เผชิญหน้าผีตายโหง

เผชิญหน้าผีตายโหง
                 เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา ขณะนั้นข้าพเจ้ารับราชการอยู่ ณ ศาลจังหวัดสงขลา ในตำแหน่ง รองจ่าศาล ข้าพเจ้าได้ขอลาเพื่ออุปสมบถเป็นพระภิกษุ โดยบวชและพักอยู่ที่วัดหนองช้างแล่น อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง แต่ไม่ได้บวชในพรรษา ข้าพเจ้าพักอยู่ที่วัดเพียงเจ็ดวันเท่านั้น หลังจากนั้นได้ขออนุญาตพระอุปัชฌาย์โดยอ้างเหตุผลว่าไปธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ จริง ๆ แล้วเป็นเพราะข้าพเจ้ากับพระองค์อื่น ๆ มีความแตกต่างกัน มีการดูหนังฟังเพลง ใช้ชีวิตไม่ต่างจากฆราวาสธรรมดาเลย ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าถ้าใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ก็จะไม่ได้อะไรเลยจากการบวช สำหรับเรื่องนี้ภายหลังมาหลายปี เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมาข้าพเจ้าเดินทางไปบ้านพี่สาวที่จังหวัดชุมพร มีพระภิกษุรูปหนึ่งในจังหวัดชุมพร ก็บ่นคล้ายกันกันกับข้าพเจ้า ว่าบวชมาสามปีแล้วไม่ได้อะไรเลย ท่านเสียดายเวลา เรื่องที่เล่ามานี้ จะเขียนในตอนต่อ ๆ ไป มาว่ากันเรื่องผีต่อ ระหว่างเวลาเจ็ดวันที่พักอยู่ที่วัด ทุกเช้าเวลาตีห้าข้าพเจ้าจะรีบอาบน้ำเพื่อให้สดชื่น แล้วจะไปนั่งฝึกสมาธิในศาลาอเนกประสงค์ของวัด ศาลานี้ตั้งอยู่ประมาณตอนกลางของวัด ติดกับกำแพงด้านข้างของวัดถ้าหันหน้าไปทางประตูวัดก็อยู่ทางขวามือถัดมาทางทิศตะวันออกเป็นห้องน้ำ ถัดจากห้องน้ำก็เป็นกุฏิเจ้าอาวาส ถัดมาอีกเป็นกุฏิรวมเป็นที่พักของข้าพเจ้า ศาลานี้สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างประมาณยี่สิบเมตร ยาวประมาณสามสิบเมตร เป็นโถงโล่งมีฝาสองด้าน คือด้านในและด้านข้าง ส่วนด้านหน้าและด้านขวามือเวลาเราหันหน้าเข้าอาคาร จะทำเป็นรั้วตาข่ายเหล็กเพื่อกันหมาเข้าไปรบกวนมีประตูเหล็กเปิดเข้าออกด้านหน้าและด้านข้างด้านละสองช่อง แต่ทางด้านหน้าประตูไม่ติดกัน ห่างกันประตูละสิบเมตรได้ กว้างประตูละเมตรเศษ ด้านซ้ายมือมีพระประทานและกลุ่มของพระบูชาต่าง ตั้งลดหลั่นกัน ประมาณสิบกว่าองค์ทั้งเล็กและใหญ่พระทั้งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทุกเช้าข้าพเจ้าก็นั่งฝึกสมาธิหน้าพระประธานอยู่ทุกวันจนสายได้เวลาก็ออกไปบิณฑบาต จนมาเช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ปฏิบัติเช่นเดิม แต่ปรากฏว่า ตอนนั้นเวลาประมาณตีห้าฟ้ายังมืดอยู่มองอะไรก็ยังไม่ชัด