นมแม่ นอกจากจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดของลูกน้อย ในช่วง 6 เดือนแรก ของการเริ่มต้นชีวิต เนื่องจากมีสารอาหารพิเศษที่เรียกว่าพรีไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่มีประโยชน์ แบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้ทารกเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข สุขภาพดี และพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งรอบตัว และยังมีกรดไขมันที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกแล้วนั้น นมแม่ยังมีประโยชน์ที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย
1.รักษาสิว บำรุง และ ทำความสะอาดผิวหน้า : หลังจากล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ใช้สำลีชุบนมแม่แต้มให้ทั่วใบหน้า หรือ ใช้นมแม่มาสก์หน้า จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวล และ ใช้เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางที่ตาได้ด้วย
2.รักษาแผลน้ำร้อนลวก และ ไหม้แดด : ทานมแม่บนแผลไหม้เบาๆ วันรุ่งขึ้นแผลจะดีขึ้นมาก ความอ่อนโยนของน้ำนมจะลดอาการปวดแสบร้อนได้ชะงัด
3.รักษาปากแตก : ทาน้ำนมบนริมฝีปากแตกบ่อยๆ รอให้แห้งเอง ปากจะหายแตกภายใน 1-2 วัน
4.รักษาแผลร้อนใน และ โรคไวรัสแผลในปาก : แต้มน้ำนมบนแผลโดยตรง จะช่วยลดอาการเจ็บปวด
5.รักษาแผลมีดบาด แผลถลอก : ถ้าไม่มีน้ำและสบู่ ให้ใช้น้ำนมทำความสะอาดแผลได้เลย หรือ หยดน้ำนมลงไปในแผลแล้วรอให้แห้งเอง ถ้าแผลอยู่ที่ริมฝีปากหรือในปาก ให้ลูกดูดนมแม่ไปได้เลย
6.รักษาผื่นผ้าอ้อม : ใช้น้ำนมทาบนก้นลูกให้ทั่วๆ และ แต้มมากเป็นพิเศษบริเวณที่แดงหรือ อักเสบ รอให้น้ำนมแห้งสนิทแล้วค่อยใส่ผ้าอ้อม
7.รักษาหูชั้นนอกอักเสบ : หยดนมแม่เข้าไปในรูหู 2-3 หยด
8.ลดอาการบวมแดงของหนังตา : ใช้สำลีชุบนมแม่ให้ชุ่ม แล้ววางปิดบนหนังตานาน 2-3 นาที หากใช้ร่วมกับถุงชา หรือ แตงกวาฝาน จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
9.นมแม่ รักษาแผลแมลงกัด : แต้มนมแม่บนแผล จะช่วยลดอาการคัน และ แผลยุบเร็วขึ้น
10.รักษาแผลเรื้อรัง หรือ ตุ่มน้ำอีสุกอีใส : แต้มนมแม่บนตุ่มน้ำใส ช่วยลดอาการคัน ทานมแม่บนแผลเรื้อรัง ช่วยให้แผลหายได้
11.รักษาหัวนมแตก : ทานมแม่ที่แผล แล้วรอให้แห้ง หรือ จุ่มหัวนมลงไปแช่ในนมแม่ที่เทใส่จาน
12.รักษาอาการเจ็บคอ : ถ้าลูกมีอาการเจ็บคอ การดูดนมแม่จะช่วยบรรเทาอาการได้
13.รักษาหูด : ใช้สำลีชุบนมแม่วางบนหูดนาน 2-3 นาที วันละ 2 ครั้ง ทำต่อเนื่องทุกวันจนกว่าหูดหลุดออกมา
14.นมแม่ ฆ่าเซลมะเร็ง : นักวิทยาศาสตร์กำลังผลิตยาฆ่าเซลมะเร็งที่ทำจากนมแม่
15.นมแม่ ช่วยลดอาการข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด : เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน กินอาหารได้น้อย การนำ นมแม่ ให้แก่ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดกิน จะทำให้อาการผลข้างเคียงจากยาน้อยลง
16.นมแม่ ช่วยทำให้ผิวหนังที่แห้งกลับชุ่มชื้น : โดยทาบนผิวแห้งโดยตรง หรือ ผสม นมแม่ ลงในอ่างอาบน้ำ
