ตอนเด็กๆ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เราประทับใจมาก ชื่อว่า “ฝากใจไว้อเมริกา” น่าเสียดายที่จำชื่อผู้เขียนไม่ได้ แต่หนังสือเล่มนั้นมีแรงผลักดันให้เราอยากมาลองใช้ชีวิตที่นี่ เนื่องจากมีความชอบภาษาอังกฤษ และวัฒนธรรมอเมริกันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ประเทศนี้จึงถือเป็นประเทศในฝันของเราเลยก็ว่าได้ อีกอย่างคือเราเคยสงสัยว่าทำไมคนเก่งระดับโลกส่วนใหญ่มาจากประเทศนี้ สหรัฐมีดีอะไรถึงสามารถผลิตคนเก่งๆออกมามากมาย เราจึงอยากมาลองสัมผัสความซิวิไลซ์ของฟากโลกตะวันตกบ้าง ซึ่งความอยากรู้ อยากลองต่างๆนี่เองคือตัวการสำคัญที่ทำให้เราได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ
จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลากว่าสี่ปีแล้วซินะ นับตั้งแต่วันแรกที่เรามาใช้ชีวิตที่นี่
เรามาประเทศนี้ครั้งแรกในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน ระยะเวลาประมาณ 10 เดือน ที่รัฐวิสคอนซิน ตอนนั้นอายุสิบเจ็ดปี พูดเป็นภาษาอังกฤษเก๋ๆ ก็ต้องเรียกว่า teenager ถึงแม้ตอนนั้นภาษาจะไม่ถือว่าอ่อนด้อย ฟังอะไรไม่ออก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่พูด ฟัง อ่าน เขียนคล่องปร๋ออะไร แต่ก็ยังดีที่มีโฮสต์แฟมิลีใจดี ช่วยเราเรื่องภาษาได้มาก
ตอนมาแรกๆ เราก็มี culture shock กับอะไรหลายๆอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนกับประเทศไทยคือ เรื่องความเป็นตัวของตัวเอง (individualism) เราว่าคนที่นี่ให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคลมาก ยกตัวอย่างง่ายๆในชีวิตประจำวัน คนอเมริกันมักจะรักษาพื้นที่ส่วนตัวสูง เวลาจะเดินสวนกัน เขาจะไม่เข้ามาชิดเรา อย่างน้อยก็สองไม้บรรทัด หากเข้ามากระชั้นชิดนิดนึง เขาจะเอ่ยปากกล่าวขอโทษ “excuse me” ทันที ซึ่งหากเราไม่กล่าวขอโทษ เดินผ่านเฉยๆ เขาอาจจะมองเราว่าไม่สุภาพได้
ส่วนเรื่องการเข้าคิว ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ไม่ค่อยมีการแซงคิวอะไร แต่ที่ประทับใจเรามากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องการข้ามถนน เนื่องจากเข้าใจว่ากฏหมายที่นี่แรงมาก เวลาคนจะข้ามถนนอะไรที รถราหลายแหล่หยุดให้เราข้ามแต่ไกล (ประมาณ 3 เมตรขึ้น) ประเภทที่ว่าขับเข้ามาระยะประชิดสามนิ้วนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะตั้งแต่มาเราเองก็ยังไม่เคยเจอ
ข้อดีอีกอย่าง (ที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวกันนัก) ก็คือ น้ำประปาที่นี่ดื่มได้ ทำให้เราประหยัดเงิน ประหยัดเวลาซื้อน้ำไปได้เยอะพอควร สำหรับเรื่องอาหารการกิน ปริมาณจะเยอะมาก เมื่อเทียบกับที่ไทย หากใครเคยลองไปสั่งไอศกรีม ขนาดเล็ก (small) อาจจะต้องตกใจกับขนาดที่ในสายตาคนไทยมองยังไงๆ ก็ไม่ต่างจากไซส์ Medium หรือไม่ก็ Large เพราะฉะนั้นหากอยากจะได้ถ้วยเล็กจริงๆ แล้วหล่ะก็ ต้องสั่ง baby size หรือเป็นแบบ mini นั่นเอง อีกอย่างอย่าลืมว่าเวลาไปร้านอาหารที่ไหน แล้วเขาให้จ่ายทิป ธรรมเนียมของคนอเมริกันคือเราต้องจ่ายค่าบริการให้กับพนักงานเสริฟ ประมาณ 15-25% ของราคาอาหารแล้วแต่ เนื่องจากร้านอาหารบางแห่ง พนักงานเสิรฟจะได้รับค่าจ้างจากทิปเป็นส่วนใหญ่
ส่วนอีกเรื่องที่ต่างกันชัดเจนก็คือสภาพบ้านเมืองทั่วไป ถ้าจะพูดถึงความสะอาดโดยรวม ก็อาจจะพูดได้ยาก เพราะประเทศนี้ใหญ่มาก มีทั้งแหล่งศิวิไลซ์ แหล่งสลัม หรือแหล่งธรรมชาติ ชนบทต่างๆ แหล่งเจริญ ก็ดูเจริญหู เจริญตาสมชื่อ แต่ถ้าเป็นสลัม ก็ไม่ต้องอธิบายมาก ขยะเกลื่อนกลาดตามถนน ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ดีเราสังเกตุว่าสิ่งที่เหมือนกันหมดทุกที่ก็คือ ที่นี่จะไม่ค่อยมีสุนัข หรือแมวจรจัดมาเดินป้วนเปี้ยนตามถนน เพราะถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย หากเจ้าของอยากพาเจ้าสุนัขตัวน้อย (หรือตัวโต) ของตนเองออกมาเดินเล่น ก็ต้องใส่ปลอกคออะไรให้เรียบร้อย
