...หากเอ่ยถึงดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายคนคงจะขอปฏิเสธที่จะเดินทางไปเยือน
เนื่องด้วยเรื่องของความปลอดภัยต่างๆที่เกิดขึ้นมาตลอด 10 กว่าปี แม้ว่าทุกวันนี้เหตุการณ์
มันจะซาลงไปบ้างแต่ก็ไม่ขอปฏิเสธว่ามันไม่มีแล้ว การเดินทางในครั้งนี้พวกเราก็ไม่ได้มั่นใจเลยนะคะ
ว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นหรือไม่ แต่จะบอกไว้ว่าที่เราไปมาเราโชคดีที่ไม่เจออะไรที่ร้ายแรงเลย
แต่สิ่งที่เราเจอมีแต่เรื่องดีดี ธรรมชาติที่สมบูรณ์ น้ำใจจากชาวบ้าน และอากาศที่แจ่มใส...
ทริปนี้จัดได้ว่าเป็นทริปที่ผู้ปกครองลำบากใจมากๆในการอนุญาติให้พวกเราไปค่ะ พวกเราไปกัน 5 คน ผู้ชาย 2 ผู้หญิง 3 และมีพ่อแม่เพื่อนในกลุมอีกสองคน จริงๆแล้วพวกเราไปกันมาเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 2014 เพื่อไปเก็บข้อมูลและเขียนบทไปทำหนังสั้นทีสีส (แต่แท้จริงแล้วเราไปเที่ยวกันซะมากกว่า)
พวกเราตัดสินใจนั่งรถไฟกันไปเที่ยวรถที่เราเลือกคือ
ด่วนพิเศษขบวนที่ 37 กรุงเทพ-สุไหงโกลก เวลาออก 15.10 นาฬิกา ที่เราเลือกนั่งด่วนพิเศษก็เพราะ พวกเราคิดว่าเราจะต้องไปทำงานกันต่อเลยอยากจะขอนอนให้เต็มอิ่มจะดีกว่า และที่นั่งก็เริ่มจะเต็ม พวกเราเลยถูกแยกกันนิดหน่อย ผู้หญิง 3 คนเลยได้ตู้นอนเฉพาะผู้หญิง (Lady Bogie) / ผู้ชายอีกสองคนก็ได้นั่งชั้นสอง เบาะเอนค่ะ
ว่าด้วยเรื่อง Lady Bogie นะคะสำหรับผู้ที่สนใจขอบอกเลยว่าดีมากๆค่ะ หากผู้หญิงจะเดินทางคนเดียวหรืออย่างไรสามารถใช้บริการเลดี้โบกี้จะปลอดภัยมากๆค่ะ เพราะโบกี้นี้จะมีเวลาเปิดปิดอย่างเป็นเวลา 22.00 ก็จะมีการล็อคไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าออกได้ ภายในโบกี้มีสายชาร์ตโทรศัพท์อีกด้วย
และก็ต้องขอแนะนำของดีปัตตานีที่ควรได้กินหากมาที่นี่ ขอแนะนำว่ามาถึงต้องรีบไปกินเลยนะคะ มันเรียกว่า "กือโป๊ะ" ซึ่งมันเหมือนเป็นข้าวเกรียบปลาผสมแป้งแล้วเอาไปทอด หาทานได้แถวสถานีรถไฟโคกโพธิ์เลยค่ะเดินออกมาจากตัวสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายจะมีร้านรวงให้นั่ง กือโป๊ะสั่งได้จะมีผสมผงรสบาบีคิว ปาปริก้า ต่างๆแล้วนะคะ กลับไปกี่ทีก็ต้องกิน ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง
พวกเราติดต่อที่พักไว้ก่อนมาระมาณ 2 วันที่นี่เป็น Homestay ชื่อ
