บทที่ 4
เสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้หญิงสาวร่างผอมเพรียวที่อยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีชมพูอ่อนขยับตัวบิดขี้เกียจไปมาบนที่นอนด้วยความรำคาญเสียงของโทรศัพท์ที่ยังคงดังขึ้นติดต่อกันยาวนาน เธอพยายามใช้มือควานหาโทรศัพท์บนเตียงนอน ทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท เผยให้เห็นแผงขนตางอนยาวเรียงตัวสวยงามโดยไม่ต้องพึ่งที่ดัดขนตา บวกกับใบหน้าขาวนวลเนียนไร้เครื่องสำอางยิ่งทำให้หญิงสาวดูสวยงามราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้า
เสียงเพลงจากโทรศัพท์ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนเพื่อเรียกร้องให้คนปลายทางรีบกดรับสายโดยด่วน
“รู้แล้วๆรู้แล้วน่า” เธอบ่นพึมพำหลังจากที่เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่ยอมหยุดก่อนจะยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ตกออยู่ข้างเตียง
“ฮัลโหล” เธอรับสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงของคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลและไม่ค่อยจะพอให้มากนักที่โดนปลุกขึ้นมาแบบนี้
“เพิ่งตื่นหรือค่ะ น้องฟ้าดูข่าวหน้าหนึ่งวันนี้หรือยัง” เสียงของคนที่โทรมาพูดด้วยความตื่นเต้นร้อนรน
“มีอะไรหรือค่ะพี่มี่” ฟ้างามถามด้วยความอยากรู้ ทั้งที่จริงเธอก็พอจะรู้อยู่ว่าเรื่องอะไรแต่ก็อยากให้คนที่โทรมาได้เป็นคนบอกให้แน่ใจอีกครั้ง
“ก็ข่าวที่น้องฟ้าเหวี่ยงใส่ช่างทำผมไงคะ ตอนนี้ก็โด่งดังอยู่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเลยค่ะ” พี่มี่เริ่มทำน้ำเสียงไม่พอใจนางแบบที่อยู่ในการดูแลของเธอมีเรื่องเสียๆหายๆแบบนี้
“อ่อ แค่นี้หรือคะพี่มี่ งั้นราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เธอกดวางสายทันทีโดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังกดด่าทอเธออยู่ แล้วเธอก็กลับเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับใหลอีกครั้ง แต่แล้วเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอเริ่มโมโหที่การนอนของเธอถูกรบกวน
“วันนี้น้องฟ้ามีถ่ายแบบชุดราตรีตอนบ่ายโมงนะคะ” พี่มี่โทรกลับมาอีกครั้งเพื่อเตือนเวลางานให้นางแบบสาวได้ทราบ
“นี่เพิ่งหกโมงเช้าเองนะคะ พี่มี่”
“สิบเอ็ดโมงแล้ว และทำตัวให้สดชื่นก่อนมาถ่ายแบบนะเข้าใจไหม อย่ามาสายอีกล่ะ”
“ค่ะๆ” ฟ้างามตอบกลับน้ำเสียงขุนเคืองก่อนจะกดตัดสาย และอดนึกด่าผู้จัดการจอมจุ้นของเธอไม่ได้ เธอล้มตัวลงนอนอีกครั้งโดยไม่สนใจตารางงานที่ผู้จัดการบอก เธอคิดจะนอนต่ออีกซักสิบนาทีตอนนี้ร่างกายเธอต้านทานความง่วงไม่ไหว เธอเหนื่อยและหมดแรงจากการโหมทำงานหนักทั้งคืน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้คนที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นได้แต่ดีดตัวเองขึ้นจากเตียงด้วยอาการไม่สบอารมณ์
“อะไรอีกนี่” ฟ้างามตะโกนลั่นห้องแล้วเดินไปเปิดประตูด้วยดวงตาที่ยังเปิดไม่เต็มดวง
คนที่เคาะประตูยืนยิ้มให้เจ้าของห้องอย่างอารมณ์ดี ส่วนเธอก็มองหน้าเขาด้วยความขุ่นเคือง
“มีอะไร” เธอพูดกับเขาอย่างหงุดหงิด