ข้าพเจ้าไม่มีไฟฉายและเห็นว่าอีกชั่วโมงกว่า ๆ ก็สว่างแล้ว พอเดินมาถึงก็เข้าทางประตูข้างเดินเข้าไปทางหน้าพระประธาน พอเข้าไปใกล้พระประธานห่างประมาณห้าเมตรเริ่มมองเห็นเงาราง ๆ  เป็นโลงสี่เหลี่ยมตอกไม้หยาบ ๆ วางบนฐานสูงจากพื้นจนถึงสุดของโลงด้านบนประมาณสองเมตร ไม่มีการตกแต่งใด ๆ  ข้าพเจ้าเห็นครั้งแรกก็รู้สึกหวั่นใจอยู่เหมือนกัน เนื่องจากการฝึกสมาธินี้มีข้อห้ามในการฝึกอยู่ว่าสถานที่ฝึกจะต้องไม่มีภูตผีปีศาจ เนื่องจากพระโยคาวจรผู้ฝึกใหม่ ๆ นั้นจิตรยังไม่ตั้งมั่นก็จะถูกสิ่งเหล่านั้นรบกวน ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยได้รับฟังมาด้วยตนเองครั้งหนึ่งก่อนหน้าที่เล่านี้หลายปี ณ วัดถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดกระบี่ โดยมีภิกษุรูปหนึ่งถามอาจารย์เขาว่าเมื่อคืนวานนี้นั่งสมาธิอยู่เห็นผีตนหนึ่งลองลอยมาที่หน้ากุฏิที่ตนพักอยู่เหตุมันเป็นอย่างไร พระอาจารย์เขาตอบว่าเขาอยู่ที่นั่นมาแสดงตน ไม่ต้องกลัว ข้าพเจ้าเคยไปนั่งสมาธิที่นั่นไม่สามารถทำจิตรให้สงบได้เนื่องเพราะมีกระแสพลังจำนวนมากมารบกวนจนแยกไม่ออกเลยว่าเป็นของใครบ้างอย่างไรและที่นั่นเป็นที่ท่องเที่ยว ท่านทั้งหลายอ่านมาถึงตอนนี้แล้วขอให้พิจารณาเองว่าคำตอบควรเป็นอย่างไร เข้ามาเรื่องผีของเราต่อ คำว่าสิ่งเหล่านั้นรบกวนไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่คิดแต่มันเป็นอย่างนี้  ข้าพเจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าหากฝืนฝึกไปในวันนี้จะต้องฝืนข้อห้าม แต่ใจก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อีกทั้งเคยฝึกอยู่ทุกวันจะกลับก็ดูกระไรอยู่ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจนั่งฝึกเหมือนเดิมที่เคยนั่งทุกวัน โดยนั่งตรงหน้าพระประธานมีโลงศพคั่นอยู่ตรงกลางเยื้องไปทางซ้ายขององค์พระประมาณครึ่งเมตร  แล้วก็นั่งลงในท่าสมาธิราบ สำหรับท่าสมาธิเพชรข้าพเจ้าไม่สามารถนั่งได้เพราะเคยประสพอุบัติเหตุมีปัญหาที่เข่า ด้านขวา ภาวนา อาโป กำหนดนิมิตในดวงกสิณ ธาตุน้ำ พอหลับตาจิตรเริ่มเป็นสมาธิก็ได้เรื่องแทนที่จะเห็นดวงนิมิตก็กลับเห็นอย่างอื่น คือเห็นศีรษะของศพแทนปรากฏลอยอยู่ติดกับหลังคาด้านในหันหน้ามาประจันหน้ากับข้าพเจ้าระยะใบหน้าของศพห่างจากหน้าข้าพเจ้าราว ๆ ห้าเมตรเห็นจะได้ หลังคานี้มีความสูงจากพื้นประมาณแปดถึงสิบเมตรใหญ่และสูงโปร่ง มองไม่เห็นลำตัวของผี แต่เห็นเป็นเหมือนผืนผ้าสีดำหนาและทึบ มีความใหญ่โตคลุมเต็มพื้นที่ของหลังคาอาคารทั้งหมด ตรงชายของผ้าพลิ้วเป็นริ้ว