'บ้านริมทาง' ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ อยู่ห่างจากสถานีโคกโพธิ์ (ปัตตานี) ไม่มากค่ะ เราติดต่อให้คุณลุงมารับ คุณลุงมารับพวกเราแบบน่ารักมากๆค่ะ คุณลุงพาหลานมาด้วยชื่อน้องป๋อม แกถือป้ายว่าต้อนรับพวกเราด้วย ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆเพราะความรู้สึกมันไม่เหมือนกับต่างจังหวัดที่เคยไปเลย ยิ่งนั่งรถเข้าไปใกล้ภูเขามากเท่าไหร่ รู้สึกว่าธรรมชาติมันสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น ชาวบ้านอยู่กันอย่างน่ารักมาก มีร้านขายของชำและมีขนมขบเคี้ยวที่แตกต่างไปจากที่เราเคยกิน
ภาพคุณลุงคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์ที่เราไปพักค่ะ
พอมาถึงคณลุงคุณป้าทำอาหารต้อนรับพวกเรากันชุดใหญ่ ตอนแรกก่อนที่เราจะมาคุณลุงโทรมาถามว่าเรากินเผ็ดได้มั้ย ชอบกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า พวกเราเองมีทั้งคนกรุงเทพแท้ๆ มีทั้งมาจากเชียงใหม่ มาจากใต้ก็มี เราเลยขออาหารแบบกลางไม่เผ็ดมาก ไอ่ตัวเราก็ดันมาจากเชียงใหม่แต่ชอบกินสะตอมากเลยขอให้คุณลุงจัดสะตอหนักๆให้หนูหน่อย
พระเอกของอาหารมื้อนี้เลยคือ น้ำส้มแขก คุณป้าต้มเตรียมไว้ให้เราตั้งแต่ย่ำรุ่ง เราซัดกันไปเป็นเยือกๆ คุณป้าบอกว่ามันช่วยให้ขับถ่ายสบาย
เมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้ว เก็บของเสร็จแล้ว พวกเราไม่ขออาบน้ำค่ะ เพราะเราจะไปอาบกันที่น้ำตกทรายขาวกัน!!!!! โฮมสเตย์ที่เราอยู่นี่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติ น้ำตกทรายขาว จังหวัดปัตตานี ชีวิตดี้ดีอะ น้ำตกทรายขาวจะมีหลายโซนให้เล่นค่ะเราเลือกเล่นที่ที่ไม่ลึกมากจะได้คุยกับน้องๆที่มาเล่นด้วยในขณะที่เราเล่นเราจึงไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลยฝากกล้องแล้ววิ่งลงน้ำเลย แต่เราเดินขึ้นไปดูชั้นที่สูงบ้างเลยได้เก็บภาพมาฝากนิดๆหน่อยๆค่ะ ที่นี่คนเยอะเหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นครอบครัวพาลูกพาหลานมาเล่นน้ำ
เรานั่งรถคันนี้ขึ้นน้ำตกกันค่ะสนุกมากกกกกกๆ
ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นไปบนน้ำตกนั้นยังไม่ทันถึงไหนจู่ๆ ฝนก็ตกหนักมาก เราจำเป็นต้องวิ่งกลับร้านอาหารที่ฝากของเอาไว้ ตอนนั้นคิดในใจว่าเอาวะยังไงก็เปียกแล้ว ก็เล่นน้ำฝนมันซะเลยพวกเราที่ค่อนข้างแก่กันแล้วเลยตัดสินใจก็เล่นน้ำฝนมันนี่แหละค่ะ ไม่กลัวโรคภัยไข้เจ็บเลยยยยย เมื่อเราคิดว่าเราเล่นพอแล้วเลยนั่งรถกลับโฮมสเตย์ชาวบ้านข้างเคียงที่รู้จักคุณลุงๆคุณป้าก็ฝากสะตอให้เราพวงใหญ่ ตอนนั้นรู้สึกว่าเปรมมากๆกับทุกอย่าง
