ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมาได้นั่งรถไฟ (ฟรี) ชิวๆไปเชียงใหม่กับพี่สาวตัวเล็ก เรียกว่าเป็นทริปที่ตั้งใจไปแบบไม่วางแผน เจออะไรก็แก้ไขเอาตอนนั้น ซึ่งน้อยครั้งที่จะเป็นแบบนี้ ออกจากเพชรบุรีเย็นวันพฤ. ที่ 29 ก.ค. ปกตินั่งรถตู้ขึ้นกรุงเทพฯใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง เย็นวันนั้นก็พิเศษเลย เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะใช้ชีวิตแบบไม่สะดวกสบายบ้าง ประมาณว่าอยากลองลำบากใช่มั้ย .. ด๊าายยย !! จัดไป 5 ชั่วโมงถึงหัวลำโพงแบบรถไฟเที่ยวทุ่มครึ่งก็ไปไกลแล้ว
P : เอาไงดีอ่ะคุณ
A : ชั้นว่าหาไรกินก่อนค่อยว่ากัน
P : ไปดิ
ได้ลูกชิ้นทอดข้างถนนช่วยชีวิตไว้ แล้วฝนก็เริ่มตก เราเข้าสถานีไปถามเที่ยวรถไฟรอบถัดไป โทรถามรถทัวร์ว่ามีว่างบ้างหรือเปล่า .. คำตอบก็เหมือนกัน คือทั้งรถทัวร์รถไฟเต็มทุกเที่ยว ดูปากสุจิตรานะคะ . เ ต็ ม ทุ ก เ ที่ ย ว .
สี่ทุ่มกว่าแล้ว ฝนตกด้วย กลับไปตั้งหลักที่ห้วยขวางก่อนดีกว่า พักคืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยคิดต่อ แต่มันก็ไม่ง่ายแบบนั้น ก็อย่างที่บอกค่ะฝนตก ติดฝนอยู่ MRT ห้วยขวางพร้อมกับชาวกรุงเทพฯอีกเป็นร้อยชีวิต สักพักประมาณชั่วโมงกว่าฝนเริ่มซา เราก็เดินลุยน้ำ คือมันไม่ใช่น้ำฝนธรรมดา นี่น้ำจากคลองแสนแสบหรือเปล่า ? อยากรู้ สภาพก็คล้ายนะ เดินเข้าซอยปกติใช้ก็ประมาณ 10 นาทีวันนั้นใช้เวลาเป็น 2 เท่าค่ะ ช่วงเข้าซอยนี่ถึงน่อง
เช้า ศ. 30 ก.ค. ได้เวลาเดินทางจริงๆสักที ถึงตู้นอนจะเต็มแต่ก็ยังดีที่มีเบาะนั่ง (ชั้น3) ซึ่งเป็นรถไฟฟรีเพื่อประชาชนคนอยากเดินทาง ออกจากหัวลำโพงตรงเวลา 13.45 น. คนเยอะค่ะ แต่ก็ทยอยลงระหว่างทางบ้าง ขึ้นมาใหม่บ้าง ดูวิวข้างหน้าต่างเพลินๆ ช้อปสินค้า อาหารไปพลาง แบบเปลี่ยนหน้าที่กับแม่ค้า แทนที่เราจะเดินดูของ แต่อยู่บนรถไฟนั้น ของมาเดินดูเราแทน ถึงลพบุรีคนก็แน่น เบียดเหลือเกิน คนขึ้นมาใหม่ส่วนใหญ่จะถือตั๋วยืน คือรอจังหวะผู้โดยสารคนอื่นลง ที่นั่งว่างนั้นถึงจะเป็นของเรา ก็ต้องมาลุ้นกันตลอดทางอีกที ครอบครัวน้องคนหนึ่งก็ขึ้นมาจุดหมายเดียวกับเราคือเชียงใหม่ ไม่มีปัญหาที่ไม่ได้นั่งเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีเกี่ยงงอนอะไร แม่ค้ามาก็หลบไม่เห็นต้องบ่น
