยือน พร้อมแสงจรัสเจิดจ้าวาบไหวเป็นระยะ
ฉันแทบสัมผัสได้ถึงเพดานห้องกำลังสะท้านสะเทือน ฝนฟ้าหลงฤดูมักมาเยือนโดยไม่จำเป็นต้องรอโอกาสเหมาะสม แสงอสนีบาตกระทบใบหน้าลูกทั้งสองคนวูบหนึ่งทำให้ดูซีดขาวราวเป็นหุ่นปั้นหรือซากศพสะท้านวิญญาณ
นั่นไม่ใช่เรื่องจริง
“มาทานข้าวกันเถอะค่ะ คุณแม่”
ลูกสาวเงยหน้ามองก่อนจูงแขนฉันไปนั่งโต๊ะ ซึ่งมีอาหารง่ายๆ ตามประสาเด็กจะทำได้ ลูกชิ้นย่างไม้นั้นอาจสุกจนไหม้เกรียม ปลาย่างตัวโตดูกึ่งสุกกึ่งดิบ ข้างหุงดูแฉะเกินเหตุมากกว่าจะมาตรฐานบนโต๊ะอาหารทั่วไป แต่ฉันรู้ว่าลูกทั้งสองคนพยายามเต็มที่แล้ว
ฉันฝืนยิ้ม ก่อนหันไปมองประตูห้องอาหารอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นเงาวูบวาบราวมีใครบางคนเดินผ่านหน้าห้องซึ่งทำให้ใจสั่นสะท้านแบบไม่มีเหตุผล
“คุณพ่อไม่มาหรอกค่ะ”
ลูกสาวเกาะแขนพลางเงยหน้ามองด้วยสายตาสดใสแต่เต็มไปด้วยการให้ปลอบโยนและให้กำลังใจ นั่นทำให้ฉันอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเหลือเกิน
“ใช่..คุณพ่อไม่มานานมากแล้ว”
ฉันได้ยินเสียงแหบพร่าของตัวเองคล้ายรำพึง....ใช่สิ...วันนี้เป็นวันแม่ ไม่ใช่วันพ่อ แล้วคุณพ่อของลูกหายไปไหน ทำไมไม่โผล่หน้าโผล่หัวมาหาพวกเราเลย
คุณพ่อผู้เก็บอารมณ์ คุณพ่อผู้ทนอารมณ์เกรี้ยวกราดของฉันได้เสมอ โอยเฉพาะยามฉันสติแตก หากเขาใจเย็นเหลือเกิน ไม่สนใจกระทั่งบางครั้งฉันปาหน้าเขาด้วยสิ่งของเท่าที่จะหยิบฉวยได้ด้วยความหึงหวงไร้เหตุผล
ทำไมต้องกลับบ้านช้า
ทำไมต้องไปกินเหล้ากับเพื่อน
ทำไมไม่กอดฉันก่อนออกจากบ้านสักนิด
นอกใจใช่ไหม...