คืนนี้พวกเราสลบเหมือดเหนื่อยมากกับการเดินทางและการเล่นน้ำตก คุณป้าจัดเตรียมที่นอนให้พวกเราที่ชั้นสองของตัวบ้าน เป็นที่นอนฟูกเรียงกัน ที่นี่ตอนกลางคืนค่อนข้างจะหนาวเพราะฝนพึ่งตกไปหมาดๆ อากาศเย็นสบายมาก พัดลมตัวเดียวก็เอาอยู่ ต้องขออภัยรูปมีพวกเราอีกแล้วลืมถ่ายตอนยังไม่ได้นอน เห็นที่นอนปุ๊บกระโดดใส่ทุกคนเลย 55555
เช้าตรู่วันใหม่พวกเรานัดกันตื่นตี 5 ครึ่งเพราะพวกเราจะไปดูทะเลหมอกกัน จำได้ว่าทุกคนงอแงมากเพราะมันหลับสบาย รถจิ้บคันเดิมจอดรอพวกเราอยู่แล้วแต่เนื่องจากขนกันไปไม่หมดเลยต้องเสริมด้วยรถกระบะด้วย ทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน ที่ที่เรากำลังจะไปก็คือ จุดชมวิวเขารังเกียบ หรือ เขาหินช้าง ตั้งอยู่ในป่าเทือกเขาสันกะลาคีรีเทือกเขาเดียวกับน้ำตกเลยค่ะ หากเรามองขึ้นมาจากด้านล่างเขาเราจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มากนั่งอยู่กลางเขา อำเภอโคกโพธิ์จัดได้ว่าเป็นอำเภอที่มีชาวพุทธอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เช่นกันทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันฉันท์ญาติมิตรจริงๆค่ะ ทุกคนที่นี่เดินตลาดไปมาหาสู่กินน้ำชากันอย่างญาติพี่น้องจริงๆ ตกเย็นเราก็ไปนั่งร้านน้ำชาและเดินไปดูมัสยิดเพื่อเก็บข้อมูลเล็กๆน้อยๆ
อย่างที่บอกว่าเวลา 6.00 โมงเช้าอากาศนี้หนาวใช่เล่นเลย หนาวมากๆจนต้องร้องขอชีวิต พวกผู้ชายทนไม่ได้ก็ใส่เสื้อไป ไอ่ผู้หญิงอย่างเรามันถึกหน่อย เราโชคดีอย่างมากที่เจอหมอกเยอะมากๆขนาดนี้ เพราะเมื่อวานฝนตกไป ต้นไม้นี่ดีใจใหญ่เขียวชะอุ่มกันเชียว บอกเลยนะคะว่าที่นี่ธรรมชาติค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มากๆ อาจจะไม่เก่งเรื่องภูมิศาสตร์มากแต่พอจะรู้ว่ามันไม่เหมือนกับบ้านเกิดตัวเอง (เชียงใหม่) มันชื้นๆ ชะอุ่มๆ พุ่มๆ บอกไม่ถูก555 และชวนอะเมซอนมากๆก็คือ
ผาพญางู บอกตรงๆว่าตอนนั้นกลัวมากค่ะ จินตนาการไปแบบบาซิลิสก์ในแฮรี่พอตเตอร์ไปแล้ว กลัวมันขยับและพูดได้ ตอนนั้นกลัวมากจนไม่อยากเดินไปเลย