แต่น้ำใจย่อมเกิดขึ้นในทุกสังคม ถ้าเราเชื่อแบบนั้น คุณลุงคนหนึ่งที่มาพร้อมไม้เท้าช่วยพยุงร่าง แต่รวมๆก็ยังแข็งแรงดี ประสบการณ์เยอะและต้องการบอกเล่าตลอดเวลา ก็พูดขึ้นมา “หนู ,, มาเปลี่ยนกับลุง เดี๋ยวเราผลัดกันนั่งนะ จะได้ไม่เมื่อย”
ปิ๊งๆ ประทับใจอ่ะ ดูคนวัยรุ่นอย่างเรานี่กลายเป็นใจแคบไปเลย
พอคุณลุงเมื่อย น้องก็ลุกให้ลุงได้พักน่องเหมือนเดิม ต่อมาคุณลุงก็ชวนคุณแม่ของน้องบ้างแต่คุณแม่คงอยากให้คนนั่งเป็นน้องคนเดิมมากกว่าเลยบอกลุงว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เมื่อย” โห คุณแม่ -*- เป็นเพราะอะไรก็ยากจะคาดเดา ในสังคมก็มีคนทั้งคนอยากมีอยากได้ ไม่พอใจในกติกาของแต่ละที่ ทำยังไงเพื่อให้ได้มาก็ทำ ทั้งอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองหรืออะไรก็แล้วแต่โดยไม่สนใจวิธีการ ซึ่งคุณแม่คนนี้ไม่มีก็ไม่เอา ไม่ได้นั่งก็แค่ยืน ถึงจังหวะเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น .. การเดินทางนี่มันช่วยขยายขนาดหัวใจ เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น หลายอย่างจริงๆ
ตอนแรกที่รู้ว่าต้องนั่งชั้น 3 จนถึงเชียงใหม่ก็ท้อเลยค่ะ ต้องขอบคุณเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้มีกำลังใจผ่านมันมาได้จนถึงจุดหมายเวลา 6 โมงเช้าพอดี
[CR] เชียงดาว . ฝน . ฟิล์ม
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมาได้นั่งรถไฟ (ฟรี) ชิวๆไปเชียงใหม่กับพี่สาวตัวเล็ก เรียกว่าเป็นทริปที่ตั้งใจไปแบบไม่วางแผน เจออะไรก็แก้ไขเอาตอนนั้น ซึ่งน้อยครั้งที่จะเป็นแบบนี้ ออกจากเพชรบุรีเย็นวันพฤ. ที่ 29 ก.ค. ปกตินั่งรถตู้ขึ้นกรุงเทพฯใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง เย็นวันนั้นก็พิเศษเลย เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะใช้ชีวิตแบบไม่สะดวกสบายบ้าง ประมาณว่าอยากลองลำบากใช่มั้ย .. ด๊าายยย !! จัดไป 5 ชั่วโมงถึงหัวลำโพงแบบรถไฟเที่ยวทุ่มครึ่งก็ไปไกลแล้ว
P : เอาไงดีอ่ะคุณ
A : ชั้นว่าหาไรกินก่อนค่อยว่ากัน
P : ไปดิ
ได้ลูกชิ้นทอดข้างถนนช่วยชีวิตไว้ แล้วฝนก็เริ่มตก เราเข้าสถานีไปถามเที่ยวรถไฟรอบถัดไป โทรถามรถทัวร์ว่ามีว่างบ้างหรือเปล่า .. คำตอบก็เหมือนกัน คือทั้งรถทัวร์รถไฟเต็มทุกเที่ยว ดูปากสุจิตรานะคะ . เ ต็ ม ทุ ก เ ที่ ย ว .
