[CR] EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 4::Austria

ติดตามตอนอื่นๆได้ที่
EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 0::การเตรียมตัว : http://ppantip.com/topic/33824688
EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 1::Malaysia : http://ppantip.com/topic/33832841
EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 2::Singapore : http://ppantip.com/topic/33837026
EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 3::Germany(Part1) : http://ppantip.com/topic/33999802
EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 5::Hungary : http://ppantip.com/topic/34017218
EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 6::Czech Republic :http://ppantip.com/topic/34029583
EU with 2 mens [ยุโรป+สิงคโปร์+มาเลเซีย:14วัน6ประเทศ]::Chapter 7::Germany(Part2) :http://ppantip.com/topic/34076250

Phase II : Europe(Germany+Austria+Czech Republic+Hungary)
Chapter 4 : Austria Fast Life (ชีวิตเร็วๆในประเทศออสเตรีย)

9 มิถุนายน 2558 : ขึ้นลงเขา งานถนัดเรา
7.00น. เนื่องจากเมื่อวานฝนตกหนักมากจนไม่สามารถเดินเยี่ยมชมเมือง Salzburg ได้เลย ผมจึงต้องรีบเดินชมเมือง Salzburg ให้เสร็จภายในวันนี้ช่วงเช้า – เพราะช่วงบ่ายเราจะนั่งรถไฟไปเมือง Hallstatt และนอนที่นั้น



ร้านสะดวกซื้อ SPAR

เราจัดการตัวเองเสร็จภายใน30นาทีและซื้ออาหารเช้าง่ายๆกินในซุปเปอร์มาเกตชื่อ SPAR ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่พบได้ทั่วไปในประเทศออสเตรีย ผมซื้อ Pizza พร้อมกับนม1ลิตร (นมวัวที่นี้ถูกมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ ผมจึงกินนมแทนน้ำเปล่าไปเลย ไม่แปลกใจเลยที่คนยุโรปตัวสูง)
8.00น. เราก็นั่งรถเมล์เข้ามาถึงตัวเมือง ถึงแม้ว่าวันนี้สภาพอากาศจะไม่ได้ดีอะไรมากนักเพราะท้องฟ้าถูกปกคลุมโดยก้อนเมฆ แต่อย่างน้อยฝนก็ยังไม่ตก เอาล่ะเริ่มเดินในเมืองเก่าของ Salzburg กันเลย
เดินตัดผ่านถนนเมืองเก่าที่มีการซ่อมแซมบูรณะถนนอยู่ในขณะนี้ อาคารรอบข้างดูเก่าและขลัง บางอาคารมีการระบุปีที่สร้างและปีที่บูรณะไว้ด้วยเพื่อยืนยันว่าเป็นอาคารที่หลงเหลือมาจากอดีตกาล ป้ายของร้านค้าทุกป้ายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้แต่ร้านอาหาร Fast foodอย่างMacdonaldก็ยังเปลี่ยนป้ายร้านตัวเองให้ดูเข้ากับเมืองเก่าอย่างกลมกลืน

เดินมาเรื่อยๆก็จะพบกับโบสถ์ อาคารและจุดถ่ายภาพหลายๆจุดที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีต เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดเจนของเมืองเก่าของ salzburgก็คือ ความกลมกลืนของความเก่า เสมือนว่าทั้งเมืองเป็นหนึ่งเดียวกัน


ด้านบนของภาพคือ Hohensalzburg

เราเดินมุ่งหน้าสู่เนินเขาเพื่อเดินขึ้นไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้ ก็คือ Hohensalzburg (ป้อมปราการที่อยู่บนเนินเขา) Hohensalzburg ช่างดูเด่นเป็นสง่าจากข้างล่างนี้
เราเดินตัดผ่าน หมู่อาคารและบ้านเรือนจนไปถึงทางเดินขึ้นเขา ไม่นานนักก็ขึ้นไปถึงยอดของเนิน
เมื่อไปถึงหน้าทางเข้าก็พบว่า....ทางเข้าปิดอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะเปิด ผมจึงไปสอบถามคนที่เดินผ่านไปมาว่าเหตุใด ป้อมปราการยังไม่เปิดให้เยี่ยมชม และได้ข้อมูลมาว่า “เปิด 9.00น. อีกครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้” แต่เนื่องด้วยเราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น ผมจึงตัดสินใจกลับลงไปเดินสำรวจส่วนอื่นๆของ Salzburg ก่อน เพื่อใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้
เราใช้เวลาเดินดูร้านค้า (ที่ยังไม่เปิด) ซื้อไอศกรีมกิน (ในอากาศอุณหภูมิ 16 องศา) และเยี่ยมชมResidenzPlatz, KapitelPlatzและMozarthaus (บ้านหลังเก่าของMozartในฝั่งOldtown) ในเวลาเพียง 40 นาที //เดินให้ว่อง