เมื่อได้เวลาที่ต้องลงเขาแล้วพวกเราเลยขอแวะสวนลองกองเพราะช่วงนั้นเป็นหน้าลองกองพอดี สวนลองกองมีให้เราปีนไปเก็บกับเยอะทีเดียว คุณลุงไม่รอช้าขับรถพาเราลุยสวนไปเก็บลองกองมากิน
คุณลุงพาขับรถไปดูชีวิตในหมู่บ้านหลายๆที่ จนมาจอดที่ตลาดนัดนี่แหละค่ะ ที่นี่มีทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมมาขายของกัน ของกินนี่เป็นอะไรที่พีคมาก ไอ่เราชาวอาศัยในกรุงเทพมานานนม กินยำวุ้นเส้นข้างทางเห็นแต่กุ้งแต่ปลาหมึกตัวน้อยๆล่องลอยในชามโฟม พอมาเจอที่นี่โอ้วโหวววว อร่อยมากเพราะกุ้งคือกุ้ง ปลาหมึกคือปลาหมึก หอยคือหอย และทีเด็ดเลยนะคะ
ซึดะ มาม่าที่เรานำไปยำ ซึดะเป็นมาม่าของชาวมุสลิมค่ะ ส่วนตัวได้ลองหาแล้วว่าที่กรุงเทพมีหรือปล่าว แต่ไม่มีค่ะ เสียใจมาก เพราะมันอร่อยมากๆ เดินเข้าไปหน่อยจะเจอแผงขายขนมดังในภาพเค้าเรียกว่า
'ขนมวง' ไม่รู้ว่าเรียกถูกมั้ย หน้าตาคล้ายๆโดนัท นำไปทอด ที่นี่ขายปลาขายกุ้งกันตัวใหญ่มากๆ จนคิดว่าฝันไป เพราะนี่คือตลาดในฝัน ผักก็ใบใหญ่ๆไม่ใส่สาร ปลูกตามครัวเรือน ทุกอย่างที่นี่อร่อยทุกอย่างเลย ชาวบ้านเค้าทำมาขายกันเอง เค้าตั้งใจสูตรของใครของมัน ไม่ค่อยเห็นผลิตภัณฑ์แกะถุงทอดขาย อันนี้รู้สึกชอบมาก บรรยากาศก็ทรอปปิคอลมากค่ะ
หลังจากเราทานอะไรกันอิ่มแล้วคุณลุงยังพานั่งรถไปชมที่ต่างๆของชุมชนมีการเลี้ยงโคขุน และกลุ่มแม่บ้านทำกล้วยอาบแห้ง คือตลอดเวลาพวกเราคือกินอะค่ะ เมื่อจวนถึงเวลาเที่ยงเห็นทีเราต้องร่ำลาคุณลุงคุณป้าและบ้านทรายขาวเพื่อเข้าเมืองปัตตานี เพื่อจะได้ลองลิ้มรสชีวิตในเมืองและหาของกินอันขึ้นชื่อดูบ้าง ระหว่างทางคุณลุงพาเราไปแวะไหว้พระที่วัดช้างไห้อีกด้วย
ไว้จะกลับมาอีกนะบ้านทรายขาวเราอยากกลับไปที่นี่มากจริงๆ.....
เดี๋ยวจะมาต่อนะคะทุกท่านในตอนต่อไป ชีวิตในเมือง อิอิ ไม่ช้าแน่นอน....
[CR] ทริปปัตตานี...อยู่ที่นี่แล้วไม่อยากกลับ : ลองเปลี่ยนมาหนาวที่นี่กันดีมั้ย?
เนื่องด้วยเรื่องของความปลอดภัยต่างๆที่เกิดขึ้นมาตลอด 10 กว่าปี แม้ว่าทุกวันนี้เหตุการณ์
มันจะซาลงไปบ้างแต่ก็ไม่ขอปฏิเสธว่ามันไม่มีแล้ว การเดินทางในครั้งนี้พวกเราก็ไม่ได้มั่นใจเลยนะคะ
ว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นหรือไม่ แต่จะบอกไว้ว่าที่เราไปมาเราโชคดีที่ไม่เจออะไรที่ร้ายแรงเลย
แต่สิ่งที่เราเจอมีแต่เรื่องดีดี ธรรมชาติที่สมบูรณ์ น้ำใจจากชาวบ้าน และอากาศที่แจ่มใส...
