ปล.รูปภาพอาจเยอะสักหน่อย
ทริปนี้ถ่ายภาพด้วย Fuji X-A1 เลนส์ 18/f2, บางรูปก็ถ่ายด้วยมือถือ
และหากมีข้อผิดพลาดตรงไหนก็ช่วยชี้แนะ ติชมกันได้นะคะ
วันที่ 30 กรกฎา 2558
เริ่มการเดินทางในยามเช้าตรู่ กับวันฝนตกพร่ำๆ ท้องฟ้าอึมครึม
แสงอาทิตย์ไม่สามารถแม้แต่ที่จะส่องผ่านเมฆครึมลงมาได้
บรรยากาศช่างดูเงียบเหงา อ้างว้าง เดียวดายสะเหลือเกิน
แต่ดีนะ ที่ทริปนี้เราไม่ต้องเดินทางไปคนเดียว มีผู้ร่วมเดินทางด้วยกันตั้ง 1 คน
จุดเริ่มต้นการเดินทางของเราอยู่ที่สถานีรถไฟ “ดอนเมือง”
ด้วยความที่คิดว่าไปรถเมล์ เผื่อรถจะติด ไปรถไฟกันดีกว่า รถไม่ติดชัวร์
แต่รถไฟจะเลทหรือเปล่า ก็เป็นอีกเรื่องนะ เราสองคนก็นัดเจอกันที่สถานีดอนเมือง
ไปถึงพวกเราก็ไปตีตั๋วจากสถานีดอนเมืองไปลงสถานีหัวลำโพง ได้รอบ 7.34 น.
และขอให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋วจากสถานีหัวลำโพงไปหัวหินรอบ 9.20 น. ให้ด้วย
เจ้าหน้าที่ก็ขอบัตรประชาชนพวกเรา เราก็ยืนบัตรประชาชนของเราสองคนให้
พอได้ตั๋วมา เราก็มานั่งรอ รอคอยว่ารถไฟวันนี้จะมาตรงตามเวลาไหม
และแล้วก็มีเสียงประกาศมาตามสายว่า “ขณะนี้ขบวนรถไฟจากแก่งคอย มุ่งหน้าสู่สถานีกรุงเทพ
ได้ออกเดินทางจากสถานีรังสิตเรียบร้อยแล้ว” (จำได้ว่าพูดประมาณนี้ อาจจะไม่ตรงเป๊ะๆ)
เราก็ตื่นเต้นอยู่ในใจ จุดเริ่มต้นของการเดินทางกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้วนะ
เวลาประมาณ 7.38 “ขณะนีขบวนรถไฟจากแก่งคอย จะเข้าเทียบชานชาลาที่ 1......“
แล้วรถไฟก็เคลื่อนเข้าสู่ชานชาลาที่ 1 สถานีดอนเมือง
เลทจากกำหนดการเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร
พอรถไฟจอดสนิท พวกเราก็ขึ้นไปจับจองที่นั่งกัน
คนบนรถไฟมีคนไม่เยอะ ยังมีที่ว่างให้ได้เลือกนั่งอยู่
อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุดราชการด้วยแหละมั้ง
ถ้าเป็นวันธรรมดา คงต้องยืนกันตามระเบียบ
แต่ฝนยังคงตกปอยๆ ต่อไป แบบไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง รถไฟก็เข้ามาจอดที่ชานชาลาที่ 6 สถานีหัวลำโพง(กรุงเทพ)
มีเวลาอีกเกือบ 40 นาที เดินไปถ่ายรูปเล่น ซื้อขนมมาตุนเป็นเสบียงบนรถไฟดีกว่า
ณ ชานชาลาที่ 7 มีผู้คนมากมายมารอรถขบวนนี้ ที่จะออกเดินทางสู่หัวหิน