“เอาหนังสือพิมพ์มาส่งครับ”ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผมสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันเข้ากับใบหน้าคมเข้มของเขา จนดูหล่อกว่าคนปรกติทั่วไปถ้าไม่มีหนวดเคราปิดบังซ่อนใบหน้าที่เกลี้ยงเหลาเอาไว้ เขากางหนังสือพิมพ์ออกและยื่นตรงมาที่หน้าเธอ
“นางแบบจอมเหวี่ยง” เธออ่านข้อความที่พาดหัวข่าวด้วยตัวหนังสือสีแดงขนาดใหญ่ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเขาอย่างแรง และเปิดประตูออกมาคว้าหนังสือพิมพ์ไปจากมือเขา
“สิบบาทครับ” เขาตะโกนบอกตามหลังทันทีที่ประตูถูกปิดลง
ฟ้างามเดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามาในห้องด้วยอาการสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอโยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปที่โซฟา ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องนอนที่ประตูถูกเปิดค้างไว้ แล้วอาบน้ำแต่งตัวพร้อมที่จะไปทำงาน ตามคำสั่งผู้จัดการจอมจุ้นของเธอ
ฟ้างามรับงานถ่ายแบบ เดินแบบ ละคร หรือแม้แต่หนังเธอรับหมด ฟ้างามกลายเป็นดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการที่เธอเริ่มเป็นนางแบบครั้งแรกให้กับนิตยสารวัยรุ่นชื่อดังเมื่อหกปีก่อน และไต่เต้าขึ้นมาจากผลงานที่มีฝีมือไม่ว่าจะการเดินแบบ ถ่ายแบบ และละคร จนได้กลายเป็นดาราดังที่มีชื่อเสียงแถวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย
แต่การโด่งนั้นก็ต้องแลกมากับฉายาที่ว่า
“นางแบบจอมเหวี่ยง” นั่นเป็นเพราะเธอเรียนรู้ที่จะอยู่ในวงการบันเทิงได้โดยที่เธอจะไม่โดนเอารัดเอาเปรียบจากคนรอบข้างที่คอยแต่จะหาประโยชน์ใส่ตน เธอจำเป็นต้องแข็งแกร่งแม้นั่นจะแลกมาด้วยคำว่า นางแบบจอมเหวี่ยง
และเธอก็ไม่คิดที่จะเกี่ยงงานเพราะเธอต้องการหาเงินมาไว้เยอะๆ เธอต้องการเก็บเงินส่วนนี้ไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เธอได้เรียนรู้แล้วว่ายามที่ไม่มีเงินมันลำบากแค่ไหน ตอนที่พ่อล้มละลายเธอไม่สามารถช่วยอะไรพ่อได้เลย เธอรู้ว่าพ่อต้องเหนื่อยและต้องทุ่มเทร่างกายแรงใจมากมายเกินกว่าที่เด็กน้อยอย่างเธอในตอนนั้นจะรับรู้ได้
ตอนนี้เธอสามารถทำงานและมีเงินมากพอที่จะเก็บไว้ช่วยเหลือพ่อยามที่พ่อมีปัญหา ถึงแม้ตอนนี้พ่อจะสามารถกอบกู้บริษัทของพ่อให้กลับมาผงาดบนเส้นทางธุรกิจได้อย่างสวยงามอีกครั้งแล้วก็ ตามแต่ความแน่นอนก็ไว้ใจไม่ได้เสมอไป
ฟ้างามในชุดเดรสสีเขียวเข้มรัดรูปที่ทำให้เห็นทรวงทรงองเอวตามสไตล์หุ่นนางแบบที่มีความสูงถึงร้อยเจ็ดสิบสามเซน แขนเสื้อกุด บวกกับความสั้นของกระโปรงที่เผยให้เห็นเรียวขาสวยงามได้รูป เธอปล่อยผมสีดำขลับหยักศกไหลลื่นไปตามแผ่นหลัง ผมสีดำสลวยสวยงามพลิ้วไหว ตามแรงโน้มถ่วงยามเธอก้มลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาจากโซฟา
นางแบบจอมเหวี่ยง ฟ้างาม กิจวิทยากุล ลูกสาวนักธุรกิจชื่อดังด่าท่อช่างทำผมเหตุเพราะช่างทำผมดึงผมเธอแรงจนทำให้เธอเจ็บ ฟ้างามจับเก้าอี้โยนใส่ช่างทำผมผู้น่าสงสาร จนทำให้ช่างทำผมต้องวิ่งร้องให้ออกจากห้องแต่งตัว เราคงต้องจับตาดูนางแบบจอมเหวี่ยงคนนี้ต่อไปนะคะ ว่าอนาคตในวงการบันเทิงจะรุ่งหรือร่วงกันแน่