ทริปนี้จัดได้ว่าเป็นทริปที่ผู้ปกครองลำบากใจมากๆในการอนุญาติให้พวกเราไปค่ะ พวกเราไปกัน 5 คน ผู้ชาย 2 ผู้หญิง 3 และมีพ่อแม่เพื่อนในกลุมอีกสองคน จริงๆแล้วพวกเราไปกันมาเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปี 2014 เพื่อไปเก็บข้อมูลและเขียนบทไปทำหนังสั้นทีสีส (แต่แท้จริงแล้วเราไปเที่ยวกันซะมากกว่า)
พวกเราตัดสินใจนั่งรถไฟกันไปเที่ยวรถที่เราเลือกคือ ด่วนพิเศษขบวนที่ 37 กรุงเทพ-สุไหงโกลก เวลาออก 15.10 นาฬิกา ที่เราเลือกนั่งด่วนพิเศษก็เพราะ พวกเราคิดว่าเราจะต้องไปทำงานกันต่อเลยอยากจะขอนอนให้เต็มอิ่มจะดีกว่า และที่นั่งก็เริ่มจะเต็ม พวกเราเลยถูกแยกกันนิดหน่อย ผู้หญิง 3 คนเลยได้ตู้นอนเฉพาะผู้หญิง (Lady Bogie) / ผู้ชายอีกสองคนก็ได้นั่งชั้นสอง เบาะเอนค่ะ
และก็ต้องขอแนะนำของดีปัตตานีที่ควรได้กินหากมาที่นี่ ขอแนะนำว่ามาถึงต้องรีบไปกินเลยนะคะ มันเรียกว่า "กือโป๊ะ" ซึ่งมันเหมือนเป็นข้าวเกรียบปลาผสมแป้งแล้วเอาไปทอด หาทานได้แถวสถานีรถไฟโคกโพธิ์เลยค่ะเดินออกมาจากตัวสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายจะมีร้านรวงให้นั่ง กือโป๊ะสั่งได้จะมีผสมผงรสบาบีคิว ปาปริก้า ต่างๆแล้วนะคะ กลับไปกี่ทีก็ต้องกิน ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง
พวกเราติดต่อที่พักไว้ก่อนมาระมาณ 2 วันที่นี่เป็น Homestay ชื่อ 'บ้านริมทาง' ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านทรายขาว อำเภอโคกโพธิ์ อยู่ห่างจากสถานีโคกโพธิ์ (ปัตตานี) ไม่มากค่ะ เราติดต่อให้คุณลุงมารับ คุณลุงมารับพวกเราแบบน่ารักมากๆค่ะ คุณลุงพาหลานมาด้วยชื่อน้องป๋อม แกถือป้ายว่าต้อนรับพวกเราด้วย ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆเพราะความรู้สึกมันไม่เหมือนกับต่างจังหวัดที่เคยไปเลย ยิ่งนั่งรถเข้าไปใกล้ภูเขามากเท่าไหร่ รู้สึกว่าธรรมชาติมันสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น ชาวบ้านอยู่กันอย่างน่ารักมาก มีร้านขายของชำและมีขนมขบเคี้ยวที่แตกต่างไปจากที่เราเคยกิน
พอมาถึงคณลุงคุณป้าทำอาหารต้อนรับพวกเรากันชุดใหญ่ ตอนแรกก่อนที่เราจะมาคุณลุงโทรมาถามว่าเรากินเผ็ดได้มั้ย ชอบกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า พวกเราเองมีทั้งคนกรุงเทพแท้ๆ มีทั้งมาจากเชียงใหม่ มาจากใต้ก็มี เราเลยขออาหารแบบกลางไม่เผ็ดมาก ไอ่ตัวเราก็ดันมาจากเชียงใหม่แต่ชอบกินสะตอมากเลยขอให้คุณลุงจัดสะตอหนักๆให้หนูหน่อย
พระเอกของอาหารมื้อนี้เลยคือ น้ำส้มแขก คุณป้าต้มเตรียมไว้ให้เราตั้งแต่ย่ำรุ่ง เราซัดกันไปเป็นเยือกๆ คุณป้าบอกว่ามันช่วยให้ขับถ่ายสบาย
