บทที่๑ ชีวิตที่ไร้ค่า
ณ แมนชันเล็กๆในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง
ประตูของห้องๆหนึ่งเปิดออกพร้อมเสียงขานที่ดังขึ้น
“ไปเรียนก่อนนะครับ”
คนที่เดินออกมาจากหลังประตูคือ ไนท์แมร์ เทอร์รัม
ชื่อเรียกของเขาคือ นิค
เช่นเดียวกับทุกวันนิคออกจากบ้านในตอนเช้าเพื่อไปที่โรงเรียน
ซึ่งห่างจากบ้านไปหลายกิโลเมตร แต่ด้วยความเป็นเมืองใหญ่
นิคต้องเดินผ่านย่านชุมชนศูนย์การค้าและขึ้นรถไฟใต้ดินอีกทอดเพื่อไปโรงเรียน
“เฮ้ ทำหน้าเบื่อโลกเหมือนเคยเลยนะ”
นี่คือคำทักทายของ “เชค” เพื่อนร่วมห้องที่มักมาโรงเรียนในเวลาเดียวกัน
“เออ” นิคตอบกลับโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรเหมือนเคย
ใช่แล้วเหมือนที่เชคพูดทักทายนิกเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้
ชีวิตนักเรียนที่ต้องเอาแต่เรียนโดยวัดผลกับแค่สิ่งที่จำได้ในหนังสือ
การคบหาเพื่อนฝูงที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน
การใช้ชีวิตของคนทั่วไปที่ทำแต่สิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาทุกๆวัน
ไม่ว่าจะการทานข้าวกับเพื่อนมากมาย ชีวิตครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า
อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีแต่แสงสี เพื่อนฝูงมากมายในชีวิตโรงเรียนมัธยม
ทุกสิ่งมันแสนสุขจนน่าขยะแขยง ใช่แล้วมันไม่ใช่เลย
สิ่งต่างๆที่ดูแสนสุขนั้นมันเป็นเพียงเรื่องโกหกและภาพลวงตาที่สวยงาม
แต่เบื้องหลังนั้นมีแต่ความเน่าเฟะจนน่าสะอิดสะเอียน
เพื่อนฝูงที่ไม่ต้อนรับเมื่อเกิดปัญหา ครอบครัวที่พร้อมหน้าแต่ทะเลาะกันแทบทุกวัน
เมืองใหญ่ที่มีแต่โจรปล้นและนักเลงตีกันโดยกฎหมายทำอะไรไม่ได้
แม้แต่ในโรงเรียนการกลั่นแกล้งที่รุนแรงก็ไม่มีใครกล้าปริปากบอกอาจารย์สักคน
ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความเน่าเฟะดำมืดและจอมปลอมน่าจนเบื่อหน่าย
ระหว่างที่นิคนั่งทานข้าวกลางวันอยู่ที่โรงอาหารอยู่ๆ
ก็มีกลุ่มผู้หญิงมานั่งทานข้าวที่โต๊ะข้างหลังและคุยกันเสียงดัง
“นี่เธอได้ดูข่าวรึเปล่าช่วงนี้มีโจรลักพาตัวด้วยนะชอบจับเด็กผู้หญิงน่ารักๆด้วยละ
แบบนี้ฉันต้องโดนหมายตาแน่เลย...ว๊ายๆอย่างเธอนะเหรอ? หมายความว่าไงย๊ะกรี๊ดๆ”
เสียงคุยแว๊ดๆดังจนนิคทนไม่ได้
“นี่พวกเธอเบาๆหน่อยได้ไหมมันรบกวนคนอื่นนะ”
นิคหันหลังไปต่อว่า
“อ๊ะ...ขอโทษค่ะ”
พวกเธอหันกลับไปแล้วซุบซิบกัน
“นี่ นั่นนะ ไนท์แมร์ ปีสองใช่ปะ หน้าตาน่ากลวอย่างที่เค้าลือกันเลย”
“นี่ฉันได้ยินนะเฟ้ย”
นิคพูดเบาๆหลังจากที่พากเธอกระซิบกันซะดังข้ามโต๊ะมาเข้าหูนิค
พวกเธอตกใจและรีบลุกเดินหนีไปที่อื่น
“ผู้หญิงนี่น่าเบื่อจริงๆ”
นิคบ่นบาๆแล้วทานข้าวเที่ยงต่อ
ระหว่างทางกลับนิคเจอกลุ่มนักเลงกำลังพาเด็กคนหนึ่งเดินสวนทางกัน
แน่นอนนิครู้ทันทีว่าต้องโดนพาไปซ้อมไม่ก็รีดไถแน่ๆซึ่งที่ประจำของพวกมันก็คือ
ข้างห้องเก็บของที่อยู่ข้างโรงอาหาร ถึงแม้นิคจะเบื่อหน่ายโลกนี้เพียงใด
แต่ก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าคนทำชั่วพวกนี้นักเพราะคนที่ทำให้โลกนี้เน่าเฟะคือคนชั่วเหล่านี้
หลังจากมองดูรอบๆตัวแล้วนิคก็เห็น“บัก” หมาจรจัดของโรงเรียนผ่านมาพอดี
นิคเรียกชื่อมันเบาๆพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงของเขา
แล้วขว้างบางสิ่งออกไปห้องเก็บของและก็เดินจากไป
แค่อึดใจเดียวก็เกิดเสียงดังโครมครามจนทุกคนต้องเหลียวไปดู
กลุ่มนักเลงเองก็ตกใจและรีบวิ่งหนีออกจากตรงนั้นเช่นกัน
นิคเดินกลับมาที่ห้องเรียนของเขาและพบว่าเชคกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะของนิค
“เฮ้เชค ชั้นนั่งที่ไม่ได้นะเฟ้ย”
“อ้อ...โทษทีนิคพอดีฉันได้ข่าวน่าสนใจมาด้วยหละเกี่ยวกับอาจารย์สอนเคมีนะ”