ฟ้างามอ่านพาดหัวข่าวจบ แล้วโยนหนังสือพิมพ์นั่นลงถังขยะอย่างแม่นยำ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกอย่างแรงด้วยความโมโหในเนื้อหาข่าวที่ออกจะเกินจริงไปหน่อย เธอรู้ดีว่านักข่าวบางคนก็ไม่ชอบเธอเท่าไร การได้เขียนข่าวให้เธอเสียหายคงทำให้นักข่าวเหล่านั้นมีความสุข
เสียงเพลงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นอีกครั้ง เธอกดรับสายแต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรปลายสายก็ชิงพูดเสียก่อน
“ลูกเห็นข่าวหรือยัง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นทันทีที่ลูกสาวกดรับสาย
“เห็นแล้วค่ะ” ฟ้างามตอบเบื่อๆ
“ฟ้า ลูกต้องหัดให้ใจเย็นกว่านี้นะรู้ไหมกว่าพ่อจะกอบกู้บริษัทของเราให้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งพ่อต้องเหนื่อยมากแค่ไหน ข่าวของลูกมันส่งผลเสียต่อพ่อและบริษัทนะลูก ลูกเข้าใจที่พ่อพูดมั้ย”
“เข้าใจค่ะ แต่ฟ้าไม่ได้ทำอย่างที่เขาเขียนนะคะ”
“แล้วทำไมเป็นข่าวไปได้” ผู้เป็นพ่อถามอย่างสงสัย
“ฟ้าเหวี่ยงใส่เขาจริงแต่ก็ไม่ได้ใช้เก้าอี้โยนใส่เขานะคะ ฟ้าแค่ใช้หวีอันเล็กนิดเดียวเองค่ะ”
“จะหวีหรือเก้าอี้ลูกก็ต้องใจเย็นๆ เพราะตอนนี้ลูกเป็นดาราเป็นคนที่ถูกจับตามองจากสื่อพ่อไม่อยากให้ใครมาว่าลูกพ่อเสียๆหายๆแบบนี้ ลูกภูมิใจหรือไงที่ได้ฉายานางแบบจอมเหวี่ยง” พ่อพูดอย่างด้วยความเป็นห่วงลูกสาว
“ฟ้าก็ไม่อยากได้ฉายานี่ซักหน่อยค่ะ แต่ก็ดีนะคะจะได้ไม่มีใครมาเรื่องมากกับฟ้าเพราะคงจะกลัวฟ้าเหวี่ยงใส่ ” ฟ้างามพูดติดตลกเพื่อทำให้พ่อรู้ว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องฉายาอะไรที่สื่อตั้งให้เธอเลย และเพื่อทำให้พ่อสบายใจด้วย
“นั่นซินะคงจะเป็นฉายาที่เหมาะสมกับลูกจริงๆแต่ลูกก็ต้องปรับปรุงตัวใหม่นะ เข้าใจที่พ่อพูดมั้ย”
“เข้าใจๆค่ะ ฟ้าจะพยายามนะคะ รักพ่อค่ะ”
“เดี๋ยวๆยายฟ้าเย็นนี้มาทานข้าวที่บ้านนะพ่อจะได้ให้แม่ครัวทำอาหารที่ลูกชอบ”
“ค่ะฟ้าจะไป รักพ่อนะคะ”
ฟ้างามวางโทรศัพท์บนโต๊ะด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายลง ก่อนจะหันไปมองหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในถังขยะอีกครั้ง เธอนึกสงสัยถึงคนที่เอาหนังสือพิมพ์มาให้เธอเหมือนว่าเธอเคยเจอเขาที่ไหนแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
เธอรู้อยู่ว่าเขาพักอยู่ห้องตรงข้ามกลับเธอ แต่เธอรู้สึกเหมือนจะเคยรู้จักเขามากกว่าเพื่อนข้างห้อง และทุกวันเธอจะเห็นเขาสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปเดินออกจากห้อง เขาไม่เคยพูดกับเธอเลยนอกจากส่งยิ้มให้ทุกครั้งที่เจอจนวันนี้อยู่ดีๆเขาก็เอาหนังสือพิมพ์มาให้เธอ
ฟ้างามนึกไปนึกมาก็อดคิดไปไม่ได้ว่าเขาเป็นปาปารัซซี่ หรืออาจจะเป็นพวกถ้ำมองแน่ๆมีกล้องถ่ายรูปด้วยต้องใช่แน่ๆ นั่นคือความคิดแว่บแรกที่เข้ามาในหัวของเธอ ก่อนจะใช้มือกอดอกแล้วลูบแขนตัวเองไปมา