17.นมแม่ สะอาดหยดใส่ตา : ช่วยรักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบในกรณีที่เกิดจากท่อน้ำตาอุดตัน ร่วมกับการนวดบริเวณหัวตาบ่อยๆ ส่วนกรณีติดเชื้อที่ตา อย่ารักษาเอง ให้พบหมอตาเสมอ
18.นมแม่ ช่วยลดอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก : หยดเข้ารูจมูกลูก 2-3 หยด ไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาบางอย่างที่ทำให้จมูกบวมหลังจากหยุดใช้
19.เวลาลูกป่วย เช่น เป็นไข้หวัดใหญ่ มักกินข้าวได้น้อย : นมแม่ ย่อยง่าย กินง่าย ช่วยให้พลังงานแก่ลูก ช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น
20.นมแม่ ช่วยลอกสะเก็ดชันตุที่หนังศีรษะ : โดยการทาทิ้งไว้ก่อนสระผมนาน 5 นาที
21.ใช้ นมแม่ ทาที่แผลหลังจากขลิบอวัยวะเพศชาย : หลังจากล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า ช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น
นมแม่ ทำให้แผลต่างๆหายไวขึ้น เนื่องด้วยคุณสมบัติของกรดลอริคที่อยู่ใน นมแม่ มีฤทธิ์ต้านไวรัส แบคทีเรีย ช่วยสมานแผล และ มีคุณสมบัติเป็นยาชาอ่อนๆนั่นเอง
ปล.ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการรักษาเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อน แต่ถ้าทำแล้วไม่ดีขึ้น อย่าเสียเวลายื้อต่อ หรือ ละเลยการรักษาจากแพทย์ ควรพบแพทย์ตรวจเสมอค่ะ
ขอบคุณที่มา : เพจ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
นมแม่ มีประโยชน์มากกว่าแค่ อาหาร
นมแม่ นอกจากจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดของลูกน้อย ในช่วง 6 เดือนแรก ของการเริ่มต้นชีวิต เนื่องจากมีสารอาหารพิเศษที่เรียกว่าพรีไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่มีประโยชน์ แบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้ทารกเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข สุขภาพดี และพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งรอบตัว และยังมีกรดไขมันที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกแล้วนั้น นมแม่ยังมีประโยชน์ที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย
1.รักษาสิว บำรุง และ ทำความสะอาดผิวหน้า : หลังจากล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ใช้สำลีชุบนมแม่แต้มให้ทั่วใบหน้า หรือ ใช้นมแม่มาสก์หน้า จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวล และ ใช้เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางที่ตาได้ด้วย
2.รักษาแผลน้ำร้อนลวก และ ไหม้แดด : ทานมแม่บนแผลไหม้เบาๆ วันรุ่งขึ้นแผลจะดีขึ้นมาก ความอ่อนโยนของน้ำนมจะลดอาการปวดแสบร้อนได้ชะงัด
3.รักษาปากแตก : ทาน้ำนมบนริมฝีปากแตกบ่อยๆ รอให้แห้งเอง ปากจะหายแตกภายใน 1-2 วัน
4.รักษาแผลร้อนใน และ โรคไวรัสแผลในปาก : แต้มน้ำนมบนแผลโดยตรง จะช่วยลดอาการเจ็บปวด
5.รักษาแผลมีดบาด แผลถลอก : ถ้าไม่มีน้ำและสบู่ ให้ใช้น้ำนมทำความสะอาดแผลได้เลย หรือ หยดน้ำนมลงไปในแผลแล้วรอให้แห้งเอง ถ้าแผลอยู่ที่ริมฝีปากหรือในปาก ให้ลูกดูดนมแม่ไปได้เลย