เราก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนมีจุดหมายปลายทางคือที่ไหน
นี่อาจจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟฟรีครั้งแรกของคนหลายคน (พวกเราก็ด้วย)
หรือสำหรับบางคน นี่อาจจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟเป็นประจำอยู่แล้ว
บางคนอาจจะมีจุดหมายปลายทางระยะสั้น บางคนก็มีจุดหมายระยะยาว
บางคนอาจจะยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่เลือกที่จะลงก่อน(คนบนรถไฟเยอะมาก จริงๆ)
และบางคนอาจจะรู้ว่าต้องเหนื่อยแค่ไหน กว่าจะถึงปลายทาง แต่ก็เลือกที่จะสู้ต่อไป ฮึบ ฮึบ (อย่างพวกเรา)
(อดกินก๋วยเตี๋ยวราชบุรี 10 บาทเลย เสียใจ)
ณ สถานีรถไฟชะอำ ในที่สุดพวกเราก็ได้พักลำแข้งของพวกเราสักที
จากที่รถไฟได้เคลื่อนตัวออกพ้นเขตกรุงเทพฯ สายฝนก็ได้หยุดลงแล้ว
จนกระทั่งพวกเราเดินทางมาถึงชะอำ มองออกไปทางนอกหน้าต่าง
ฟ้าก็ครึ้มมาอีกแล้ว เราก็คงได้แต่ทำใจและยอมรับ เราเลือกเองที่จะมาฤดูนี้
ฤดูที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เราก็ยังอยากจะมา (จะดราม่าไปไหน)
ดีสะอีก เที่ยวท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
อาจจะได้ประสบการ์ณใหม่ไปอีกแบบนะ
เคยมีคนบอกไว้ว่า “อยู่ใต้ฟ้า อย่ากลัวฝน” ใช่เลย เราจะกลัวทำไม
และแล้ว พวกเราก็เดินทางมาถึงสถานี “หัวหิน” ในเวลา 14.40 น.
ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้
ฝน ยังคงตกต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ
พวกเราสองคนหิวมาก หาอะไรเติมพลัง(กาย)กันเถอะ
เคยไหม เวลาที่หิวมากๆ จะหน้ามืดตามัวสั่งของกินมาเยอะ
แล้วกินไม่หมด สุดท้ายก็ได้แต่คิดเสียดาย ว่าไม่น่าเลย
(ไม่ได้ถ่ายรูปกับป้ายสถานีรถไฟ "หัวหิน" เลย)
เพื่อนกินข้าวผัดปู ส่วนเราสั่งปลาหมึกผัดไข่เค็มกับหมูทอดกระเทียม ข้าว2จาน อิ่มคะ
ร้านโกทิอาหารอร่อยจริง
พอกินอิ่ม ก็ออกเดินไปที่พัก ที่พักพิงกายของพวกเราในวันนี้คือ
อารีย์ เฮ้าส์ ซ.หัวหิน 55 เช็คอินเรียบร้อย เราก็เข้าห้องพักกัน
อาบน้ำ นอนพักผ่อนกายสักพัก แล้วพวกเราจะไปเดินเล่นริมทะเลสักหน่อย
แต่สงสัยฟ้าจะไม่เป็นใจ จากที่ตกปรอยๆ กลายเป็นลมแรง
ฝนตกหนักมาก พวกแล้วเลยเลือก เลือกที่จะนอนพักยาวดีกว่า
ถ้าจะตกหนักขนาดนี้ “อยู่ใต้ฟ้า อย่ากลัวฝน” คงจะใช้ไม่แล้วล่ะ
“ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...” เสียงจากทีวีที่เปิดทิ้งไว้
เรานี่สะดุ้งตื่นเลย เพลินวานๆ พวกเราต้องรีบไปเพลินวานกัน
เดี๋ยวจะมืดซะก่อน แล้วจะเดินทางกลับมาที่พักลำบาก
ฝนจากที่ตกหนักก็เปลี่ยนกับมาตกปรอยๆ อีกครั้ง
เอาสิ ตกมาเลย ฝนตกแค่นี้ขวางการเที่ยวของพวกเราไม่ได้หรอกนะ
(พวกเรานั่งรถสองแถวสีเขียว ไปลงเพลินวานกัน เสียค่ารถคนละ 10 บาทได้
แต่ถ้าเวลา7.00 – 9.00 น และ19.00 – 21.00 น. จะเสียค่ารถคนละ 15 บาท)
ถึงแล้วเพลินวาน สถานที่เที่ยวที่แรกของทริปนี้
คนไม่เยอะมาก สถานที่ก็ไม่ได้ใหญ่โตมาก
แต่เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันเกือบ 2 ชั่วโมงได้ เพลินๆ กันไป
เวลาผ่านไปไว จะสองทุ่มครึ่งแล้ว เราไปที่ต่อไปกันเถอะ
เดินข้ามสะพานลอยมาฝั่งตรงข้ามเพลินวาน
รถสองแถวจะมีไหมน้า รถจะหมดถึงยังน้า คิดไปต่างๆ นาๆ
แต่คนขับรถสองแถวบอกรถหมด 3 ทุ่มนะ ทำได้แต่รอ รอคอยต่อไปท่ามกลางสายฝน
สักพักรถสองแถวก็มา โบกรถแทบไม่ทัน
ตลาดโต้รุ่งก็ไม่มีอะไรมา ละลานตาไปด้วยเหล่าสัตว์ทะเล ตัวเบอเร้อ
เห็นแล้วชวนน้ำลายสอ ได้แต่มองตาปริบๆ
ร้านผัดไทย-หอยทอด โรตี โจ๊ก ยังร้านอาหารอื่นๆ อีก แต่จำได้เท่านี้
นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า ชุดว่ายน้ำ เครื่องประดับ กระเป๋า ฯลฯ
เพื่อนเราหมดเงินกับการช็อปปิ้งไปหลายบาทอยู่
จบวันแรกเพียงเท่านี้คะ
เที่ยวหัวหินในวันฝนพร่ำ โดยรถไฟฟรี
ปล.รูปภาพอาจเยอะสักหน่อย
ทริปนี้ถ่ายภาพด้วย Fuji X-A1 เลนส์ 18/f2, บางรูปก็ถ่ายด้วยมือถือ
และหากมีข้อผิดพลาดตรงไหนก็ช่วยชี้แนะ ติชมกันได้นะคะ
วันที่ 30 กรกฎา 2558
เริ่มการเดินทางในยามเช้าตรู่ กับวันฝนตกพร่ำๆ ท้องฟ้าอึมครึม
แสงอาทิตย์ไม่สามารถแม้แต่ที่จะส่องผ่านเมฆครึมลงมาได้
บรรยากาศช่างดูเงียบเหงา อ้างว้าง เดียวดายสะเหลือเกิน
แต่ดีนะ ที่ทริปนี้เราไม่ต้องเดินทางไปคนเดียว มีผู้ร่วมเดินทางด้วยกันตั้ง 1 คน
จุดเริ่มต้นการเดินทางของเราอยู่ที่สถานีรถไฟ “ดอนเมือง”
ด้วยความที่คิดว่าไปรถเมล์ เผื่อรถจะติด ไปรถไฟกันดีกว่า รถไม่ติดชัวร์
แต่รถไฟจะเลทหรือเปล่า ก็เป็นอีกเรื่องนะ เราสองคนก็นัดเจอกันที่สถานีดอนเมือง
ไปถึงพวกเราก็ไปตีตั๋วจากสถานีดอนเมืองไปลงสถานีหัวลำโพง ได้รอบ 7.34 น.