ภาพสุดท้ายที่ฉันจำได้คือ ฉันขว้างแจกันซึ่งวางบนหัวเตียงแบบลืมตัว แจกันอันนั้นเขาเก็บดอกไม้มาใส่ไว้เพียงเพื่อให้ฉันรู้สึกสดชื่นยามนอน
แจกันสร้างรอยแตกบริเวณปลายคิ้วของเขาจนเลือดไหลนอง
ขณะฉันกำลังตะลึงกับผลงานของตัวเอง เขากลับมองหน้าฉันพลางยิ้มอย่างใจเย็น สีหน้าท่าทางกังวลห่วงใยขณะเดินมาหาและโอบกอดฉันไว้ก่อนกระซิบข้างหูอย่างให้กำลังใจไม่ถือสากับความเจ้าอารมณ์ของฉัน
“ไม่เป็นไรนะที่รัก...ผมไม่เป็นไร”
ฉันไม่รู้จะร้องไห้ หรือหัวเราะดี คนบ้าแบบนี้ก็มีในโลก บ้าประสาท. ควรจะห่วงตัวเองมากกว่า..แต่คนบ้าแบบนี้ล่ะที่ฉันทั้งรักทั้งโมโห ทำไมแค่เดือนหนึ่งทิ้งครอบครัวไปหาเพื่อนกินเหล้าเมายากันตั้งหนึ่งครั้ง มันมากเกินไปสำหรับฉัน สามีที่ดีต้องให้เวลากับครอบครัวทุกเวลาทุกนาทีไม่ใช่หรืออย่างไรกัน และควรทนทานกับการไร้เหตุผลเจ้าอารมณ์ของภรรยาได้ไม่ใช่หรือ
แต่ฉันก็อยากให้เขาโกรธบ้าง...เขาจะได้เหมือนคนธรรมดา... ฉันคงบ้าไปแล้วกับความคิดไม่พอเพียงแบบนี้
เพราะคิดแบบนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
และอ้อมกอดอบอุ่นแบบนั้นหายไปนานแค่ไหนแล้วนะ
คืนนี้....ที่รอคอย
คืนนี้...ที่รอคอย
--------------------------
GTW/PSYCHO MAN
ฉันกลับมาบ้านหลังนี้อีกครั้ง
คืนหนาวเหน็บเยือกเย็นอ้างว่างเปล่าเปลี่ยวน่าสะพรึงกลัว เวิ้งฟ้าเยือกเย็นไร้เดือนไร้ดาว...ความมืดหม่นคลี่ม่านปีกครอบคลุมรอบด้าน ฉันพยายามมองฝ่าความมืดดำและไอหมอกหนาทึบ ขณะมือจับแขนตุ๊กตาน่ารักตัวหนึ่งแน่น และในที่สุดพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังคุ้นเคยแบบไม่รู้ตัว
อะไรบางอย่างในมือขยับไหว..ตุ๊กตาตัวแมวน่ารักน่าอุ้มน่ากอด เป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่ง แต่ฉันคล้ายมองเห็นอะไรซึ่ง
ซ่อนอยู่ล้ำลึกมากกว่านั้น ตุ๊กตาตัวเก่าเดินทางผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน กระทั่งแขนข้างหนึ่งของมันต้องถูกเข็มกลัดเย็บติดตัวเอาไว้
ฉันเคยมองจ้องเข้าไป ลึกภายในดวงตาไร้แวว มันก็แค่ตุ๊กตา... แต่นั่นเองทำให้ฉันรู้ว่าคิดผิด
น้องแมวตัวสีเขียวของมันทำมาจากไหมพรมและอัดด้วยสำลี นั่นไม่ได้ทำให้ฉันสงสัยอะไรมากไปกว่า การที่มันมองหน้าและพูดกับฉันราวกับจะให้กำลังใจ
ใช่แล้ว ตุ๊กตาแมวตัวนี้กำลังพยายามสื่อหรือบอกอะไรกับฉัน อย่างน้อยหัวใจไร้สภาพของมันกำลังทำอะไรบางอย่าง
เป็นปีแล้วสินะ..ไม่สิ...บางทีอาจจะนานมากกว่านั้น....
“แม่เข้าไปได้ใช่ไหม...”