เมื่อทานข้าวกันเสร็จแล้ว เก็บของเสร็จแล้ว พวกเราไม่ขออาบน้ำค่ะ เพราะเราจะไปอาบกันที่น้ำตกทรายขาวกัน!!!!! โฮมสเตย์ที่เราอยู่นี่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติ น้ำตกทรายขาว จังหวัดปัตตานี ชีวิตดี้ดีอะ น้ำตกทรายขาวจะมีหลายโซนให้เล่นค่ะเราเลือกเล่นที่ที่ไม่ลึกมากจะได้คุยกับน้องๆที่มาเล่นด้วยในขณะที่เราเล่นเราจึงไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลยฝากกล้องแล้ววิ่งลงน้ำเลย แต่เราเดินขึ้นไปดูชั้นที่สูงบ้างเลยได้เก็บภาพมาฝากนิดๆหน่อยๆค่ะ ที่นี่คนเยอะเหมือนกันค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นครอบครัวพาลูกพาหลานมาเล่นน้ำ
ภาพมันเบลอไปหน่อยเพราะให้น้องๆถ่ายให้
ระหว่างทางที่เราเดินขึ้นไปบนน้ำตกนั้นยังไม่ทันถึงไหนจู่ๆ ฝนก็ตกหนักมาก เราจำเป็นต้องวิ่งกลับร้านอาหารที่ฝากของเอาไว้ ตอนนั้นคิดในใจว่าเอาวะยังไงก็เปียกแล้ว ก็เล่นน้ำฝนมันซะเลยพวกเราที่ค่อนข้างแก่กันแล้วเลยตัดสินใจก็เล่นน้ำฝนมันนี่แหละค่ะ ไม่กลัวโรคภัยไข้เจ็บเลยยยยย เมื่อเราคิดว่าเราเล่นพอแล้วเลยนั่งรถกลับโฮมสเตย์ชาวบ้านข้างเคียงที่รู้จักคุณลุงๆคุณป้าก็ฝากสะตอให้เราพวงใหญ่ ตอนนั้นรู้สึกว่าเปรมมากๆกับทุกอย่าง
คืนนี้พวกเราสลบเหมือดเหนื่อยมากกับการเดินทางและการเล่นน้ำตก คุณป้าจัดเตรียมที่นอนให้พวกเราที่ชั้นสองของตัวบ้าน เป็นที่นอนฟูกเรียงกัน ที่นี่ตอนกลางคืนค่อนข้างจะหนาวเพราะฝนพึ่งตกไปหมาดๆ อากาศเย็นสบายมาก พัดลมตัวเดียวก็เอาอยู่ ต้องขออภัยรูปมีพวกเราอีกแล้วลืมถ่ายตอนยังไม่ได้นอน เห็นที่นอนปุ๊บกระโดดใส่ทุกคนเลย 55555
เช้าตรู่วันใหม่พวกเรานัดกันตื่นตี 5 ครึ่งเพราะพวกเราจะไปดูทะเลหมอกกัน จำได้ว่าทุกคนงอแงมากเพราะมันหลับสบาย รถจิ้บคันเดิมจอดรอพวกเราอยู่แล้วแต่เนื่องจากขนกันไปไม่หมดเลยต้องเสริมด้วยรถกระบะด้วย ทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน ที่ที่เรากำลังจะไปก็คือ จุดชมวิวเขารังเกียบ หรือ เขาหินช้าง ตั้งอยู่ในป่าเทือกเขาสันกะลาคีรีเทือกเขาเดียวกับน้ำตกเลยค่ะ หากเรามองขึ้นมาจากด้านล่างเขาเราจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มากนั่งอยู่กลางเขา อำเภอโคกโพธิ์จัดได้ว่าเป็นอำเภอที่มีชาวพุทธอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เช่นกันทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันฉันท์ญาติมิตรจริงๆค่ะ ทุกคนที่นี่เดินตลาดไปมาหาสู่กินน้ำชากันอย่างญาติพี่น้องจริงๆ ตกเย็นเราก็ไปนั่งร้านน้ำชาและเดินไปดูมัสยิดเพื่อเก็บข้อมูลเล็กๆน้อยๆ