เชคพูดพร้อมลุกขึ้นมากอดคอนิคอย่างสนิดสนม
“เฮ้ยเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วคิดว่าฉันจะหายเคืองเหรอฟะเอาเถอะแล้วอาจารย์นั่นเป็นไงมั่ง”
นิคปัดมือเชคออกจากคอแล้วลงไปนั่งที่โต๊ะ
“เชค”คือหนึ่งในไม่กี่คนที่คุยกับนิคเพราะโดยปรกติแล้วนิคจะไม่แยแส
ผู้คนรอบข้างและท่าทางน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเข้ามาคุย
ยกเว้นแต่เชคที่ไม่ได้สนใจและเข้ามาคุยอยู่เสมอๆด้วยมุขฝืดๆอย่างร่าเริง
ถึงแม้ว่าส่วนมากเชคจะพูดอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนคนบ้าก็ตาม
ถึงนิคจะรำคานความโหวกเหวกของเชคไปบ้างแต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมากนัก
นานๆทีจึงตอบกลับไปบ้างให้ดูเป็นบทสนทนาปรกติเพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่มองว่า
เป็นคนบ้าที่พูดอยู่คนเดียวกับคนบ้าที่ไม่พูดอะไรอยู่ด้วยกัน
เชคนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้านิค
“ก็เมื่อวานนี้อาจารย์แกสะดุดล้มแขนเคล็ดจนมาสอนไม่ได้นะฉันว่า
ถ้าแกไม่ติดสาวพยาบาลก็สำออยแน่ๆเลย”
“ไม่หรอกน่ามนุษย์นะอ่อนแอ...
ร่างกายที่ได้รับแรงกระทบเพียงห้ากิโลกรัมที่จุดสำคัญก็ตายได้
สิบห้ากิโลกรัมที่กระดูกก็จะหัก ขาดอากาศได้นานสุดที่สิบนาทีก็ตายโดยสมบูรณ์
เสียเลือดมากกว่าพันเก้าร้อยซีซีก็ตาย มีเส้นประสาททั่วร่างกายแค่เข็มทิ่มลงไปตื้นๆ
ก็รู้สึกเจ็บแล้วและมีเนื้อเยื่อที่ฉีกขาดง่ายห่อหุ้มร่างกายที่ใช้แค่เล็บมือก็ฉีกออกได้
ไว้ป้องกันร่างกาย ทั้งจิตใจที่ถูกชักจูงได้ง่าย สัญชาตญาณการหลบภัยที่เรียกว่าความกลัว
ทำให้คนไม่กล้าสู้กับสิ่งที่กลัวได้ แล้วนายคิดว่ามนุษย์จะมีชีวิตรอดได้สักกี่ปีกัน”
นิคพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงธรรมดาและหน้าตาเบื่อโลกตามปรกติ
“เอ่อ...นั่นสินะ”
เชคตอบ แล้วอยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาจากทางด้านหลังนิค
“พูดแต่เรื่องน่ากลัวแบบนี้นะสิเลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นายไงละนิค”
นิคเอี้ยวคอไปมองต้นตอของเสียงนั้น
และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือ มิเรดออสทัม(Mired Ostum)
ซึ่งเพื่อนๆมักเรียกเธอว่า มัม เพราะเธอเป็นคนเจ้าระเบียบ
และชอบจัดแจงงานต่างๆให้เพื่อนในห้องเหมือนเป็นผู้ปกครอง
ทุกคนจึงเรียกเธอว่า Mom(แม่)
แต่เพราะเธอเรียนดีกีฬาเด่นหน้าตาสะสวยและหุ่นดีพวกผู้ชายส่านใหญ่
จึงไม่ค่อยมีปัญหากับเธอนี่แหละที่เค้าเรียกว่าคนสวยทำอะไรก็ไม่ผิด
“เรื่องของฉันน่ามัม”
นิคตอบกลับไปทันควันพร้อมหันน้ากลับมา
“แล้วเธอมีปัญหาอะไรถึงได้มารบกวนเวลาพักเที่ยงอันมีค่าของฉันละมัม”
มัมลากเก้าอี้มานั่งที่ด้านข้างโต๊ะนิค
“ของมันแน่อยู่แล้วนี่ไงงานวิชาฟิสิกส์ของฉันนายช่วยตรวจให้ทีสิว่าโอเครึยัง”
เธอยื่นรายงานส่งให้นิคอย่างไว แน่นอนมัมคือหนึ่งในไม่กี่คนที่คุยกับนิค
และเธอมักเอาเรื่องเรียนเข้ามาคุยแต่เป้าหมายที่แท้จริงของเธอนั้นยังไม่แน่ชัด
“เฮ้อ...เธอเองก็หัวดีอยู่ไม่ใช่เหรอแต่ทำไมต้องเอางานมาให้ฉันตรวจก่อนทุกที”
ถึงจะบ่นแต่นิคก็รับรายงานมาอ่าน
“ก็แน่สิถึงฉันจะหัวดีแต่ก็ต้องมีผิดพลาดได้ และถ้าไม่ใช่ว่านายเป็นคนที่ฉลาดที่สุด
ในระดับก็คงไม่ให้นายดูให้หรอกน่า”
ใช่แล้ว อย่างที่มัมพูดนิคเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในม.ปลาย
แต่นิคไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนักด้วยเหตุผลที่ว่า “มันก็แค่วัดจากความจำในหนังสือเรียน”
“เอ้าไม่มีปัญหาแต่ต้องแก้เพิ่มนิดหน่อยที่หน้าสาม”
นิคส่งรายงานคืนให้มัมหลังจากเธอได้รับก็พลิกไปดูที่หน้าสามทันที
“เอ...หน้าสามอาจารย์ที่ปรึกษาเหรอ ฉันต้องใส่อะไรเพิ่มเหรอนิค?”