ฉันได้ยินคำพูดของตัวเองขณะยืนกอดอกสั่นสะท้านด้วยความหนาวแห่งสายลมยะเยียบเย็น ไม่รู้ว่าทำไมต้องพูดแบบนั้นออกไป
“แม่”
เสียงของลูกทั้งสองคนเรียกขาน อย่างปิติยินดีก่อน เปิดประตูอย่างยินยอมพร้อมใจ ฉันยิ้มแก้มปริทันทีด้วยความดีใจ
การรอคอยอันยาวนาน ข้ามวันข้ามเดือน ตอนนี้ห้องอาหารเก่าอันคุ้นเคยปรากฏต่อหน้าแล้ว แทบไม่ต้องทายฉันก็รู้ว่า ลูกชายคนโตวัยเก้าขวบกำลังร่วมมือกับน้องสาววัยเจ็ดขวบในการจัดอาหารขึ้นโต๊ะวุ่นวายไปมาตามประสาเด็ก ฉันมองเห็นเปลวเทียนกำลังระริกไหวราวมีชีวิตในห้องอาหาร และแทบไม่ต้องนึกถึงรอยยิ้มของลูกทั้งสองผ่านกาลเวลายาวนานและสมหายใจโหยหา
ฉันสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ตุ๊กตาตัวแมวในมือขยับไหวเหมือนกำลังพยายามบอกให้ฉันซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลริน...น้ำตาซึ่งไม่ได้กัดกร่อนแค่หัวใจของฉัน หากมันกำลังละลายร้ายแรงกับจิตใจอ่อนไหวเหนื่อยล้า
เสียดายว่าฉันไม่ได้ช่วยอะไรกับลูกเลยในการทำอาหารหรือจัดห้องเลยสักนิด เพียงใบหน้าชองลูกสาวลูกชายหันมาพร้อมรอยยิ้มน่ารักก็เกินพอ
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกี่ครั้งแล้วนะ
“พวกเรารอคุณแม่อยู่นะคะ”
เสียงหวานใสไม่ทุกข์ร้อนของลูกสาวทำให้ฉันลากกระชากตัวเองออกมาจากภวังค์ วัยเด็กไร้เดียงสาของเธอช่างน่ากอดน่าอุ้มเหลือเกิน
“ผมทำอาหารของโปรดคุณแม่ด้วยนะครับ”
ลูกชายคนโตเหมือนไม่ยอมให้น้องสาวทำคะแนน เขารีบเดินมาเกาะแขนฉันด้วยสภาพเหงื่อพราวใบหน้า ก่อนชักชวนให้มองอาหารจัดตามประสาเด็กบนโต๊ะอย่างภูมิใจ
ไม่ง่ายเลยกับการที่เด็กสองคนจะเตรียมอาหารการกินได้แบบนี้ ลูกทั้งสองคนต้องเตรียมการเป็นอย่างดี ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า วันเวลาที่พวกเรามาพบกันปีละครั้ง งานแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กๆ เลย หากเรื่องแบบนี้ทั้งสองคนเข้าใจมากกว่าคนอื่นมากมายหลายคนด้วยซ้ำ
“สุขสันต์วันแม่นะครับ”
ลูกชายยังแสดงความเป็นผู้นำพลางยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจขณะดึงแขนน้องสาวมายืนตรงหน้าเตรียม พร้อมรับคำอวยพรทักทาย นัยน์ตามีประกายแห่งความอบอุ่น
ท้องฟ้าด้านนอกคำรามครืน พายุกำลังมาเยือน พร้อมแสงจรัสเจิดจ้าวาบไหวเป็นระยะ
ฉันแทบสัมผัสได้ถึงเพดานห้องกำลังสะท้านสะเทือน ฝนฟ้าหลงฤดูมักมาเยือนโดยไม่จำเป็นต้องรอโอกาสเหมาะสม แสงอสนีบาตกระทบใบหน้าลูกทั้งสองคนวูบหนึ่งทำให้ดูซีดขาวราวเป็นหุ่นปั้นหรือซากศพสะท้านวิญญาณ