วันนี้ฟ้างามมีถ่ายแบบชุดราตรีให้กับห้องเสื้อเนรมิตห้องเสื้อชื่อดังของเหล่าไฮโซซาเลบลงในนิตยสารไฮเลิฟลี่ เที่ยงตรงฟ้างามเดินทางมาถึงสตูดิโอที่ใช้สำหรับถ่ายแบบชุดราตรี เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ถูกจัดฉากให้เป็นทุ่งสวนดอกไม้ อีกมุมหนึ่งก็เป็นฉากความทันสมัยในเมืองใหญ่ และฉากสุดท้ายเป็นฉากมีจำลองเมืองเก่าในสมัยโบราณ
ฟ้างามเดินเข้ามาก็เห็นทีมงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเดินวุ่นวายไปหมด จัดฉากจัดแสงเตรียมชุดสิ่งเหล่านี้เธอเห็นจนชินตาและคิดว่ามันค่อนข้างจะดูเหมือนว่าทุกคนจะเป็นหุ่นยนต์ที่จะต้องคอยทำตามแบบแผนของแต่ล่ะคนให้ดีที่สุดและถูกต้องที่สุด
ตัวเธอเองก็คงไม่ต่างจากพวกเขาเหล่านี้ซักเท่าไหร่คิดไปคิดมาเธอก็นึกถึงหมู่บ้านโคกมะขามหวานที่ๆเธอปฏิเสธที่จะอยู่มาโดยตลอดแต่ตอนนี้เธออยากกลับไปที่นั่นอีก ฟ้างามยักไหล่ให้ตัวเองเพราะไม่รู้จะถึงนึกบ้านนอกอย่างนั้นขึ้นมาทำไม
เธอหันไปมองนางแบบอีกสองคนที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ คนหนึ่งเธอรู้จักดีซึ่งเป็นคู่กรณีที่ชอบมีข่าวเกาเหลากับเธออยู่บ่อยๆ และเจ้าหล่อนคู่กรณีก็หันมาชายตามองเธอแล้วเป๋ปากใส่ก่อนจะหันกลับไปมองช่างแต่งหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“น้องฟ้างามมาแล้วหรือค่ะ ทางนี้เลยคะน้องฟ้าไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะเดี๋ยวมาแต่งหน้าทำผม”พี่มี่ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอเดินมาหาพลางกับลากแขนเธอไปให้ทีมงานจัดการใส่ชุด และแต่งหน้า
“พี่มี่ไม่เห็นบอกเลยค่ะว่ายัยซันนี่จะมาถ่ายแบบด้วย” ฟ้างามพูดอย่างไม่พอใจ
“พี่ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันบังเอิญเขาเปลี่ยนนางแบบกะทันหันนะ พี่ได้ยินข่าวมาว่ายัยซันนี่แอบกิ๊กกั๊กกับลูกชายเจ้าของห้องเสื้อก็เลยพลอยได้มาถ่ายแบบด้วย แต่น้องฟ้าอย่าไปสนใจเลยคะ” พี่มี่พูดอย่างไม่ชอบใจในตัวนางแบบที่ชื่อซันนี่เช่นกัน
“ฟ้าไม่สนใจหรอกคะ แค่เห็นหน้ายัยนี่แล้วเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา”
“ถือซะว่าเห็นหมูหมากาไก่แล้วกัน” พี่มี่พูดเป็นเชิงไม่อยากให้เกิดศึกขึ้น
“แล้วคนนั้นใครค่ะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เธอมองไปทางผู้หญิงผมบรอนซ์ประบ่าที่นั่งแต่งหน้าอยู่ข้างๆซันนี่
“อ่อ นั่นน้องเบลล่าค่ะ นางแบบหน้าใหม่เป็นหลานสาวเจ้าของห้องเสื้อนี้”
“นี่ฟ้ามาถ่ายแบบกับเด็กเส้นทั้งนั่นหรือคะนี้”
“แต่น้องฟ้านี่เจ้าของร้านเขาเลือกเองเลยนะคะ”
“เชิญทางนี้ค่ะ” เสียงทุ้มห้าวสไตล์สาวหล่อเดินเข้ามาตามฟ้างามให้ไปเปลี่ยนชุด
“อ่อๆ ขอโทษที” พี่มี่ขอโทษขอโทษขอโพยทีมงาน หลังจากที่ยืนคุยกับนางแบบนานไปหน่อย
หนึ่งชั่วโมงกับการแต่งหน้าทำผมให้กับนางแบบทั้งสามคนทุกคนก็ออกมาสวยสมบูรณ์แบบ
“พี่จะถ่ายแบบรวมกลุ่มก่อนนะ และเดี๋ยวจะแยกถ่ายเดียวทีละคน”พี่มาร์คช่างภายมืออาชีพบอกกับนางแบบทั้งสามคน
แต่นางแบบจอมเหวี่ยงกลับไม่สนใจคนพูดเธอเปิดตากว้างมองไปยังคนที่อยู่ข้างหลังกล้องถ่ายรูปมีคนที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดียืนอยู่ตรงนั่นชายร่างสูงโปร่งผมสีน้ำตาลอ่อนหนวดเครารกรุงรังชายที่เอาหนังสือพิมพ์มาให้เธอเมื่อเช้านี้ เธอมองเขาด้วยความงุนงงและสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี้