ๆ ไม่อยู่นิ่ง ใบหน้าถทึงเพ่งมองข้าพเจ้าจนตาเกือบถลนออกจากเบ้า หน้าตาน่ากลัวมาก มีสีแดง ๆ ตรงมุมปาก แต่ลำตัวเป็นเหมือนผ้าดังกล่าวแล้วนอกจากส่วนหัวแล้วไม่เห็นว่ามีอวัยวะใดเช่นมนุษย์เลย ข้าพเจ้าเห็นดังนั้น เริ่มรู้สึกสะทกสะท้อนเพราะไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน  ใจเริ่มสั่น ก็กำหนดจิตรว่าให้ตั้งมั่นอยู่ในการภาวนา รู้สึกเกร็งมาก มันก็ขตามองแล้วกางปีกคลุมข้าพเจ้าอยู่อย่างนั้น รู้สึกว่าสถานการณ์ตรึงเครียดมาก เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงจนเริ่มสว่าง ข้าพเจ้าหยั่งจิตรไปดูในความคิดของปีศาจตนนี้ก็รู้สึกว่า เขามีความลังเล และน่าจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน ข้าพเจ้าก็นั่งอยู่อย่างนั้นทำใจดีสู้เสือไว้ ในการเห็นที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ไม่ใช่การเห็นด้วยดวงตาของมนุษย์ แต่เป็นการเกิดในมโนวิถี จนเริ่มเช้าได้ยินเสียงคนมาเปิดประตูทางด้านหน้าคิดว่าน่าจะเป็นญาติของผู้ตาย ข้าพเจ้าไม่ได้ลืมตาขึ้นดู ฟังแต่เสียงพอได้ยินเสียงถอดกลอนประตูเหล็ก ปีศาจที่คลุมข้าพเจ้าอยู่ก็พุ่งตัวไปตามเสียงประตูทันที ข้าพเจ้าเห็นได้ทีจึงรีบออกจากสมาธิกำหนดจิตรสู่ภาวะปกติ แล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับกุฏิที่พัก สิ้นสุดการเผชิญหน้าคราวนี้โดยไม่มีใครเสียฟอร์มให้แก่ใคร หลังจากฉันเช้าแล้วข้าพเจ้าจึงได้สอบถามที่มาของศพที่ปะทะกันเมื่อตอนเช้าจึงได้รู้ว่า ศาลาบำเพ็ญกุศลศพเต็มทั้งสองศาลา จึงได้มาอาศัยศาลาที่ข้าพเจ้าฝึกอยู่ ที่ข้าพเจ้าฝึกก็ไม่ได้บอกใคร และทั้งวัดก็มีแต่ข้าพเจ้าที่ฝึกอยู่คนเดียว ตอนกลางวันหลังฉันเพลเสร็จ ข้าพเจ้าจะใช้สบงเก่า ๆ ปูพื้นนั่งฝึกอยู่หน้าเมรุเผาศพ เณรเห็นก็หัวเราะข้าพเจ้า นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ข้าพเจ้าขออนุญาตโดยอ้างว่าไปธุดงค์ สำหรับศพที่เล่านั้นมาตอนตีสาม เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตเป็นศพผู้ชาย การเขียนนี้ก็เป็นการเล่าประสบการณ์จริงที่พบมาด้วยตนเองหากมีความดีอยู่บ้างก็ขออุทิศกุศลนี้แก่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่ได้สอนข้าพเจ้ามาทุกท่านให้มีแต่ความสุขความเจริญ ในโอกาสหน้าจะเล่าเรื่องการเดินจงกลม และวิธีการฝึกต่อไป ส่วนเรื่องครอบครูและเหล็กไหลจะเล่าในโอกาสต่อ ๆ ไป อย่างน้อยจะได้เป็นแนวทางในการพิจารณาจะได้ไม่ถูกคนอื่นหลอกลวงโดยง่าย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่