ไอศกรีมรสถั่วพิตาชิโอ้และช็อกโกแลต

9.15น. เราหลงขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ (บนซ้ายของแผนที่) จนไปเจอโบสถ์ๆหนึ่งชื่อ “Mullnerkirche”  ซึ่งโบสถ์นี้อยู่บนเขา ผมไม่รีรอ เดินไต่ขึ้นเขาไปเยี่ยมชมโบสถ์ในทันที

ทางด้านซ้ายคือโบสถ์ที่กล่าวถึง

เมื่อมาถึงยอดเขา ผมได้พบกับเส้นทางวิ่งออกกำลังกายบนเขา ซึ่งมีชาวเมืองSalzburg หลายๆคนมาออกกำลังกายตอนเช้า ขณะนั้นมีคุณยายวิ่งผ่านมาหนึ่งคน ผมจึงถามว่า “เดินต่อไปทางนี้จะไปที่ไหนหรอครับ” และคุณยายก็ได้ตอบกลับมาว่า “ไปถึงป้อม Hohensalzburgได้เลยนะหนู” ……..เยี่ยมเลยงั้นเราก็ไม่ต้องลงเขา เราเดินผ่านเส้นทางบนเขาได้………แต่คุณยายลืมบอกไปว่าเส้นทางบนเขามันไม่ได้เป็นเส้นทางตรงๆ (ตอนแรกเราคิดว่าภูเขาที่ตั้งของ Hohensalzburgกับภูเขานี้ เป็นภูเขาลูกเดียวกัน แต่จริงๆแล้วมันเป็นภูเขาคนละลูก ดังนั้นทางเดินจึงต้องลงเขาลูกแรกก่อน และจึงปีนขึ้นเขาลูกที่สองอีกรอบ)

เรา2คนเดินต่อไปตามเส้นทางบนเขา ระหว่างทางก็จะพบกับวิวเมืองSalzburgแบบPanorama ซึ่งเป็นวิวมุมเดียวกับที่อยู่ใน Postcardของเมืองนี้ (วิวตรงนี้สวยมากแต่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว เพราะมันอยู่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว และขึ้นมาได้ยาก) เดินไปเดินมาฝนก็เริ่มตกลงมาปรอยๆ พวกเราจึงต้องเร่งฝีเท้า
ผ่านไป 40 นาที เราขึ้นลงขึ้นลงเนินหลายต่อหลายเนินในที่สุดก็มาถึงใกล้ป้อม Hohensalzburgมากแล้ว เมื่อมาถึงทางเข้าหน้าป้อม(ขณะนี้เปิดทำการแล้ว) ก็ต้องจ่ายค่าผ่านเข้าและเยี่ยมชมในตัวป้อมราคา 8 Euro
หมายเหตุ : จริงๆแล้วมีกระเช้าสำหรับขึ้นป้อมปราการราคาไปกลับรวมค่าเข้าเยี่ยมชมตัวป้อมปราการเพียง 10.5 Euro

เราเดินชมรอบๆตัวป้อมปราการ ถ่ายรูป ณ มุมถ่ายรูปยอดฮิตและรอประมาณ 15 นาที เพื่อเช้าชมสถาปัตยกรรมภายในตัวป้อมปราการ เวลา 10.35น.
10.35น. พนักงานอนุญาตให้เข้าภายในตัวป้อมได้และแจกอุปกรณ์คล้ายๆวอกกี้ทอกกี้ ซึ่งบรรจุข้อมูลของแต่ละห้องในตัวอาคาร เมื่อเดินไปถึงห้องแต่ละห้องเราก็จะสามารถกดปุ่มเพื่อฟังข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของห้องๆนั้นเป็นภาอังกฤษได้ –ช่วยให้อินกับการเดินชมมากขึ้น
ห้องที่1 กล่าวถึง ประวัติศาสตร์การสร้างป้อมปราการ Hohensalzburg โดยผู้ปกครองแต่ละคน
ห้องที่2 เป็นห้องที่ใช้ทรมานนักโทษ แต่ยังไม่เคยใช้งานจริง
ห้องที่3 เป็นชั้นดาดฟ้าซึ่งเราก็ได้จะชมเมืองSalzburgพร้อมคำอธิบาย (อุปกรณ์จะอธิบายการสร้างเมืองSalzburgไปพร้อมกับการชมวิวเมืองแบบ 360 องศา)
ห้องที่4 เป็นสถานที่เล่นออร์แกนเพื่อเป็นสัญญาณปลุก และ บอกเวลาพักของคนงานในตัวป้อมปราการในอดีต