พลิกร้ายให้รักลงล็อก บทที่ 4
เสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้หญิงสาวร่างผอมเพรียวที่อยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีชมพูอ่อนขยับตัวบิดขี้เกียจไปมาบนที่นอนด้วยความรำคาญเสียงของโทรศัพท์ที่ยังคงดังขึ้นติดต่อกันยาวนาน เธอพยายามใช้มือควานหาโทรศัพท์บนเตียงนอน ทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท เผยให้เห็นแผงขนตางอนยาวเรียงตัวสวยงามโดยไม่ต้องพึ่งที่ดัดขนตา บวกกับใบหน้าขาวนวลเนียนไร้เครื่องสำอางยิ่งทำให้หญิงสาวดูสวยงามราวกับหยาดน้ำค้างยามเช้า
เสียงเพลงจากโทรศัพท์ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนเพื่อเรียกร้องให้คนปลายทางรีบกดรับสายโดยด่วน
“รู้แล้วๆรู้แล้วน่า” เธอบ่นพึมพำหลังจากที่เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่ยอมหยุดก่อนจะยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ตกออยู่ข้างเตียง
“ฮัลโหล” เธอรับสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงของคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลและไม่ค่อยจะพอให้มากนักที่โดนปลุกขึ้นมาแบบนี้
“เพิ่งตื่นหรือค่ะ น้องฟ้าดูข่าวหน้าหนึ่งวันนี้หรือยัง” เสียงของคนที่โทรมาพูดด้วยความตื่นเต้นร้อนรน
“มีอะไรหรือค่ะพี่มี่” ฟ้างามถามด้วยความอยากรู้ ทั้งที่จริงเธอก็พอจะรู้อยู่ว่าเรื่องอะไรแต่ก็อยากให้คนที่โทรมาได้เป็นคนบอกให้แน่ใจอีกครั้ง
“ก็ข่าวที่น้องฟ้าเหวี่ยงใส่ช่างทำผมไงคะ ตอนนี้ก็โด่งดังอยู่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเลยค่ะ” พี่มี่เริ่มทำน้ำเสียงไม่พอใจนางแบบที่อยู่ในการดูแลของเธอมีเรื่องเสียๆหายๆแบบนี้
“อ่อ แค่นี้หรือคะพี่มี่ งั้นราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เธอกดวางสายทันทีโดยที่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังกดด่าทอเธออยู่ แล้วเธอก็กลับเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับใหลอีกครั้ง แต่แล้วเสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอเริ่มโมโหที่การนอนของเธอถูกรบกวน
“วันนี้น้องฟ้ามีถ่ายแบบชุดราตรีตอนบ่ายโมงนะคะ” พี่มี่โทรกลับมาอีกครั้งเพื่อเตือนเวลางานให้นางแบบสาวได้ทราบ
“นี่เพิ่งหกโมงเช้าเองนะคะ พี่มี่”
“สิบเอ็ดโมงแล้ว และทำตัวให้สดชื่นก่อนมาถ่ายแบบนะเข้าใจไหม อย่ามาสายอีกล่ะ”
“ค่ะๆ” ฟ้างามตอบกลับน้ำเสียงขุนเคืองก่อนจะกดตัดสาย และอดนึกด่าผู้จัดการจอมจุ้นของเธอไม่ได้ เธอล้มตัวลงนอนอีกครั้งโดยไม่สนใจตารางงานที่ผู้จัดการบอก เธอคิดจะนอนต่ออีกซักสิบนาทีตอนนี้ร่างกายเธอต้านทานความง่วงไม่ไหว เธอเหนื่อยและหมดแรงจากการโหมทำงานหนักทั้งคืน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้คนที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นได้แต่ดีดตัวเองขึ้นจากเตียงด้วยอาการไม่สบอารมณ์
“อะไรอีกนี่” ฟ้างามตะโกนลั่นห้องแล้วเดินไปเปิดประตูด้วยดวงตาที่ยังเปิดไม่เต็มดวง
คนที่เคาะประตูยืนยิ้มให้เจ้าของห้องอย่างอารมณ์ดี ส่วนเธอก็มองหน้าเขาด้วยความขุ่นเคือง
“มีอะไร” เธอพูดกับเขาอย่างหงุดหงิด