6.รักษาผื่นผ้าอ้อม : ใช้น้ำนมทาบนก้นลูกให้ทั่วๆ และ แต้มมากเป็นพิเศษบริเวณที่แดงหรือ อักเสบ รอให้น้ำนมแห้งสนิทแล้วค่อยใส่ผ้าอ้อม
7.รักษาหูชั้นนอกอักเสบ : หยดนมแม่เข้าไปในรูหู 2-3 หยด
8.ลดอาการบวมแดงของหนังตา : ใช้สำลีชุบนมแม่ให้ชุ่ม แล้ววางปิดบนหนังตานาน 2-3 นาที หากใช้ร่วมกับถุงชา หรือ แตงกวาฝาน จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
9.นมแม่ รักษาแผลแมลงกัด : แต้มนมแม่บนแผล จะช่วยลดอาการคัน และ แผลยุบเร็วขึ้น
10.รักษาแผลเรื้อรัง หรือ ตุ่มน้ำอีสุกอีใส : แต้มนมแม่บนตุ่มน้ำใส ช่วยลดอาการคัน ทานมแม่บนแผลเรื้อรัง ช่วยให้แผลหายได้
11.รักษาหัวนมแตก : ทานมแม่ที่แผล แล้วรอให้แห้ง หรือ จุ่มหัวนมลงไปแช่ในนมแม่ที่เทใส่จาน
12.รักษาอาการเจ็บคอ : ถ้าลูกมีอาการเจ็บคอ การดูดนมแม่จะช่วยบรรเทาอาการได้
13.รักษาหูด : ใช้สำลีชุบนมแม่วางบนหูดนาน 2-3 นาที วันละ 2 ครั้ง ทำต่อเนื่องทุกวันจนกว่าหูดหลุดออกมา
14.นมแม่ ฆ่าเซลมะเร็ง : นักวิทยาศาสตร์กำลังผลิตยาฆ่าเซลมะเร็งที่ทำจากนมแม่
15.นมแม่ ช่วยลดอาการข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด : เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน กินอาหารได้น้อย การนำ นมแม่ ให้แก่ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดกิน จะทำให้อาการผลข้างเคียงจากยาน้อยลง
16.นมแม่ ช่วยทำให้ผิวหนังที่แห้งกลับชุ่มชื้น : โดยทาบนผิวแห้งโดยตรง หรือ ผสม นมแม่ ลงในอ่างอาบน้ำ
17.นมแม่ สะอาดหยดใส่ตา : ช่วยรักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบในกรณีที่เกิดจากท่อน้ำตาอุดตัน ร่วมกับการนวดบริเวณหัวตาบ่อยๆ ส่วนกรณีติดเชื้อที่ตา อย่ารักษาเอง ให้พบหมอตาเสมอ
18.นมแม่ ช่วยลดอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก : หยดเข้ารูจมูกลูก 2-3 หยด ไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาบางอย่างที่ทำให้จมูกบวมหลังจากหยุดใช้
19.เวลาลูกป่วย เช่น เป็นไข้หวัดใหญ่ มักกินข้าวได้น้อย : นมแม่ ย่อยง่าย กินง่าย ช่วยให้พลังงานแก่ลูก ช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น
20.นมแม่ ช่วยลอกสะเก็ดชันตุที่หนังศีรษะ : โดยการทาทิ้งไว้ก่อนสระผมนาน 5 นาที
21.ใช้ นมแม่ ทาที่แผลหลังจากขลิบอวัยวะเพศชาย : หลังจากล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า ช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น
นมแม่ ทำให้แผลต่างๆหายไวขึ้น เนื่องด้วยคุณสมบัติของกรดลอริคที่อยู่ใน นมแม่ มีฤทธิ์ต้านไวรัส แบคทีเรีย ช่วยสมานแผล และ มีคุณสมบัติเป็นยาชาอ่อนๆนั่นเอง
ปล.ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการรักษาเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อน แต่ถ้าทำแล้วไม่ดีขึ้น อย่าเสียเวลายื้อต่อ หรือ ละเลยการรักษาจากแพทย์ ควรพบแพทย์ตรวจเสมอค่ะ
ขอบคุณที่มา : เพจ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