อย่างที่บอกว่าเวลา 6.00 โมงเช้าอากาศนี้หนาวใช่เล่นเลย หนาวมากๆจนต้องร้องขอชีวิต พวกผู้ชายทนไม่ได้ก็ใส่เสื้อไป ไอ่ผู้หญิงอย่างเรามันถึกหน่อย เราโชคดีอย่างมากที่เจอหมอกเยอะมากๆขนาดนี้ เพราะเมื่อวานฝนตกไป ต้นไม้นี่ดีใจใหญ่เขียวชะอุ่มกันเชียว บอกเลยนะคะว่าที่นี่ธรรมชาติค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มากๆ อาจจะไม่เก่งเรื่องภูมิศาสตร์มากแต่พอจะรู้ว่ามันไม่เหมือนกับบ้านเกิดตัวเอง (เชียงใหม่) มันชื้นๆ ชะอุ่มๆ พุ่มๆ บอกไม่ถูก555 และชวนอะเมซอนมากๆก็คือ ผาพญางู บอกตรงๆว่าตอนนั้นกลัวมากค่ะ จินตนาการไปแบบบาซิลิสก์ในแฮรี่พอตเตอร์ไปแล้ว กลัวมันขยับและพูดได้ ตอนนั้นกลัวมากจนไม่อยากเดินไปเลย
เมื่อได้เวลาที่ต้องลงเขาแล้วพวกเราเลยขอแวะสวนลองกองเพราะช่วงนั้นเป็นหน้าลองกองพอดี สวนลองกองมีให้เราปีนไปเก็บกับเยอะทีเดียว คุณลุงไม่รอช้าขับรถพาเราลุยสวนไปเก็บลองกองมากิน
คุณลุงพาขับรถไปดูชีวิตในหมู่บ้านหลายๆที่ จนมาจอดที่ตลาดนัดนี่แหละค่ะ ที่นี่มีทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมมาขายของกัน ของกินนี่เป็นอะไรที่พีคมาก ไอ่เราชาวอาศัยในกรุงเทพมานานนม กินยำวุ้นเส้นข้างทางเห็นแต่กุ้งแต่ปลาหมึกตัวน้อยๆล่องลอยในชามโฟม พอมาเจอที่นี่โอ้วโหวววว อร่อยมากเพราะกุ้งคือกุ้ง ปลาหมึกคือปลาหมึก หอยคือหอย และทีเด็ดเลยนะคะ ซึดะ มาม่าที่เรานำไปยำ ซึดะเป็นมาม่าของชาวมุสลิมค่ะ ส่วนตัวได้ลองหาแล้วว่าที่กรุงเทพมีหรือปล่าว แต่ไม่มีค่ะ เสียใจมาก เพราะมันอร่อยมากๆ เดินเข้าไปหน่อยจะเจอแผงขายขนมดังในภาพเค้าเรียกว่า 'ขนมวง' ไม่รู้ว่าเรียกถูกมั้ย หน้าตาคล้ายๆโดนัท นำไปทอด ที่นี่ขายปลาขายกุ้งกันตัวใหญ่มากๆ จนคิดว่าฝันไป เพราะนี่คือตลาดในฝัน ผักก็ใบใหญ่ๆไม่ใส่สาร ปลูกตามครัวเรือน ทุกอย่างที่นี่อร่อยทุกอย่างเลย ชาวบ้านเค้าทำมาขายกันเอง เค้าตั้งใจสูตรของใครของมัน ไม่ค่อยเห็นผลิตภัณฑ์แกะถุงทอดขาย อันนี้รู้สึกชอบมาก บรรยากาศก็ทรอปปิคอลมากค่ะ
หลังจากเราทานอะไรกันอิ่มแล้วคุณลุงยังพานั่งรถไปชมที่ต่างๆของชุมชนมีการเลี้ยงโคขุน และกลุ่มแม่บ้านทำกล้วยอาบแห้ง คือตลอดเวลาพวกเราคือกินอะค่ะ เมื่อจวนถึงเวลาเที่ยงเห็นทีเราต้องร่ำลาคุณลุงคุณป้าและบ้านทรายขาวเพื่อเข้าเมืองปัตตานี เพื่อจะได้ลองลิ้มรสชีวิตในเมืองและหาของกินอันขึ้นชื่อดูบ้าง ระหว่างทางคุณลุงพาเราไปแวะไหว้พระที่วัดช้างไห้อีกด้วย ไว้จะกลับมาอีกนะบ้านทรายขาวเราอยากกลับไปที่นี่มากจริงๆ.....
เดี๋ยวจะมาต่อนะคะทุกท่านในตอนต่อไป ชีวิตในเมือง อิอิ ไม่ช้าแน่นอน....