นั่นไม่ใช่เรื่องจริง
“มาทานข้าวกันเถอะค่ะ คุณแม่”
ลูกสาวเงยหน้ามองก่อนจูงแขนฉันไปนั่งโต๊ะ ซึ่งมีอาหารง่ายๆ ตามประสาเด็กจะทำได้ ลูกชิ้นย่างไม้นั้นอาจสุกจนไหม้เกรียม ปลาย่างตัวโตดูกึ่งสุกกึ่งดิบ ข้างหุงดูแฉะเกินเหตุมากกว่าจะมาตรฐานบนโต๊ะอาหารทั่วไป แต่ฉันรู้ว่าลูกทั้งสองคนพยายามเต็มที่แล้ว
ฉันฝืนยิ้ม ก่อนหันไปมองประตูห้องอาหารอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นเงาวูบวาบราวมีใครบางคนเดินผ่านหน้าห้องซึ่งทำให้ใจสั่นสะท้านแบบไม่มีเหตุผล
“คุณพ่อไม่มาหรอกค่ะ”
ลูกสาวเกาะแขนพลางเงยหน้ามองด้วยสายตาสดใสแต่เต็มไปด้วยการให้ปลอบโยนและให้กำลังใจ นั่นทำให้ฉันอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเหลือเกิน
“ใช่..คุณพ่อไม่มานานมากแล้ว”
ฉันได้ยินเสียงแหบพร่าของตัวเองคล้ายรำพึง....ใช่สิ...วันนี้เป็นวันแม่ ไม่ใช่วันพ่อ แล้วคุณพ่อของลูกหายไปไหน ทำไมไม่โผล่หน้าโผล่หัวมาหาพวกเราเลย
คุณพ่อผู้เก็บอารมณ์ คุณพ่อผู้ทนอารมณ์เกรี้ยวกราดของฉันได้เสมอ โอยเฉพาะยามฉันสติแตก หากเขาใจเย็นเหลือเกิน ไม่สนใจกระทั่งบางครั้งฉันปาหน้าเขาด้วยสิ่งของเท่าที่จะหยิบฉวยได้ด้วยความหึงหวงไร้เหตุผล
ทำไมต้องกลับบ้านช้า
ทำไมต้องไปกินเหล้ากับเพื่อน
ทำไมไม่กอดฉันก่อนออกจากบ้านสักนิด
นอกใจใช่ไหม...
ภาพสุดท้ายที่ฉันจำได้คือ ฉันขว้างแจกันซึ่งวางบนหัวเตียงแบบลืมตัว แจกันอันนั้นเขาเก็บดอกไม้มาใส่ไว้เพียงเพื่อให้ฉันรู้สึกสดชื่นยามนอน
แจกันสร้างรอยแตกบริเวณปลายคิ้วของเขาจนเลือดไหลนอง
ขณะฉันกำลังตะลึงกับผลงานของตัวเอง เขากลับมองหน้าฉันพลางยิ้มอย่างใจเย็น สีหน้าท่าทางกังวลห่วงใยขณะเดินมาหาและโอบกอดฉันไว้ก่อนกระซิบข้างหูอย่างให้กำลังใจไม่ถือสากับความเจ้าอารมณ์ของฉัน
“ไม่เป็นไรนะที่รัก...ผมไม่เป็นไร”
ฉันไม่รู้จะร้องไห้ หรือหัวเราะดี คนบ้าแบบนี้ก็มีในโลก บ้าประสาท. ควรจะห่วงตัวเองมากกว่า..แต่คนบ้าแบบนี้ล่ะที่ฉันทั้งรักทั้งโมโห ทำไมแค่เดือนหนึ่งทิ้งครอบครัวไปหาเพื่อนกินเหล้าเมายากันตั้งหนึ่งครั้ง มันมากเกินไปสำหรับฉัน สามีที่ดีต้องให้เวลากับครอบครัวทุกเวลาทุกนาทีไม่ใช่หรืออย่างไรกัน และควรทนทานกับการไร้เหตุผลเจ้าอารมณ์ของภรรยาได้ไม่ใช่หรือ
แต่ฉันก็อยากให้เขาโกรธบ้าง...เขาจะได้เหมือนคนธรรมดา... ฉันคงบ้าไปแล้วกับความคิดไม่พอเพียงแบบนี้
เพราะคิดแบบนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
และอ้อมกอดอบอุ่นแบบนั้นหายไปนานแค่ไหนแล้วนะ