มุมยอดฮิตของเมืองSalzburgจากบนปราสาท

11.10น. เราเดินลงตัวป้อมปราการเพื่อกลับสู่สถานีรถไฟ เราจะเดินทางจาก Salzburg ไป Hallstatt ด้วยรถไฟเที่ยว 12.12น.
ทันใดนั้นร่างกายของผมก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น สมองสั่งการในทันทีว่า ให้หาห้องน้ำโดยด่วน ผมวิ่งหาห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดด้วยความตื่นเต้นว่าจะทันการหรือไม่ ……ต้องขอขอบคุณโรงแรมห้าดาวแห่งนี้ที่ให้ผมได้ใช้บริการ โรงแรมหรูมากอยู่ริมแม่น้ำ
11.30น. เราเดินผ่าน สวนMirabell และบ้านโมสาร์ทหลังใหม่ที่อยู่เมืองใหม่ สวนMirabellถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่อง Sound of Music หนังเก่าที่มีชื่อเสียงมาก ฉากในเรื่องส่วนใหญ่ถ่ายทำ ณ เมือง Salzburg
12.00น. เรากลับมาถึง สถานรถไฟ เหลือเวลาเพียง 12 นาทีก่อนที่รถไฟจะออกไปสู่เมือง Attnang Puchheim สถานีที่สามารถเปลี่ยนรถไป Hallstatt ได้  ผมวิ่งไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมส่วนเพื่อนผมนั้นก็ไปดูว่าต้องขึ้นรถไฟที่ชานชะลาใดพร้อมทั้งซื้อนมChocolate ให้ผม
12.10น. เราขึ้นรถไฟก่อนรถไฟออกได้ทันพอดี ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็จะมาถึง Attnang-Puchheim และใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมงครึ่งจาก Attnang-Puchheim ไปสู่เมือง Hallstatt
บนรถไฟสายนี้เราได้พบเจอกับคนไทยอีกกลุ่ม ซึ่งเราไม่ได้พูดภาษาไทยกับคนอื่นมาตั้งแต่วันที่ 4 แล้วทำให้เราดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอคนไทยที่ร่วมซะตากรรมเดียวกัน กลุ่มคน3คนนี้เป็นพ่อแม่ลูก คุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับผมอย่างเป็นมิตร แต่คุณลูกไม่ยอมคุยด้วยเลยเอาแต่เล่นโทรศัพท์ อาจจะเพราะถูกสั่งสอนมาว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้า……...วิวบนรถไฟก่อนที่จะถึงเมือง Hallstatt นั้นสวยงามมาก ทำให้เราอดนึกไม่ได้ว่า Hallstatt ของจริงจะสวยงามกว่านี้เพียงใด

สถานีรถไฟเล็กๆชื่อ"Hallstatt"

เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ  Hallstatt เราก็จะต้องขึ้นเรือที่รอรับนักท่องเที่ยว ข้ามอ่าว จากฝั่งสถานีไปสู่ฝั่ง เมือง Hallstatt
วิวที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา2คนนั้น งดงามจริงไม่อิงนิยาย ถึงแม่ว่าจะมีหมอกปกคลุมยอดเขารอบๆแต่ก็ยังสวยอยู่ดี