“เอาหนังสือพิมพ์มาส่งครับ”ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผมสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันเข้ากับใบหน้าคมเข้มของเขา จนดูหล่อกว่าคนปรกติทั่วไปถ้าไม่มีหนวดเคราปิดบังซ่อนใบหน้าที่เกลี้ยงเหลาเอาไว้ เขากางหนังสือพิมพ์ออกและยื่นตรงมาที่หน้าเธอ
“นางแบบจอมเหวี่ยง” เธออ่านข้อความที่พาดหัวข่าวด้วยตัวหนังสือสีแดงขนาดใหญ่ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเขาอย่างแรง และเปิดประตูออกมาคว้าหนังสือพิมพ์ไปจากมือเขา
“สิบบาทครับ” เขาตะโกนบอกตามหลังทันทีที่ประตูถูกปิดลง
ฟ้างามเดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามาในห้องด้วยอาการสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอโยนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปที่โซฟา ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องนอนที่ประตูถูกเปิดค้างไว้ แล้วอาบน้ำแต่งตัวพร้อมที่จะไปทำงาน ตามคำสั่งผู้จัดการจอมจุ้นของเธอ
ฟ้างามรับงานถ่ายแบบ เดินแบบ ละคร หรือแม้แต่หนังเธอรับหมด ฟ้างามกลายเป็นดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากการที่เธอเริ่มเป็นนางแบบครั้งแรกให้กับนิตยสารวัยรุ่นชื่อดังเมื่อหกปีก่อน และไต่เต้าขึ้นมาจากผลงานที่มีฝีมือไม่ว่าจะการเดินแบบ ถ่ายแบบ และละคร จนได้กลายเป็นดาราดังที่มีชื่อเสียงแถวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทย
แต่การโด่งนั้นก็ต้องแลกมากับฉายาที่ว่า “นางแบบจอมเหวี่ยง” นั่นเป็นเพราะเธอเรียนรู้ที่จะอยู่ในวงการบันเทิงได้โดยที่เธอจะไม่โดนเอารัดเอาเปรียบจากคนรอบข้างที่คอยแต่จะหาประโยชน์ใส่ตน เธอจำเป็นต้องแข็งแกร่งแม้นั่นจะแลกมาด้วยคำว่า นางแบบจอมเหวี่ยง
และเธอก็ไม่คิดที่จะเกี่ยงงานเพราะเธอต้องการหาเงินมาไว้เยอะๆ เธอต้องการเก็บเงินส่วนนี้ไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เธอได้เรียนรู้แล้วว่ายามที่ไม่มีเงินมันลำบากแค่ไหน ตอนที่พ่อล้มละลายเธอไม่สามารถช่วยอะไรพ่อได้เลย เธอรู้ว่าพ่อต้องเหนื่อยและต้องทุ่มเทร่างกายแรงใจมากมายเกินกว่าที่เด็กน้อยอย่างเธอในตอนนั้นจะรับรู้ได้
ตอนนี้เธอสามารถทำงานและมีเงินมากพอที่จะเก็บไว้ช่วยเหลือพ่อยามที่พ่อมีปัญหา ถึงแม้ตอนนี้พ่อจะสามารถกอบกู้บริษัทของพ่อให้กลับมาผงาดบนเส้นทางธุรกิจได้อย่างสวยงามอีกครั้งแล้วก็ ตามแต่ความแน่นอนก็ไว้ใจไม่ได้เสมอไป
ฟ้างามในชุดเดรสสีเขียวเข้มรัดรูปที่ทำให้เห็นทรวงทรงองเอวตามสไตล์หุ่นนางแบบที่มีความสูงถึงร้อยเจ็ดสิบสามเซน แขนเสื้อกุด บวกกับความสั้นของกระโปรงที่เผยให้เห็นเรียวขาสวยงามได้รูป เธอปล่อยผมสีดำขลับหยักศกไหลลื่นไปตามแผ่นหลัง ผมสีดำสลวยสวยงามพลิ้วไหว ตามแรงโน้มถ่วงยามเธอก้มลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาจากโซฟา
นางแบบจอมเหวี่ยง ฟ้างาม กิจวิทยากุล ลูกสาวนักธุรกิจชื่อดังด่าท่อช่างทำผมเหตุเพราะช่างทำผมดึงผมเธอแรงจนทำให้เธอเจ็บ ฟ้างามจับเก้าอี้โยนใส่ช่างทำผมผู้น่าสงสาร จนทำให้ช่างทำผมต้องวิ่งร้องให้ออกจากห้องแต่งตัว เราคงต้องจับตาดูนางแบบจอมเหวี่ยงคนนี้ต่อไปนะคะ ว่าอนาคตในวงการบันเทิงจะรุ่งหรือร่วงกันแน่