“เธอต้องใส่ชื่อฉันเข้าไปด้วยเพราะเธอมาขอคำปรึกษาจากฉันยังไงละ”
นิคตอบกลับไปแบบหน้าตาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่เลยนิคนายพูดถูก”
เชคพูดพลางหัวเราะไปพลาง
ตกเย็นระหว่างนิคเดินกลับบ้านผ่านย่านการค้า
ได้พบกับเด็กผู้หญิงเมื่อตอนกลางวันเดินอยู่และมีคนเดินตามเธออยู่
และกำลังเดินเข้าไปในเขตลับตาคนนิคเห็นความมีพิรุธของคนที่เดินตามเข้าไป
นิคนึกถึงเรื่องที่เธอพูดตอนเที่ยง“มีความเป็นไปได้”
นิคคิดในใจและรีบวิ่งตามเข้าไปอยู่ๆกลุ่มคนก็เดินออกจากร้านมา
ทำให้นิคหลบไม่ทันและชนเข้าอย่างจัง
“โอ๊ยเจ็บนะโว้ย”
“ขอโทษครับ”
นิครีบลุกวิ่งตามไปแต่ก็คลาดสายตาไปแล้วและในทางนั้นไม่มีใครอยู่เลย
นิคเดินกลับบ้านด้วยความสงสัยว่าพวกเธอหายไปไหน
“นั่นนิคใช่ไหมจ๊ะ”
เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นเมื่อนิคเดินมาถึงหน้าบ้าน
นิคหันไปมองตามเสียงนั้น
“ป้าเมลล์...กลับมาแล้วเหรอครับ”
“จ๊ะ ป้ากลับมาแล้ว”
นี่คือการทักทายแรกของคนที่ไม่ได้เจอกันนานแปดปี
“มารีนเมลล์ลี่” เธออาศัยอยู่ในห้องข้างๆบ้านนิค
เมื่อแปดปีก่อนเธออาศัยอยู่กับสามีของเธอแต่เพราะเธอมีลูกไม่ได้เธอจึงรักนิคเหมือนลูกคนหนึ่ง
และสาเหตุเดียวกันนี้เองสามีเธอจึงมักทำร้ายเธอทุกครั้งที่ดื่มเหล้า
ในที่สุดเธอทนไม่ไหวและใช้มีดแทงสามีจนตาย
เมลล์ลี่ต้องโทษฆ่าคนตายแต่เพราะถูกกระทำรุนแรงศาลจึงให้จำคุกเพียงแปดปี
นิคเข้าไปนั่งดื่มชาในบ้านของป้าเมลล์
“คิดถึงจังเลยนะครับห้องนี้”
“ใช่จ๊ะป้าเองก็ไม่ได้อยู่มาตั้งแปดปีแต่พอกลับมาแล้วก็ทำให้นึกถึงวันเก่าๆเหมือนกัน”
หลังจากพูดจบป้าเมลล์ก็นั่งมองแก้วชาของเธอไม่พูดอะไรอีกเลย
“นั้นสินะครับ”
นิคพูดหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบผ่านไปได้สักพัก
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
นิคกลับมาที่ห้องของเขาและนอนลงบนเตียง
ในหัวของนิคคิดถึงเต่เรื่องคำพูดสุดท้ายของป้าเมลล์ในเรื่องราวของวันเก่าๆ
ที่เธอพูดถึง ใช่มันยังอยู่ในความทรงจำของนิค
ป้าเมลล์ต้องถูกสามีเธอทำร้ายเป็นประจำด้วยเหตุผลที่ว่า
“เธอไม่สามารถมีลูกให้กับเขาได้”
ด้วยความที่เป็นเด็ก นิคไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ได้ยินเสียงสามีเธอทุบตีแทบทุกวัน ในใจคิดได้เพียงแค่
ถ้าหากสามีเธอหายไปเธอก็คงไม่ต้องทรมานอีกต่อไป
และวันที่ป้าเมลล์ฆ่าสามีของเธอ
วันนั้นเสียงตำรวจและนักข่าวดังมากจนนิคนอนไม่หลับ
นิคออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นถึงแม้ว่านิคจะยังเด็กแต่ก็รู้ทันทีว่าสามีเธอตายแล้ว
และนิคกลับรู้สึกดีใจ
ใช่ดีใจที่ป้าเมลล์จะไม่ต้องทนถูกทำร้ายอีกต่อไป
มันเป็นสิ่งที่สมควรแล้วที่จะฆ่าเขาซะ
แต่วันถัดมาป้าเมลล์ก็ไม่อยู่แล้วพ่อบอกว่าเพราะเธอฆ่าคนจึงต้องติดคุก
แต่สิ่งที่นิคคิดคือ “คนชั่วนั้นสมควรตายแล้วป้าเมลไม่ผิดเธอไม่สมควรได้รับโทษ”
นับวันที่นิคเติบโตและได้เห็นคนชั่วมากมายแต่กลับไม่มีใครทำอะไรได้
สิ่งที่นิคสรุปได้ในตอนนี้คือ“สังคมที่เน่าเฟะและน่าเบื่อหน่าย”
และแน่นอนนิคยังเชื่อมั่นในความคิดของเขา “คนชั่วสมควรตายไปซะ”
เช้าวันถัดมาขณะที่นิคกำลังนั่งอย่างสบายอารมอยู่ที่โต๊ะ
เชคก็เปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทางเศร้าๆ
“นิค ช่วยบอกฉันทีว่าฉันควรจะทำยังไงดี”