สี่ทุ่มกว่าแล้ว ฝนตกด้วย กลับไปตั้งหลักที่ห้วยขวางก่อนดีกว่า พักคืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยคิดต่อ แต่มันก็ไม่ง่ายแบบนั้น ก็อย่างที่บอกค่ะฝนตก ติดฝนอยู่ MRT ห้วยขวางพร้อมกับชาวกรุงเทพฯอีกเป็นร้อยชีวิต สักพักประมาณชั่วโมงกว่าฝนเริ่มซา เราก็เดินลุยน้ำ คือมันไม่ใช่น้ำฝนธรรมดา นี่น้ำจากคลองแสนแสบหรือเปล่า ? อยากรู้ สภาพก็คล้ายนะ เดินเข้าซอยปกติใช้ก็ประมาณ 10 นาทีวันนั้นใช้เวลาเป็น 2 เท่าค่ะ ช่วงเข้าซอยนี่ถึงน่อง
เช้า ศ. 30 ก.ค. ได้เวลาเดินทางจริงๆสักที ถึงตู้นอนจะเต็มแต่ก็ยังดีที่มีเบาะนั่ง (ชั้น3) ซึ่งเป็นรถไฟฟรีเพื่อประชาชนคนอยากเดินทาง ออกจากหัวลำโพงตรงเวลา 13.45 น. คนเยอะค่ะ แต่ก็ทยอยลงระหว่างทางบ้าง ขึ้นมาใหม่บ้าง ดูวิวข้างหน้าต่างเพลินๆ ช้อปสินค้า อาหารไปพลาง แบบเปลี่ยนหน้าที่กับแม่ค้า แทนที่เราจะเดินดูของ แต่อยู่บนรถไฟนั้น ของมาเดินดูเราแทน ถึงลพบุรีคนก็แน่น เบียดเหลือเกิน คนขึ้นมาใหม่ส่วนใหญ่จะถือตั๋วยืน คือรอจังหวะผู้โดยสารคนอื่นลง ที่นั่งว่างนั้นถึงจะเป็นของเรา ก็ต้องมาลุ้นกันตลอดทางอีกที ครอบครัวน้องคนหนึ่งก็ขึ้นมาจุดหมายเดียวกับเราคือเชียงใหม่ ไม่มีปัญหาที่ไม่ได้นั่งเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีเกี่ยงงอนอะไร แม่ค้ามาก็หลบไม่เห็นต้องบ่น
แต่น้ำใจย่อมเกิดขึ้นในทุกสังคม ถ้าเราเชื่อแบบนั้น คุณลุงคนหนึ่งที่มาพร้อมไม้เท้าช่วยพยุงร่าง แต่รวมๆก็ยังแข็งแรงดี ประสบการณ์เยอะและต้องการบอกเล่าตลอดเวลา ก็พูดขึ้นมา “หนู ,, มาเปลี่ยนกับลุง เดี๋ยวเราผลัดกันนั่งนะ จะได้ไม่เมื่อย”
ปิ๊งๆ ประทับใจอ่ะ ดูคนวัยรุ่นอย่างเรานี่กลายเป็นใจแคบไปเลย
พอคุณลุงเมื่อย น้องก็ลุกให้ลุงได้พักน่องเหมือนเดิม ต่อมาคุณลุงก็ชวนคุณแม่ของน้องบ้างแต่คุณแม่คงอยากให้คนนั่งเป็นน้องคนเดิมมากกว่าเลยบอกลุงว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เมื่อย” โห คุณแม่ -*- เป็นเพราะอะไรก็ยากจะคาดเดา ในสังคมก็มีคนทั้งคนอยากมีอยากได้ ไม่พอใจในกติกาของแต่ละที่ ทำยังไงเพื่อให้ได้มาก็ทำ ทั้งอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองหรืออะไรก็แล้วแต่โดยไม่สนใจวิธีการ ซึ่งคุณแม่คนนี้ไม่มีก็ไม่เอา ไม่ได้นั่งก็แค่ยืน ถึงจังหวะเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น .. การเดินทางนี่มันช่วยขยายขนาดหัวใจ เห็นในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น หลายอย่างจริงๆ
ตอนแรกที่รู้ว่าต้องนั่งชั้น 3 จนถึงเชียงใหม่ก็ท้อเลยค่ะ ต้องขอบคุณเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้มีกำลังใจผ่านมันมาได้จนถึงจุดหมายเวลา 6 โมงเช้าพอดี