15.30น. เราข้ามฝากมาถึง Hallstatt เราเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมของเราในวันนี้ที่มีชื่อยาวมาก ชื่อ “Café Restaurant zum muhlbach” ซึ่งเป็นร้านกาแฟและร้านอาหารมาก่อน แต่ตอนนี้เปลี่ยนโฉมให้ชั้น2 ขึ้นไปสามารถเข้าพักได้ ห้องพักจะเป็นห้องน่ารักๆและเป็นห้องน้ำรวม คาดว่าไม่น่าจะมีห้องพักเกิน 15 ห้อง (ส่วนใหญ่ที่พักในHallstattจะเป็นบ้านพักเล็กๆที่ดัดแปลงมาจากบ้านเรือนในสมัยก่อน ทำให้ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวปริมาณมากได้ หากคุณมาเที่ยวHallstattกับทัวร์ ก็จะมีโอกาสน้อยมากที่จะได้นอนภายในเมือง)
15.50น. เราออกจากโรงแรมเพื่อเดินไปตามถนน Seestrasse ซึ่งเป็นถนนริมอ่าว วิวระหว่างทางงดงามมาก ช่วยให้จิตใจสงบได้เป็นอย่างดีเหมาะแก่การเดินชิวๆไปเรื่อยๆ เมื่อไปจนถึงสุดทางและเลี้ยวไปทางขวาก็จะพบกับทางขึ้นไปสู่เมืองเกลือที่อยู่บนยอดเขา (Hallstattเป็นเมืองค้าเกลือที่สำคัญในอดีต มีการค้าขายกับต่างชาติหลายๆชาติเช่น South Africa เพราะเกลือเป็นสินค้าสำคัญที่หาได้ยากในอดีต)

ถนน Seestrasse

จากตีนเขาเรานั่งรถรางขึ้นสู่ยอดเขา one way ราคา 7 euro เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาก็จะพบกับทิวทัศน์ที่น่าทึ่ง เป็นวิวของอ่าวจากมุมสูงสามารถมองเห็นได้โดยรอบ ในวันที่สภาพอากาศดีๆคงจะมองเห็นเมืองข้างๆได้อีกด้วย (วันนี้หมอกลง)
ณ บนยอดเขาแห่งนี้จะมีจุดถ่ายรูปยอดที่โด่งดังติดอันดับวิวที่สวยที่สุดในออสเตรีย ซึ่งเป็นพื้นที่สร้างยื่นออกไปจากหน้าผา ใครที่กลัวความสูงอาจจะออกไปถ่ายรูปไม่ได้

World Heritage View//จุดถ่ายรูปบนยอดเขา

จากสถานีรถรางเราเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เพื่อไปเหมืองเกลือ วิวข้างทางก็ช่วยจรรโลงใจได้ดีมาก เดินไปไม่นานก็มาถึงเหมืองเกลือ แต่ว่าเรามาสายไป30นาที เหมืองได้ปิดทำการแล้ว
หลังจากที่ผิดหวังกับเหมืองเกลือ ผมก็ได้เดินขึ้นไปตามถนนต่อจากเหมืองเกลือ ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรก็ตามแต่ผมก็เลือกที่จะเดินต่อไปให้ถึงที่สุด เดินขึ้นไปสักพัก ไม่นานก็ต้องยอมเดินลงเนื่องจากหมอกที่ปกคลุมมากขึ้นจนมองเส้นทางได้ลำบาก(เกือบจะข้ามไปเมืองข้างๆผ่านภูเขาได้อยู่แล้ว)

หมอกลงระหว่างทาง

เหตุผลที่เราซื้อตั๋วรถรางone way เพราะเราวางแผนไว้ว่าจะเดินลงจากเมืองเหลือกลับสู่ตัวเมือง (มันจะมีเส้นทางเดินลงที่คดเคี้ยว สามารถกลับลงสู่จัตุรัสกลางเมืองได้)

ทางเดินลงจากยอดเขาเหมืองเกลือ

เส้นทางเดินลงนี้เป็นเส้นทางที่คนนิยมมาปั่นจักยานและเดินขึ้นเขาเพื่อชมวิว
18.40น. เราเดินลงมาถึงจัตุรัสกลางเมือง และได้เข้าไปรับประทานอาหารเย็นในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีคนแนะนำ ร้านนี้อยู่ข้างๆโรงแรมที่พักของเรานั้นเอง
โดยอาหารที่สั่งไปก็คือปลาTrout และcavierแบบพิเศษของที่นี้ รสชาติของปลาอร่อยมากเนื้อนุ่มกินได้ถึงก้าง

[
ชื่อสินค้า:   Eu&AlittleSEA
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่