เชคพูดพร้อมวิ่งมากอดนิคแต่ก่อนจะถึงตัวนิคก็ยกเท้าขึ้นมายันเชคไว้ได้ทัน
“แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นละ”
นิกถามและเอาเท้าลงหลังจากแน่ใจแล้วว่าเชคจะไม่โผเข้ามากอด
เชคนั่งลงที่โต๊ะข้างๆเพื่อเล่าเรื่องราว
“ก็เมื่อวานเย็นอยู่ๆ แทมเพอร์แมร์รี่ ห้องสามก็หายตัวไป
โดยไม่พบร่องรอยอะไรเลยโธ่นางฟ้าของฉัน”
“สรุปก็คือสาวในดวงใจแกหายตัวไปสินะแต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ
เพราะแม้แต่หน้าตาเจ้าหล่อนฉันเองก็ยังไม่เคยเห็นเลย”
นิคพูดตัดบทและปิดท้ายเพื่อปัดเรื่องไร้สาระของเชค
“นั่นสินะถึงจะมีสาวสวยเดินผ่านนายก็ไม่เคยแลเลย แต่นี่ไงฉันมีรูปของเธอด้วยดูสิ”
เชคพยายามให้นิคดูรูปแมร์รี่ให้ได้
เมื่อนิคเห็นรูปเขาตะลึงนิ่งไปขณะหนึ่ง
“เฮ้นิคเป็นอะไรไป”
เชคถามด้วยความแปลกใจ
“อืมไม่เป็นอะไร แล้วรู้รึเปล่าว่าเธอหายไปแถวไหน”
นิคถามกลับไป
“คนที่เห็นเธอครั้งสุดท้ายบอกว่าเธอกำลังไปที่ย่านการค้า”
“อืม ฉันคิดว่าคงช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะเชค”
เชคที่ได้รับคำตอบก็เดินคอตกกลับไปนั่งที่โต๊ะ
อย่างที่คิดแมร์รี่คือคนเดียวกันกับที่ นิคเจอ
แต่ที่นิคไม่พูดอะไรไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะรู้ดีว่าข้อมูลที่เขามีทำอะไรไม่ได้เลย
พักเที่ยงนิคทานข้าวที่โรงอาหารเช่นเคย
นิคเจอกับกลุ่มเพื่อนของแมร์รี่ที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป
“นี่เธอว่าแมร์รี่หายตัวไปเพราะอะไรเหรอ? ฉันว่าหนีตามผู้ชายไปมั้ง
ฉันว่าอาจจะหนีเที่ยวมากกว่านะถ้าเงินหมดเดี๋ยวก็กลับมาเองแหละเนอะ”
นิคที่ได้ยินคำพูดนั้นได้แต่นั่งฟังและลุกเดินจากไป
ภายในใจของนิครู้สึกขยะแขยงพวกเธอ
“นี่หรือเพื่อน เพื่อนหายไปทั้งคนยังไม่มีใครเป็นห่วงแถมยังว่าร้ายต่างๆนาๆ พวกคนไร้ค่า”
นิคได้แต่คิดอยู่ในใจ
วันนี้ก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่ประปรายราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ถึงแม้นิคจะไม่สนใจความเป็นอยู่ของคนทั่วไป
แต่การเจอคนทำชั่วต่อหน้าต่อตาเป็นสิ่งที่นิคเกลียดและทนดูเฉยๆไม่ได้
นิคจึงเริ่มสืบหาร่องรอยคนร้ายจากข่าวหนังสือพิมพ์และอินเทอร์เน็ต
แต่ด้วยเพราะเบาะแสที่มีน้อยนิคต้องใช้เวลาถึงสองวันจนรู้ตัวกลุ่มโจร
ที่ลักพาตัวแมร์รี่และวิธีการของมัน
เมื่อนิคได้ข้อมลูพอที่จะเป็นข้อมูลในการจับกุมแล้วก็รีบโทรไปที่สถานีตำรวจทันที
“เอ่อขอโทษครับผมขอคุยกับคนที่ทำคดีการหายตัวไปของ แทมเพอร์แมร์รี่ หน่อยครับ”
นิยายเขียนเองครับ non shadow บทที่ 1 เขียนไว้นานละ ลองอ่านดู
ณ แมนชันเล็กๆในเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง
ประตูของห้องๆหนึ่งเปิดออกพร้อมเสียงขานที่ดังขึ้น
“ไปเรียนก่อนนะครับ”
คนที่เดินออกมาจากหลังประตูคือ ไนท์แมร์ เทอร์รัม
ชื่อเรียกของเขาคือ นิค
เช่นเดียวกับทุกวันนิคออกจากบ้านในตอนเช้าเพื่อไปที่โรงเรียน
ซึ่งห่างจากบ้านไปหลายกิโลเมตร แต่ด้วยความเป็นเมืองใหญ่
นิคต้องเดินผ่านย่านชุมชนศูนย์การค้าและขึ้นรถไฟใต้ดินอีกทอดเพื่อไปโรงเรียน
“เฮ้ ทำหน้าเบื่อโลกเหมือนเคยเลยนะ”
นี่คือคำทักทายของ “เชค” เพื่อนร่วมห้องที่มักมาโรงเรียนในเวลาเดียวกัน
“เออ” นิคตอบกลับโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรเหมือนเคย
ใช่แล้วเหมือนที่เชคพูดทักทายนิกเบื่อหน่ายกับโลกใบนี้
ชีวิตนักเรียนที่ต้องเอาแต่เรียนโดยวัดผลกับแค่สิ่งที่จำได้ในหนังสือ
การคบหาเพื่อนฝูงที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน
การใช้ชีวิตของคนทั่วไปที่ทำแต่สิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาทุกๆวัน
ไม่ว่าจะการทานข้าวกับเพื่อนมากมาย ชีวิตครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า
อยู่ในเมืองใหญ่ที่มีแต่แสงสี เพื่อนฝูงมากมายในชีวิตโรงเรียนมัธยม
ทุกสิ่งมันแสนสุขจนน่าขยะแขยง ใช่แล้วมันไม่ใช่เลย
สิ่งต่างๆที่ดูแสนสุขนั้นมันเป็นเพียงเรื่องโกหกและภาพลวงตาที่สวยงาม
แต่เบื้องหลังนั้นมีแต่ความเน่าเฟะจนน่าสะอิดสะเอียน
เพื่อนฝูงที่ไม่ต้อนรับเมื่อเกิดปัญหา ครอบครัวที่พร้อมหน้าแต่ทะเลาะกันแทบทุกวัน
เมืองใหญ่ที่มีแต่โจรปล้นและนักเลงตีกันโดยกฎหมายทำอะไรไม่ได้
แม้แต่ในโรงเรียนการกลั่นแกล้งที่รุนแรงก็ไม่มีใครกล้าปริปากบอกอาจารย์สักคน
ทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความเน่าเฟะดำมืดและจอมปลอมน่าจนเบื่อหน่าย
ระหว่างที่นิคนั่งทานข้าวกลางวันอยู่ที่โรงอาหารอยู่ๆ
ก็มีกลุ่มผู้หญิงมานั่งทานข้าวที่โต๊ะข้างหลังและคุยกันเสียงดัง
“นี่เธอได้ดูข่าวรึเปล่าช่วงนี้มีโจรลักพาตัวด้วยนะชอบจับเด็กผู้หญิงน่ารักๆด้วยละ
แบบนี้ฉันต้องโดนหมายตาแน่เลย...ว๊ายๆอย่างเธอนะเหรอ? หมายความว่าไงย๊ะกรี๊ดๆ”
เสียงคุยแว๊ดๆดังจนนิคทนไม่ได้
“นี่พวกเธอเบาๆหน่อยได้ไหมมันรบกวนคนอื่นนะ”
นิคหันหลังไปต่อว่า
“อ๊ะ...ขอโทษค่ะ”
พวกเธอหันกลับไปแล้วซุบซิบกัน
“นี่ นั่นนะ ไนท์แมร์ ปีสองใช่ปะ หน้าตาน่ากลวอย่างที่เค้าลือกันเลย”
“นี่ฉันได้ยินนะเฟ้ย”
นิคพูดเบาๆหลังจากที่พากเธอกระซิบกันซะดังข้ามโต๊ะมาเข้าหูนิค
พวกเธอตกใจและรีบลุกเดินหนีไปที่อื่น
“ผู้หญิงนี่น่าเบื่อจริงๆ”
นิคบ่นบาๆแล้วทานข้าวเที่ยงต่อ
ระหว่างทางกลับนิคเจอกลุ่มนักเลงกำลังพาเด็กคนหนึ่งเดินสวนทางกัน
แน่นอนนิครู้ทันทีว่าต้องโดนพาไปซ้อมไม่ก็รีดไถแน่ๆซึ่งที่ประจำของพวกมันก็คือ
ข้างห้องเก็บของที่อยู่ข้างโรงอาหาร ถึงแม้นิคจะเบื่อหน่ายโลกนี้เพียงใด
แต่ก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าคนทำชั่วพวกนี้นักเพราะคนที่ทำให้โลกนี้เน่าเฟะคือคนชั่วเหล่านี้
หลังจากมองดูรอบๆตัวแล้วนิคก็เห็น“บัก” หมาจรจัดของโรงเรียนผ่านมาพอดี
นิคเรียกชื่อมันเบาๆพร้อมกับล้วงกระเป๋ากางเกงของเขา
แล้วขว้างบางสิ่งออกไปห้องเก็บของและก็เดินจากไป
แค่อึดใจเดียวก็เกิดเสียงดังโครมครามจนทุกคนต้องเหลียวไปดู
กลุ่มนักเลงเองก็ตกใจและรีบวิ่งหนีออกจากตรงนั้นเช่นกัน
นิคเดินกลับมาที่ห้องเรียนของเขาและพบว่าเชคกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะของนิค
“เฮ้เชค ชั้นนั่งที่ไม่ได้นะเฟ้ย”
“อ้อ...โทษทีนิคพอดีฉันได้ข่าวน่าสนใจมาด้วยหละเกี่ยวกับอาจารย์สอนเคมีนะ”
เชคพูดพร้อมลุกขึ้นมากอดคอนิคอย่างสนิดสนม
“เฮ้ยเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วคิดว่าฉันจะหายเคืองเหรอฟะเอาเถอะแล้วอาจารย์นั่นเป็นไงมั่ง”
นิคปัดมือเชคออกจากคอแล้วลงไปนั่งที่โต๊ะ
“เชค”คือหนึ่งในไม่กี่คนที่คุยกับนิคเพราะโดยปรกติแล้วนิคจะไม่แยแส
ผู้คนรอบข้างและท่าทางน่ากลัวจนไม่มีใครกล้าเข้ามาคุย