และขอให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋วจากสถานีหัวลำโพงไปหัวหินรอบ 9.20 น. ให้ด้วย
เจ้าหน้าที่ก็ขอบัตรประชาชนพวกเรา เราก็ยืนบัตรประชาชนของเราสองคนให้
พอได้ตั๋วมา เราก็มานั่งรอ รอคอยว่ารถไฟวันนี้จะมาตรงตามเวลาไหม
และแล้วก็มีเสียงประกาศมาตามสายว่า “ขณะนี้ขบวนรถไฟจากแก่งคอย มุ่งหน้าสู่สถานีกรุงเทพ
ได้ออกเดินทางจากสถานีรังสิตเรียบร้อยแล้ว” (จำได้ว่าพูดประมาณนี้ อาจจะไม่ตรงเป๊ะๆ)
เราก็ตื่นเต้นอยู่ในใจ จุดเริ่มต้นของการเดินทางกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้วนะ
เวลาประมาณ 7.38 “ขณะนีขบวนรถไฟจากแก่งคอย จะเข้าเทียบชานชาลาที่ 1......“
แล้วรถไฟก็เคลื่อนเข้าสู่ชานชาลาที่ 1 สถานีดอนเมือง
เลทจากกำหนดการเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร
พอรถไฟจอดสนิท พวกเราก็ขึ้นไปจับจองที่นั่งกัน
คนบนรถไฟมีคนไม่เยอะ ยังมีที่ว่างให้ได้เลือกนั่งอยู่
อาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันหยุดราชการด้วยแหละมั้ง
ถ้าเป็นวันธรรมดา คงต้องยืนกันตามระเบียบ
แต่ฝนยังคงตกปอยๆ ต่อไป แบบไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง รถไฟก็เข้ามาจอดที่ชานชาลาที่ 6 สถานีหัวลำโพง(กรุงเทพ)
มีเวลาอีกเกือบ 40 นาที เดินไปถ่ายรูปเล่น ซื้อขนมมาตุนเป็นเสบียงบนรถไฟดีกว่า
ณ ชานชาลาที่ 7 มีผู้คนมากมายมารอรถขบวนนี้ ที่จะออกเดินทางสู่หัวหิน
เราก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนมีจุดหมายปลายทางคือที่ไหน
นี่อาจจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟฟรีครั้งแรกของคนหลายคน (พวกเราก็ด้วย)
หรือสำหรับบางคน นี่อาจจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟเป็นประจำอยู่แล้ว
บางคนอาจจะมีจุดหมายปลายทางระยะสั้น บางคนก็มีจุดหมายระยะยาว
บางคนอาจจะยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง แต่เลือกที่จะลงก่อน(คนบนรถไฟเยอะมาก จริงๆ)
และบางคนอาจจะรู้ว่าต้องเหนื่อยแค่ไหน กว่าจะถึงปลายทาง แต่ก็เลือกที่จะสู้ต่อไป ฮึบ ฮึบ (อย่างพวกเรา)
(อดกินก๋วยเตี๋ยวราชบุรี 10 บาทเลย เสียใจ)
ณ สถานีรถไฟชะอำ ในที่สุดพวกเราก็ได้พักลำแข้งของพวกเราสักที
จากที่รถไฟได้เคลื่อนตัวออกพ้นเขตกรุงเทพฯ สายฝนก็ได้หยุดลงแล้ว
จนกระทั่งพวกเราเดินทางมาถึงชะอำ มองออกไปทางนอกหน้าต่าง
ฟ้าก็ครึ้มมาอีกแล้ว เราก็คงได้แต่ทำใจและยอมรับ เราเลือกเองที่จะมาฤดูนี้
ฤดูที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เราก็ยังอยากจะมา (จะดราม่าไปไหน)
ดีสะอีก เที่ยวท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
อาจจะได้ประสบการ์ณใหม่ไปอีกแบบนะ
เคยมีคนบอกไว้ว่า “อยู่ใต้ฟ้า อย่ากลัวฝน” ใช่เลย เราจะกลัวทำไม
และแล้ว พวกเราก็เดินทางมาถึงสถานี “หัวหิน” ในเวลา 14.40 น.
ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้
ฝน ยังคงตกต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ
พวกเราสองคนหิวมาก หาอะไรเติมพลัง(กาย)กันเถอะ
เคยไหม เวลาที่หิวมากๆ จะหน้ามืดตามัวสั่งของกินมาเยอะ
แล้วกินไม่หมด สุดท้ายก็ได้แต่คิดเสียดาย ว่าไม่น่าเลย
(ไม่ได้ถ่ายรูปกับป้ายสถานีรถไฟ "หัวหิน" เลย)
เพื่อนกินข้าวผัดปู ส่วนเราสั่งปลาหมึกผัดไข่เค็มกับหมูทอดกระเทียม ข้าว2จาน อิ่มคะ
ร้านโกทิอาหารอร่อยจริง
พอกินอิ่ม ก็ออกเดินไปที่พัก ที่พักพิงกายของพวกเราในวันนี้คือ
อารีย์ เฮ้าส์ ซ.หัวหิน 55 เช็คอินเรียบร้อย เราก็เข้าห้องพักกัน
อาบน้ำ นอนพักผ่อนกายสักพัก แล้วพวกเราจะไปเดินเล่นริมทะเลสักหน่อย
แต่สงสัยฟ้าจะไม่เป็นใจ จากที่ตกปรอยๆ กลายเป็นลมแรง
ฝนตกหนักมาก พวกแล้วเลยเลือก เลือกที่จะนอนพักยาวดีกว่า
ถ้าจะตกหนักขนาดนี้ “อยู่ใต้ฟ้า อย่ากลัวฝน” คงจะใช้ไม่แล้วล่ะ
“ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...” เสียงจากทีวีที่เปิดทิ้งไว้
เรานี่สะดุ้งตื่นเลย เพลินวานๆ พวกเราต้องรีบไปเพลินวานกัน
เดี๋ยวจะมืดซะก่อน แล้วจะเดินทางกลับมาที่พักลำบาก
ฝนจากที่ตกหนักก็เปลี่ยนกับมาตกปรอยๆ อีกครั้ง
เอาสิ ตกมาเลย ฝนตกแค่นี้ขวางการเที่ยวของพวกเราไม่ได้หรอกนะ
(พวกเรานั่งรถสองแถวสีเขียว ไปลงเพลินวานกัน เสียค่ารถคนละ 10 บาทได้
แต่ถ้าเวลา7.00 – 9.00 น และ19.00 – 21.00 น. จะเสียค่ารถคนละ 15 บาท)
ถึงแล้วเพลินวาน สถานที่เที่ยวที่แรกของทริปนี้
คนไม่เยอะมาก สถานที่ก็ไม่ได้ใหญ่โตมาก
แต่เราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันเกือบ 2 ชั่วโมงได้ เพลินๆ กันไป
เวลาผ่านไปไว จะสองทุ่มครึ่งแล้ว เราไปที่ต่อไปกันเถอะ
เดินข้ามสะพานลอยมาฝั่งตรงข้ามเพลินวาน
รถสองแถวจะมีไหมน้า รถจะหมดถึงยังน้า คิดไปต่างๆ นาๆ
แต่คนขับรถสองแถวบอกรถหมด 3 ทุ่มนะ ทำได้แต่รอ รอคอยต่อไปท่ามกลางสายฝน
สักพักรถสองแถวก็มา โบกรถแทบไม่ทัน
ตลาดโต้รุ่งก็ไม่มีอะไรมา ละลานตาไปด้วยเหล่าสัตว์ทะเล ตัวเบอเร้อ
เห็นแล้วชวนน้ำลายสอ ได้แต่มองตาปริบๆ
ร้านผัดไทย-หอยทอด โรตี โจ๊ก ยังร้านอาหารอื่นๆ อีก แต่จำได้เท่านี้
นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า ชุดว่ายน้ำ เครื่องประดับ กระเป๋า ฯลฯ
เพื่อนเราหมดเงินกับการช็อปปิ้งไปหลายบาทอยู่
จบวันแรกเพียงเท่านี้คะ