ฟ้างามอ่านพาดหัวข่าวจบ แล้วโยนหนังสือพิมพ์นั่นลงถังขยะอย่างแม่นยำ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกอย่างแรงด้วยความโมโหในเนื้อหาข่าวที่ออกจะเกินจริงไปหน่อย เธอรู้ดีว่านักข่าวบางคนก็ไม่ชอบเธอเท่าไร การได้เขียนข่าวให้เธอเสียหายคงทำให้นักข่าวเหล่านั้นมีความสุข
เสียงเพลงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นอีกครั้ง เธอกดรับสายแต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรปลายสายก็ชิงพูดเสียก่อน
“ลูกเห็นข่าวหรือยัง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นทันทีที่ลูกสาวกดรับสาย
“เห็นแล้วค่ะ” ฟ้างามตอบเบื่อๆ
“ฟ้า ลูกต้องหัดให้ใจเย็นกว่านี้นะรู้ไหมกว่าพ่อจะกอบกู้บริษัทของเราให้กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งพ่อต้องเหนื่อยมากแค่ไหน ข่าวของลูกมันส่งผลเสียต่อพ่อและบริษัทนะลูก ลูกเข้าใจที่พ่อพูดมั้ย”
“เข้าใจค่ะ แต่ฟ้าไม่ได้ทำอย่างที่เขาเขียนนะคะ”
“แล้วทำไมเป็นข่าวไปได้” ผู้เป็นพ่อถามอย่างสงสัย
“ฟ้าเหวี่ยงใส่เขาจริงแต่ก็ไม่ได้ใช้เก้าอี้โยนใส่เขานะคะ ฟ้าแค่ใช้หวีอันเล็กนิดเดียวเองค่ะ”
“จะหวีหรือเก้าอี้ลูกก็ต้องใจเย็นๆ เพราะตอนนี้ลูกเป็นดาราเป็นคนที่ถูกจับตามองจากสื่อพ่อไม่อยากให้ใครมาว่าลูกพ่อเสียๆหายๆแบบนี้ ลูกภูมิใจหรือไงที่ได้ฉายานางแบบจอมเหวี่ยง” พ่อพูดอย่างด้วยความเป็นห่วงลูกสาว
“ฟ้าก็ไม่อยากได้ฉายานี่ซักหน่อยค่ะ แต่ก็ดีนะคะจะได้ไม่มีใครมาเรื่องมากกับฟ้าเพราะคงจะกลัวฟ้าเหวี่ยงใส่ ” ฟ้างามพูดติดตลกเพื่อทำให้พ่อรู้ว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องฉายาอะไรที่สื่อตั้งให้เธอเลย และเพื่อทำให้พ่อสบายใจด้วย
“นั่นซินะคงจะเป็นฉายาที่เหมาะสมกับลูกจริงๆแต่ลูกก็ต้องปรับปรุงตัวใหม่นะ เข้าใจที่พ่อพูดมั้ย”
“เข้าใจๆค่ะ ฟ้าจะพยายามนะคะ รักพ่อค่ะ”
“เดี๋ยวๆยายฟ้าเย็นนี้มาทานข้าวที่บ้านนะพ่อจะได้ให้แม่ครัวทำอาหารที่ลูกชอบ”
“ค่ะฟ้าจะไป รักพ่อนะคะ”
ฟ้างามวางโทรศัพท์บนโต๊ะด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายลง ก่อนจะหันไปมองหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในถังขยะอีกครั้ง เธอนึกสงสัยถึงคนที่เอาหนังสือพิมพ์มาให้เธอเหมือนว่าเธอเคยเจอเขาที่ไหนแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
เธอรู้อยู่ว่าเขาพักอยู่ห้องตรงข้ามกลับเธอ แต่เธอรู้สึกเหมือนจะเคยรู้จักเขามากกว่าเพื่อนข้างห้อง และทุกวันเธอจะเห็นเขาสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปเดินออกจากห้อง เขาไม่เคยพูดกับเธอเลยนอกจากส่งยิ้มให้ทุกครั้งที่เจอจนวันนี้อยู่ดีๆเขาก็เอาหนังสือพิมพ์มาให้เธอ
ฟ้างามนึกไปนึกมาก็อดคิดไปไม่ได้ว่าเขาเป็นปาปารัซซี่ หรืออาจจะเป็นพวกถ้ำมองแน่ๆมีกล้องถ่ายรูปด้วยต้องใช่แน่ๆ นั่นคือความคิดแว่บแรกที่เข้ามาในหัวของเธอ ก่อนจะใช้มือกอดอกแล้วลูบแขนตัวเองไปมา