ยกเว้นแต่เชคที่ไม่ได้สนใจและเข้ามาคุยอยู่เสมอๆด้วยมุขฝืดๆอย่างร่าเริง
ถึงแม้ว่าส่วนมากเชคจะพูดอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนคนบ้าก็ตาม
ถึงนิคจะรำคานความโหวกเหวกของเชคไปบ้างแต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมากนัก
นานๆทีจึงตอบกลับไปบ้างให้ดูเป็นบทสนทนาปรกติเพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่มองว่า
เป็นคนบ้าที่พูดอยู่คนเดียวกับคนบ้าที่ไม่พูดอะไรอยู่ด้วยกัน
เชคนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้านิค
“ก็เมื่อวานนี้อาจารย์แกสะดุดล้มแขนเคล็ดจนมาสอนไม่ได้นะฉันว่า
ถ้าแกไม่ติดสาวพยาบาลก็สำออยแน่ๆเลย”
“ไม่หรอกน่ามนุษย์นะอ่อนแอ...
ร่างกายที่ได้รับแรงกระทบเพียงห้ากิโลกรัมที่จุดสำคัญก็ตายได้
สิบห้ากิโลกรัมที่กระดูกก็จะหัก ขาดอากาศได้นานสุดที่สิบนาทีก็ตายโดยสมบูรณ์
เสียเลือดมากกว่าพันเก้าร้อยซีซีก็ตาย มีเส้นประสาททั่วร่างกายแค่เข็มทิ่มลงไปตื้นๆ
ก็รู้สึกเจ็บแล้วและมีเนื้อเยื่อที่ฉีกขาดง่ายห่อหุ้มร่างกายที่ใช้แค่เล็บมือก็ฉีกออกได้
ไว้ป้องกันร่างกาย ทั้งจิตใจที่ถูกชักจูงได้ง่าย สัญชาตญาณการหลบภัยที่เรียกว่าความกลัว
ทำให้คนไม่กล้าสู้กับสิ่งที่กลัวได้ แล้วนายคิดว่ามนุษย์จะมีชีวิตรอดได้สักกี่ปีกัน”
นิคพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงธรรมดาและหน้าตาเบื่อโลกตามปรกติ
“เอ่อ...นั่นสินะ”
เชคตอบ แล้วอยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาจากทางด้านหลังนิค
“พูดแต่เรื่องน่ากลัวแบบนี้นะสิเลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นายไงละนิค”
นิคเอี้ยวคอไปมองต้นตอของเสียงนั้น
และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือ มิเรดออสทัม(Mired Ostum)
ซึ่งเพื่อนๆมักเรียกเธอว่า มัม เพราะเธอเป็นคนเจ้าระเบียบ
และชอบจัดแจงงานต่างๆให้เพื่อนในห้องเหมือนเป็นผู้ปกครอง
ทุกคนจึงเรียกเธอว่า Mom(แม่)
แต่เพราะเธอเรียนดีกีฬาเด่นหน้าตาสะสวยและหุ่นดีพวกผู้ชายส่านใหญ่
จึงไม่ค่อยมีปัญหากับเธอนี่แหละที่เค้าเรียกว่าคนสวยทำอะไรก็ไม่ผิด
“เรื่องของฉันน่ามัม”
นิคตอบกลับไปทันควันพร้อมหันน้ากลับมา
“แล้วเธอมีปัญหาอะไรถึงได้มารบกวนเวลาพักเที่ยงอันมีค่าของฉันละมัม”
มัมลากเก้าอี้มานั่งที่ด้านข้างโต๊ะนิค
“ของมันแน่อยู่แล้วนี่ไงงานวิชาฟิสิกส์ของฉันนายช่วยตรวจให้ทีสิว่าโอเครึยัง”
เธอยื่นรายงานส่งให้นิคอย่างไว แน่นอนมัมคือหนึ่งในไม่กี่คนที่คุยกับนิค
และเธอมักเอาเรื่องเรียนเข้ามาคุยแต่เป้าหมายที่แท้จริงของเธอนั้นยังไม่แน่ชัด
“เฮ้อ...เธอเองก็หัวดีอยู่ไม่ใช่เหรอแต่ทำไมต้องเอางานมาให้ฉันตรวจก่อนทุกที”
ถึงจะบ่นแต่นิคก็รับรายงานมาอ่าน
“ก็แน่สิถึงฉันจะหัวดีแต่ก็ต้องมีผิดพลาดได้ และถ้าไม่ใช่ว่านายเป็นคนที่ฉลาดที่สุด
ในระดับก็คงไม่ให้นายดูให้หรอกน่า”
ใช่แล้ว อย่างที่มัมพูดนิคเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในม.ปลาย
แต่นิคไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนักด้วยเหตุผลที่ว่า “มันก็แค่วัดจากความจำในหนังสือเรียน”
“เอ้าไม่มีปัญหาแต่ต้องแก้เพิ่มนิดหน่อยที่หน้าสาม”
นิคส่งรายงานคืนให้มัมหลังจากเธอได้รับก็พลิกไปดูที่หน้าสามทันที
“เอ...หน้าสามอาจารย์ที่ปรึกษาเหรอ ฉันต้องใส่อะไรเพิ่มเหรอนิค?”
“เธอต้องใส่ชื่อฉันเข้าไปด้วยเพราะเธอมาขอคำปรึกษาจากฉันยังไงละ”
นิคตอบกลับไปแบบหน้าตาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่เลยนิคนายพูดถูก”
เชคพูดพลางหัวเราะไปพลาง
ตกเย็นระหว่างนิคเดินกลับบ้านผ่านย่านการค้า
ได้พบกับเด็กผู้หญิงเมื่อตอนกลางวันเดินอยู่และมีคนเดินตามเธออยู่
และกำลังเดินเข้าไปในเขตลับตาคนนิคเห็นความมีพิรุธของคนที่เดินตามเข้าไป
นิคนึกถึงเรื่องที่เธอพูดตอนเที่ยง“มีความเป็นไปได้”
นิคคิดในใจและรีบวิ่งตามเข้าไปอยู่ๆกลุ่มคนก็เดินออกจากร้านมา
ทำให้นิคหลบไม่ทันและชนเข้าอย่างจัง
“โอ๊ยเจ็บนะโว้ย”
“ขอโทษครับ”
นิครีบลุกวิ่งตามไปแต่ก็คลาดสายตาไปแล้วและในทางนั้นไม่มีใครอยู่เลย
นิคเดินกลับบ้านด้วยความสงสัยว่าพวกเธอหายไปไหน
“นั่นนิคใช่ไหมจ๊ะ”
เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นเมื่อนิคเดินมาถึงหน้าบ้าน
นิคหันไปมองตามเสียงนั้น
“ป้าเมลล์...กลับมาแล้วเหรอครับ”
“จ๊ะ ป้ากลับมาแล้ว”
นี่คือการทักทายแรกของคนที่ไม่ได้เจอกันนานแปดปี
“มารีนเมลล์ลี่” เธออาศัยอยู่ในห้องข้างๆบ้านนิค
เมื่อแปดปีก่อนเธออาศัยอยู่กับสามีของเธอแต่เพราะเธอมีลูกไม่ได้เธอจึงรักนิคเหมือนลูกคนหนึ่ง
และสาเหตุเดียวกันนี้เองสามีเธอจึงมักทำร้ายเธอทุกครั้งที่ดื่มเหล้า
ในที่สุดเธอทนไม่ไหวและใช้มีดแทงสามีจนตาย
เมลล์ลี่ต้องโทษฆ่าคนตายแต่เพราะถูกกระทำรุนแรงศาลจึงให้จำคุกเพียงแปดปี
นิคเข้าไปนั่งดื่มชาในบ้านของป้าเมลล์
“คิดถึงจังเลยนะครับห้องนี้”
“ใช่จ๊ะป้าเองก็ไม่ได้อยู่มาตั้งแปดปีแต่พอกลับมาแล้วก็ทำให้นึกถึงวันเก่าๆเหมือนกัน”
หลังจากพูดจบป้าเมลล์ก็นั่งมองแก้วชาของเธอไม่พูดอะไรอีกเลย
“นั้นสินะครับ”
นิคพูดหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบผ่านไปได้สักพัก
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
นิคกลับมาที่ห้องของเขาและนอนลงบนเตียง
ในหัวของนิคคิดถึงเต่เรื่องคำพูดสุดท้ายของป้าเมลล์ในเรื่องราวของวันเก่าๆ
ที่เธอพูดถึง ใช่มันยังอยู่ในความทรงจำของนิค
ป้าเมลล์ต้องถูกสามีเธอทำร้ายเป็นประจำด้วยเหตุผลที่ว่า
“เธอไม่สามารถมีลูกให้กับเขาได้”
ด้วยความที่เป็นเด็ก นิคไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ได้ยินเสียงสามีเธอทุบตีแทบทุกวัน ในใจคิดได้เพียงแค่
ถ้าหากสามีเธอหายไปเธอก็คงไม่ต้องทรมานอีกต่อไป
และวันที่ป้าเมลล์ฆ่าสามีของเธอ
วันนั้นเสียงตำรวจและนักข่าวดังมากจนนิคนอนไม่หลับ
นิคออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นถึงแม้ว่านิคจะยังเด็กแต่ก็รู้ทันทีว่าสามีเธอตายแล้ว
และนิคกลับรู้สึกดีใจ
ใช่ดีใจที่ป้าเมลล์จะไม่ต้องทนถูกทำร้ายอีกต่อไป
มันเป็นสิ่งที่สมควรแล้วที่จะฆ่าเขาซะ
แต่วันถัดมาป้าเมลล์ก็ไม่อยู่แล้วพ่อบอกว่าเพราะเธอฆ่าคนจึงต้องติดคุก
แต่สิ่งที่นิคคิดคือ “คนชั่วนั้นสมควรตายแล้วป้าเมลไม่ผิดเธอไม่สมควรได้รับโทษ”
นับวันที่นิคเติบโตและได้เห็นคนชั่วมากมายแต่กลับไม่มีใครทำอะไรได้
สิ่งที่นิคสรุปได้ในตอนนี้คือ“สังคมที่เน่าเฟะและน่าเบื่อหน่าย”
และแน่นอนนิคยังเชื่อมั่นในความคิดของเขา “คนชั่วสมควรตายไปซะ”
เช้าวันถัดมาขณะที่นิคกำลังนั่งอย่างสบายอารมอยู่ที่โต๊ะ
เชคก็เปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทางเศร้าๆ
“นิค ช่วยบอกฉันทีว่าฉันควรจะทำยังไงดี”
เชคพูดพร้อมวิ่งมากอดนิคแต่ก่อนจะถึงตัวนิคก็ยกเท้าขึ้นมายันเชคไว้ได้ทัน
“แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นละ”
นิกถามและเอาเท้าลงหลังจากแน่ใจแล้วว่าเชคจะไม่โผเข้ามากอด
เชคนั่งลงที่โต๊ะข้างๆเพื่อเล่าเรื่องราว
“ก็เมื่อวานเย็นอยู่ๆ แทมเพอร์แมร์รี่ ห้องสามก็หายตัวไป
โดยไม่พบร่องรอยอะไรเลยโธ่นางฟ้าของฉัน”
“สรุปก็คือสาวในดวงใจแกหายตัวไปสินะแต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ
เพราะแม้แต่หน้าตาเจ้าหล่อนฉันเองก็ยังไม่เคยเห็นเลย”
นิคพูดตัดบทและปิดท้ายเพื่อปัดเรื่องไร้สาระของเชค
“นั่นสินะถึงจะมีสาวสวยเดินผ่านนายก็ไม่เคยแลเลย แต่นี่ไงฉันมีรูปของเธอด้วยดูสิ”
เชคพยายามให้นิคดูรูปแมร์รี่ให้ได้
เมื่อนิคเห็นรูปเขาตะลึงนิ่งไปขณะหนึ่ง
“เฮ้นิคเป็นอะไรไป”
เชคถามด้วยความแปลกใจ
“อืมไม่เป็นอะไร แล้วรู้รึเปล่าว่าเธอหายไปแถวไหน”
นิคถามกลับไป
“คนที่เห็นเธอครั้งสุดท้ายบอกว่าเธอกำลังไปที่ย่านการค้า”
“อืม ฉันคิดว่าคงช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะเชค”
เชคที่ได้รับคำตอบก็เดินคอตกกลับไปนั่งที่โต๊ะ
อย่างที่คิดแมร์รี่คือคนเดียวกันกับที่ นิคเจอ
แต่ที่นิคไม่พูดอะไรไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะรู้ดีว่าข้อมูลที่เขามีทำอะไรไม่ได้เลย
พักเที่ยงนิคทานข้าวที่โรงอาหารเช่นเคย
นิคเจอกับกลุ่มเพื่อนของแมร์รี่ที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป
“นี่เธอว่าแมร์รี่หายตัวไปเพราะอะไรเหรอ? ฉันว่าหนีตามผู้ชายไปมั้ง
ฉันว่าอาจจะหนีเที่ยวมากกว่านะถ้าเงินหมดเดี๋ยวก็กลับมาเองแหละเนอะ”
นิคที่ได้ยินคำพูดนั้นได้แต่นั่งฟังและลุกเดินจากไป
ภายในใจของนิครู้สึกขยะแขยงพวกเธอ
“นี่หรือเพื่อน เพื่อนหายไปทั้งคนยังไม่มีใครเป็นห่วงแถมยังว่าร้ายต่างๆนาๆ พวกคนไร้ค่า”
นิคได้แต่คิดอยู่ในใจ
วันนี้ก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่ประปรายราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ถึงแม้นิคจะไม่สนใจความเป็นอยู่ของคนทั่วไป
แต่การเจอคนทำชั่วต่อหน้าต่อตาเป็นสิ่งที่นิคเกลียดและทนดูเฉยๆไม่ได้
นิคจึงเริ่มสืบหาร่องรอยคนร้ายจากข่าวหนังสือพิมพ์และอินเทอร์เน็ต
แต่ด้วยเพราะเบาะแสที่มีน้อยนิคต้องใช้เวลาถึงสองวันจนรู้ตัวกลุ่มโจร
ที่ลักพาตัวแมร์รี่และวิธีการของมัน
เมื่อนิคได้ข้อมลูพอที่จะเป็นข้อมูลในการจับกุมแล้วก็รีบโทรไปที่สถานีตำรวจทันที
“เอ่อขอโทษครับผมขอคุยกับคนที่ทำคดีการหายตัวไปของ แทมเพอร์แมร์รี่ หน่อยครับ”