พอแค่นี้ก่อนละกัน ยังมีอีกหลายเรื่องล้านแปดที่เราพบ แต่เอาไว้ทยอยมาเล่านะ แล้วเจอกันตอนต่อไป
ที่มา:
https://plus.google.com/collection/8sPoh
มุมมองจากต่างแดน (สหรัฐอเมริกา)
จากวันนั้นถึงวันนี้ เป็นเวลากว่าสี่ปีแล้วซินะ นับตั้งแต่วันแรกที่เรามาใช้ชีวิตที่นี่
เรามาประเทศนี้ครั้งแรกในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน ระยะเวลาประมาณ 10 เดือน ที่รัฐวิสคอนซิน ตอนนั้นอายุสิบเจ็ดปี พูดเป็นภาษาอังกฤษเก๋ๆ ก็ต้องเรียกว่า teenager ถึงแม้ตอนนั้นภาษาจะไม่ถือว่าอ่อนด้อย ฟังอะไรไม่ออก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่พูด ฟัง อ่าน เขียนคล่องปร๋ออะไร แต่ก็ยังดีที่มีโฮสต์แฟมิลีใจดี ช่วยเราเรื่องภาษาได้มาก
ตอนมาแรกๆ เราก็มี culture shock กับอะไรหลายๆอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนกับประเทศไทยคือ เรื่องความเป็นตัวของตัวเอง (individualism) เราว่าคนที่นี่ให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคลมาก ยกตัวอย่างง่ายๆในชีวิตประจำวัน คนอเมริกันมักจะรักษาพื้นที่ส่วนตัวสูง เวลาจะเดินสวนกัน เขาจะไม่เข้ามาชิดเรา อย่างน้อยก็สองไม้บรรทัด หากเข้ามากระชั้นชิดนิดนึง เขาจะเอ่ยปากกล่าวขอโทษ “excuse me” ทันที ซึ่งหากเราไม่กล่าวขอโทษ เดินผ่านเฉยๆ เขาอาจจะมองเราว่าไม่สุภาพได้
ส่วนเรื่องการเข้าคิว ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ไม่ค่อยมีการแซงคิวอะไร แต่ที่ประทับใจเรามากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องการข้ามถนน เนื่องจากเข้าใจว่ากฏหมายที่นี่แรงมาก เวลาคนจะข้ามถนนอะไรที รถราหลายแหล่หยุดให้เราข้ามแต่ไกล (ประมาณ 3 เมตรขึ้น) ประเภทที่ว่าขับเข้ามาระยะประชิดสามนิ้วนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะตั้งแต่มาเราเองก็ยังไม่เคยเจอ
ข้อดีอีกอย่าง (ที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวกันนัก) ก็คือ น้ำประปาที่นี่ดื่มได้ ทำให้เราประหยัดเงิน ประหยัดเวลาซื้อน้ำไปได้เยอะพอควร สำหรับเรื่องอาหารการกิน ปริมาณจะเยอะมาก เมื่อเทียบกับที่ไทย หากใครเคยลองไปสั่งไอศกรีม ขนาดเล็ก (small) อาจจะต้องตกใจกับขนาดที่ในสายตาคนไทยมองยังไงๆ ก็ไม่ต่างจากไซส์ Medium หรือไม่ก็ Large เพราะฉะนั้นหากอยากจะได้ถ้วยเล็กจริงๆ แล้วหล่ะก็ ต้องสั่ง baby size หรือเป็นแบบ mini นั่นเอง อีกอย่างอย่าลืมว่าเวลาไปร้านอาหารที่ไหน แล้วเขาให้จ่ายทิป ธรรมเนียมของคนอเมริกันคือเราต้องจ่ายค่าบริการให้กับพนักงานเสริฟ ประมาณ 15-25% ของราคาอาหารแล้วแต่ เนื่องจากร้านอาหารบางแห่ง พนักงานเสิรฟจะได้รับค่าจ้างจากทิปเป็นส่วนใหญ่
ส่วนอีกเรื่องที่ต่างกันชัดเจนก็คือสภาพบ้านเมืองทั่วไป ถ้าจะพูดถึงความสะอาดโดยรวม ก็อาจจะพูดได้ยาก เพราะประเทศนี้ใหญ่มาก มีทั้งแหล่งศิวิไลซ์ แหล่งสลัม หรือแหล่งธรรมชาติ ชนบทต่างๆ แหล่งเจริญ ก็ดูเจริญหู เจริญตาสมชื่อ แต่ถ้าเป็นสลัม ก็ไม่ต้องอธิบายมาก ขยะเกลื่อนกลาดตามถนน ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ดีเราสังเกตุว่าสิ่งที่เหมือนกันหมดทุกที่ก็คือ ที่นี่จะไม่ค่อยมีสุนัข หรือแมวจรจัดมาเดินป้วนเปี้ยนตามถนน เพราะถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย หากเจ้าของอยากพาเจ้าสุนัขตัวน้อย (หรือตัวโต) ของตนเองออกมาเดินเล่น ก็ต้องใส่ปลอกคออะไรให้เรียบร้อย
พอแค่นี้ก่อนละกัน ยังมีอีกหลายเรื่องล้านแปดที่เราพบ แต่เอาไว้ทยอยมาเล่านะ แล้วเจอกันตอนต่อไป
ที่มา: https://plus.google.com/collection/8sPoh