ในกรณีการที่เรา (โจทย์) ทราบว่า ลูกหนี้ที่เป็นโครงการอาคารพานิช (จำเลย) มีการขอจัดสรรที่ดินเป็นแปลงย่อย ประมาณ 90 แปลง แปลงละประมาณ 20 ตรว. โดยการก่อสร้างแบ่งเป็น 2 เฟส โดย เฟสแรกสร้างเสร็จแล้วแต่ยังมีบางคูหาที่ยังไม่ได้ขาย (กรรมสิทธิยังเป็นชื่อจำเลยอยู่) ส่วนเฟสที่สองยังสร้างไม่เสร็จ บางห้องมีแต่เสา บ้างห้องยังไม่สร้าง

ทางผมได้มัดจำเฟสสอง เป็นเงินประมาณ 1.6 ล. (โครงการขายหลังละ 8.8ล) ตอนนี้ศาลพิพากษาแล้วว่าให้เจ้าหนี้คืนเงินพร้อมดอกเบี่ย (ราว 2 ล.)
ผมเคยไปค้นโฉนดที่โครงการดูปรากฎว่า ที่แต่ละแปลงมีติดจำนองเจ้าหนี้แบงก์ราวๆ แปลงละ 4-5 ล. (ไม่เท่ากันในแต่ละแปลง)

อยากทราบข้อมูลดังนี้เพื่อใช้ในการตัดสินใจในการดำเนินเรื่องบังคับคดีครับ
1. กรณีนี้ผมสามารถยึดที่ดินได้กี่แปลง เฟลแรกที่บางหลังขายไม่ออก ก็ไม่ติดกัน
2. ทางกรมบังคับคดี ยอมให้เอาหนี้บุริมสิทธ์ (เจ้าหนี้แบงก์) มาหักมูลค่าที่ดินและอาคารหรือไม่ (ถ้าไม่หัก ดูเหมือนผมจะยึดไดแค่แปลงเดียว ถ้าโชคดีขายทอดตลาดได้แบงก์ก็จะได้ไปเกือบหมด  ถ้ายึดได้หลายแปลงยังมีโอกาศมีเงินหลื่อพอของเรา)
3. อยากทราบรายละเอียดว่า การคำนวนมูลค่าทรัพย์ เทียบกับ มูลหนี้(ของเรา) ของกรมบังคับคดีมีการคำนวนอย่างไร
4. อันนี้นอกเรื่องครับ พอดีไปขออำเภอคัดทะเบียนสมรสจำเลย (กรรมการ) ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลการจดทะเบียน แต่จำเลยใช้คำนำหน้าว่านาง ไม่แน่ใจว่าสามารถเปลี่ยนค้ำนำหน้าเป็น นาง โดยไม่จดทะเบียนสมรสได้ด้วยหรือครับ  จำเลยอายุมากแล้ว ลูกก็อายุน่าจะ 30 - 40 เลยไม่แน่ใจว่าไม่ได้จด หรือ ไม่มีการนำเข้าข้อมูลกรณีของการจดทะเบียนที่นานมาแล้ว

ขอบคุณครับ