วันนี้ฟ้างามมีถ่ายแบบชุดราตรีให้กับห้องเสื้อเนรมิตห้องเสื้อชื่อดังของเหล่าไฮโซซาเลบลงในนิตยสารไฮเลิฟลี่ เที่ยงตรงฟ้างามเดินทางมาถึงสตูดิโอที่ใช้สำหรับถ่ายแบบชุดราตรี เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ถูกจัดฉากให้เป็นทุ่งสวนดอกไม้ อีกมุมหนึ่งก็เป็นฉากความทันสมัยในเมืองใหญ่ และฉากสุดท้ายเป็นฉากมีจำลองเมืองเก่าในสมัยโบราณ
ฟ้างามเดินเข้ามาก็เห็นทีมงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเดินวุ่นวายไปหมด จัดฉากจัดแสงเตรียมชุดสิ่งเหล่านี้เธอเห็นจนชินตาและคิดว่ามันค่อนข้างจะดูเหมือนว่าทุกคนจะเป็นหุ่นยนต์ที่จะต้องคอยทำตามแบบแผนของแต่ล่ะคนให้ดีที่สุดและถูกต้องที่สุด
ตัวเธอเองก็คงไม่ต่างจากพวกเขาเหล่านี้ซักเท่าไหร่คิดไปคิดมาเธอก็นึกถึงหมู่บ้านโคกมะขามหวานที่ๆเธอปฏิเสธที่จะอยู่มาโดยตลอดแต่ตอนนี้เธออยากกลับไปที่นั่นอีก ฟ้างามยักไหล่ให้ตัวเองเพราะไม่รู้จะถึงนึกบ้านนอกอย่างนั้นขึ้นมาทำไม
เธอหันไปมองนางแบบอีกสองคนที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ คนหนึ่งเธอรู้จักดีซึ่งเป็นคู่กรณีที่ชอบมีข่าวเกาเหลากับเธออยู่บ่อยๆ และเจ้าหล่อนคู่กรณีก็หันมาชายตามองเธอแล้วเป๋ปากใส่ก่อนจะหันกลับไปมองช่างแต่งหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“น้องฟ้างามมาแล้วหรือค่ะ ทางนี้เลยคะน้องฟ้าไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะเดี๋ยวมาแต่งหน้าทำผม”พี่มี่ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอเดินมาหาพลางกับลากแขนเธอไปให้ทีมงานจัดการใส่ชุด และแต่งหน้า
“พี่มี่ไม่เห็นบอกเลยค่ะว่ายัยซันนี่จะมาถ่ายแบบด้วย” ฟ้างามพูดอย่างไม่พอใจ
“พี่ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันบังเอิญเขาเปลี่ยนนางแบบกะทันหันนะ พี่ได้ยินข่าวมาว่ายัยซันนี่แอบกิ๊กกั๊กกับลูกชายเจ้าของห้องเสื้อก็เลยพลอยได้มาถ่ายแบบด้วย แต่น้องฟ้าอย่าไปสนใจเลยคะ” พี่มี่พูดอย่างไม่ชอบใจในตัวนางแบบที่ชื่อซันนี่เช่นกัน
“ฟ้าไม่สนใจหรอกคะ แค่เห็นหน้ายัยนี่แล้วเกิดอารมณ์เสียขึ้นมา”
“ถือซะว่าเห็นหมูหมากาไก่แล้วกัน” พี่มี่พูดเป็นเชิงไม่อยากให้เกิดศึกขึ้น
“แล้วคนนั้นใครค่ะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เธอมองไปทางผู้หญิงผมบรอนซ์ประบ่าที่นั่งแต่งหน้าอยู่ข้างๆซันนี่
“อ่อ นั่นน้องเบลล่าค่ะ นางแบบหน้าใหม่เป็นหลานสาวเจ้าของห้องเสื้อนี้”
“นี่ฟ้ามาถ่ายแบบกับเด็กเส้นทั้งนั่นหรือคะนี้”
“แต่น้องฟ้านี่เจ้าของร้านเขาเลือกเองเลยนะคะ”
“เชิญทางนี้ค่ะ” เสียงทุ้มห้าวสไตล์สาวหล่อเดินเข้ามาตามฟ้างามให้ไปเปลี่ยนชุด
“อ่อๆ ขอโทษที” พี่มี่ขอโทษขอโทษขอโพยทีมงาน หลังจากที่ยืนคุยกับนางแบบนานไปหน่อย
หนึ่งชั่วโมงกับการแต่งหน้าทำผมให้กับนางแบบทั้งสามคนทุกคนก็ออกมาสวยสมบูรณ์แบบ
“พี่จะถ่ายแบบรวมกลุ่มก่อนนะ และเดี๋ยวจะแยกถ่ายเดียวทีละคน”พี่มาร์คช่างภายมืออาชีพบอกกับนางแบบทั้งสามคน
แต่นางแบบจอมเหวี่ยงกลับไม่สนใจคนพูดเธอเปิดตากว้างมองไปยังคนที่อยู่ข้างหลังกล้องถ่ายรูปมีคนที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดียืนอยู่ตรงนั่นชายร่างสูงโปร่งผมสีน้ำตาลอ่อนหนวดเครารกรุงรังชายที่เอาหนังสือพิมพ์มาให้เธอเมื่อเช้านี้ เธอมองเขาด้วยความงุนงงและสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี้